Supreme Magus – ตอนที่ 33 ผู้ล่ากับเหยื่อ

นิยาย Supreme Magus

ตอนที่ 33 ผู้ล่ากับเหยื่อ

ตอนที่ 33 ผู้ล่ากับเหยื่อ

ผู้คนที่อยู่ในห้องรอล้วนกระจายออกเป็นวงกว้างเพื่อให้มีที่ว่างสําหรับนักพรานที่เข้ามาใหม่ในขณะที่นานากับลิธก็รีบเชิญให้คนไข้คนก่อนลุกออกจากเตียงจะได้มีเตียงสําหรับรักษาคนไข้ที่เข้ามาใหม่

พวกเขาทุกคนล้วนรู้สึกสิ้นหวังเกินกว่าจะสนใจอายุกับรูปร่างเตี้ยเล็กของลิธและก่อนที่มีใครพูดอะไรออกมาผู้รักษาทั้งสองก็พูดประโยคเดียวกันว่า

“ปิดม่านเสียแล้วปล่อยให้ฉันจัดการเอง”

ทั้งสองใช้เวทย์ “Vinire Rad Tu” แต่กลับไม่ได้ใช้เพื่อหาต้นตอของอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นตรงหน้าแต่เพื่อตรวจสอบว่ายังพอมีความหวังที่จะช่วยพวกเขาได้หรือไม่

ลิธไม่มีเวลาแม้แต่จะเปิดใช้งาน Invigoration แต่ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นได้ว่าคนไข้เพศหญิงเสียชีวิตแล้วเขาพยายามจะตรวจสอบอีกครั้งแต่ก็พบว่าทั้งมานาและพลังชีวิตล้วนไม่ตอบสนองต่อเวทย์แสงเลย

“ผมเสียใจด้วย” ลิธเอ่ยขึ้นมาขณะปิดตาให้กับหญิงสาวที่ตายแล้ว

“เธอเสียชีวิตแล้วตั้งแต่ก่อนที่พวกคุณจะมาถึง”

แต่ก่อนที่เขาจะทําความเคารพศพหญิงสาว นานาก็ตะโกนขึ้นมาว่า

“มาที่เตียงนี้! เร็วๆๆ ถ้าร่วมมือกันเรายังรักษาคนนี้ให้รอดได้!”

ลิธรีบวิ่งไปอีกเตียงทันที และไปประจําตําแหน่งที่ปลายเท้าของคนไข้เพศชายในขณะที่นานาก็ย้ายไปประจําตําแหน่งบริเวณศีรษะของคนไข้ทั้งสองล้วนต้องใช้พื้นที่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษามากที่สุด

นานาพูดถูก Invigoration ของเขายังสัมผัสการไหลเวียนของมานาได้ถึงแม้ว่าจะบางเบาก็ตามที่แผลของคนไข้ล็กมากจนเขาสงสัยว่าการรักษาด้วยเวทย์เทียมจะเพียงพอไหมจากนั้นเวทย์รักษาเทียมก็กระจายไปทั่วทั้งร่าง แล้วเน้นไปที่ส่วนที่บาดเจ็บซึ่งต้องใช้เวลาสองถึงสามวินาที่จึงจะเห็นผล และที่แย่ไปกว่านั้น การกระจายและเน้นไปที่ละจุดทําให้ตัวเวทย์สูญเสียประสิทธิภาพไปบางส่วนอีกด้วย

ลิธจึงใช้เวทย์แท้รักษาแทน ซึ่งมันเข้าไปรักษาแผลได้โดยตรง ต้องขอบคุณ Invigoration ท่าให้เขาสามารถระบุตาแหน่งและส่งมานาแสงเข้าไปรักษาได้อย่างแม่นย่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของเวทย์รักษา

“ความสามารถพิเศษของนานาไม่ใช่เวทย์แสง ถ้าเธอเรียกฉัน นั่นแปลว่าเธอหวังว่าเวทย์ส่วนตัวของฉันจะช่วยชีวิตเขาได้”

ลิธลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาชอบใช้เวลาในการคิดพิจารณาถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนที่จะได้รับว่ามันคุ้มค่าพอหรือไม่เขาไม่ได้สนใจชีวิตความเป็นความตายของคนไข้ตรงหน้าน้อยลงเลยแต่ก็กลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผยเสียมากกว่าเพราะนั่นจะหมายถึงเขาสูญสิ้นแล้วทุกสิ่ง

“ช่างเถอะ! จะช้าหรือเร็ว สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องเปิดเผยเวทย์ของฉันอยู่ดีฉันจะเชื่อในตัวนานาและพรสวรรค์แห่งแสงละกัน”

ลิธเริ่มแสดงสัญญาณมืออย่างรวดเร็วผสมกับท่าประสานอินของนินจาที่เขาจําได้จากภาพยนตร์เก่าๆที่เคยดูเขาได้เตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้หลังจากที่ได้คุยกับเคาท์ลาร์ค ไปเมื่อล่าสุด

“Vinire Eskla!”เวทย์แสงพลันไหลเข้าสู่เส้นเลือดของคนไข้พรานหนุ่มโดยตรงมันเข้าไปรักษาและห้ามเลือดให้หยุดไหล นานารักษาคนไข่ให้เข้าสู่สภาวะคงที่ลิธเองก็กลับไปใช้เวทย์เทียมเพื่อรักษาเขาต่อหลังจากนั้นเขาก็พิงกําแพงและลงไปกองกับพื้น เขาหมดแรงแล้วจริงๆไม่เคยต้องทําอะไรที่ใช้สมาธิและมานามากมายเป็นเวลานานขนาดนี้

“บ้าที่สุด เพราะไอ้แกนมานาสีเขียวห่วยๆของฉัน! ถ้ามันกลายเป็นสีฟ้าแล้วฉันคงไม่ต้องหยุดกลางคันไปแบบนี้”

โชคดีที่นานาได้รับเครดิตไปทั้งหมดจากการรักษาคนไข้รายนี้สาเร็จ ทําให้ลิธรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องตอบคําถามเรื่องเวทย์ใดๆ

หลังจากที่เธอรับเงินค่ารักษาสี่สิบเหรียญทองแดง ก็เอ่ยเตือนหัวหน้านายพรานว่า

“เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็แทบจะไม่รอดแล้วฉันไม่รู้ว่าเขาจะผ่านพ้นวิกฤตตรงนี้ไปได้ไหมฉันไม่สามารถรับรองได้ว่าเขาจะฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่เขาบาดเจ็บหนักเกินไปและพวกเราก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว”

“สี่สิบเหรียญทองแดง ก็เกือบจะครึ่งของหนึ่งเหรียญเงิน นั่นคือที่แกพูดออกมาหรอ? คือให้หวังพึ่งปาฏิหาริย์และขอให้รอดงั้นเรอะ?” เขาตะโกนตอบกลับ

นานาเข้าใจดีว่าเขาไม่ได้โกรธเธอหรือลิธ แค่ต้องเสียเพื่อนไปคนหนึ่งแล้วยังต้องมาเสียอีกคนหนึ่งไปอีกพวกเขาทั้งสองล้วนเป็นเพื่อนที่ดีนั่นจึงทําให้เขายอมรับการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นอีกไม่ได้

แต่เธอก็ไม่สนใจ หากพูดถึงความโกรธ นานาก็ไม่เคยเป็นรองใคร เธอยอมเป็นแพะรับบาปของคนชั่วช้มาตลอดทั้งชีวิตแล้ว

“ฟังฉันนะ ไอ้หนุ่ม และฟังให้ดีด้วย ฉันขอท้าเลยว่าเธอจะไม่มีทางเจอหมู่บ้านที่มีผู้รักษาที่สามารถร่ายเวทย์ขั้นสามถึงสองคนหรือแม้แต่คนเดียวก็ตาม!ถ้าเธอต้องการการรักษาที่มั่นใจว่าจะหายดีอย่างแน่นอน ไปหากริชน่ามาโนฮาเทพแห่งการรักษา!เขาอยู่ในสถาบันไวท์กริฟฟินห่างออกไปห้าร้อยกิโลเมตรเท่านั้น! แล้วก็ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้!”

ชายหนุ่มผู้ตกอยู่ในความโศกเศร้ารู้ดีว่าการเป็นปรปักษ์กับนักเวทย์ที่มีแววตาเปี่ยมไปด้วยพลังและเสียงดั่งสายลมกรรโชกนั้นเป็นการฆ่าตัวตายเปล่าๆนายพรานทั้งสองจึงทําได้เพียงยอมปฏิบัติตามนั้น

ในขณะที่นานากําลังทําความสะอาดคราบเลือดที่กระจัดกระจายทั่วห้อง ลิธที่ใช้ Invigorationจนสามารถฟื้นฟูกาลังบางส่วนกลับมาได้เขาก็ออกวิ่งตามเหล่านายพรานข้างนอก

“คุณนายพราน รอก่อนครับ!” พวกเขาอยู่ระหว่างทางไปโรงเตี้ยม หัวหน้านายพรานเองก็อยากจะระบายความหงุดหงิดใส่แมลงตัวจ้อยนี้ แต่เขาก็สงบจิตใจได้มากพอที่จะยอมรับได้ว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ทําอะไรผิดทั้งๆที่พยายามช่วยเหลือน้องชายเอาไว้อีกทั้งเขาเองก็ยังกลัวนานาอีกด้วย

“ว่ายังไง หนุ่มน้อย ฉันชื่อ เอคาร์ท ลองแกรน และนี่คือน้องชายร่วมสาบานเฟลคไอโรเทีย”

“ผมชื่อลิธครับ”คนทั้งสามโค้งคํานับให้แก่กัน

“คนที่เธอช่วยชีวิตไว้คือน้องชายคนเล็กของฉันเอง โอทัม ลองแกรนถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยเป็นการตอบแทน ก็บอกมาได้เลย”

“ช่วยบอกผมเรื่องสัตว์เวทย์ได้ไหมครับ?”

เอคาร์ทสั่นสะท้านไปครู่หนึ่ง เขาหลับตาลงนึกถึงความทรงจําอันน่าหวาดหวั่นที่แล่นเข้ามาจโจมจิตใจเขา แต่เขาเป็นนายพรานที่แข็งแกร่ง ผู้ที่ผ่านความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนชั่วครู่ต่อมาเขาก็ปลุกความกล้าและจิตวิญญาณของตนเองกลับมาได้

“มันคือ ไบก์ ขนาดใหญ่มาก เธอรู้ไหมว่ามันคือตัวอะไร?”

ลิธพยักหน้า จากตําราสัตว์เวทย์ในโซลสพีเดีย ไบก์คือหมีที่วิวัฒนาการเป็นสัตว์เวทย์พวกมันเข้ากันได้ดีกับเวทย์ดิน ที่หาได้ยากคือบางตัวก็เข้ากับเวทย์ไฟได้อีกด้วย

“เมื่อเดือนที่แล้ว มีสัตว์ร้ายบ้าคลั่งมาโจมตีฟาร์มที่อยู่ทางตะวันออกของป่าทรอนตอนแรกมันก็ฆ่าวัวไปบางตัวจากนั้นก็กลับเข้าป่าไปแต่แล้วก็มีพวกชั่วของบารอนเนสราธมาตั้งค่าหัวไบก์เป็นจํานวนเงินมหาศาลโดยหวังว่าจะมีใครมาล้างแค้นลูกชายเธอได้เธอเชื่อว่าเขาตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้ายตัวนี้”

“ราธหรอ” ลิธครุ่นคิด “ชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ”

“ไอ้โรคจิตที่พยายามจะขโมยกระต่ายของเธอไปไง” โซลัสเอ่ยทวนความจําเขา

“และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว หลังจากที่สัตว์ร้ายได้ลิ้มรสเนื้อของเหล่านายพรานที่ถูกหลอกล่อด้วยเงินมากมาย ไบก์ก็ติดใจในรสชาติเนื้อมนุษย์นับตั้งแต่นั้นมันก็เริ่มไล่ล่าคนที่สะกดตามรอยด้วยกับดักที่ซับซ้อนกว่าเราจะรู้ว่ามันฉลาดแค่ไหนก็สายไปเสียแล้ว พวกเราหนีไปได้เพราะมันกําลังเพลิดเพลินกับอาหารที่จับไว้อยู่”

ลิธโค้งค่านับให้อีกครั้ง

“ขอบคุณครับ ผมอาศัยอยู่ใกล้ๆป่านี้ และข้อมูลของคุณก็อาจจะช่วยชีวิตครอบครัวผมได้ถือว่าคุณตอบแทนผมแล้ว”

และก่อนที่เขาจะหันตัวจากไป เอคาร์ทก็จับไหล่เอาไว้

“ฉันอยู่ในวงการนายพรานมานาน จนเห็นความเป็นนักล่าที่แฝงตัวอยู่ในผู้คนได้ฟังคําแนะนําฉันให้ดีนะ เด็กน้อย อย่าได้ตามล่ามัน สัตว์ร้ายตัวนั้นผิดธรรมชาติไปมากมันไม่เพียงแค่ฉลาดและมีไหวพริบเท่านั้น มันยังมีความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ กด้วย”

“ไม่ว่าเธอจะวิ่งเร็วแค่ไหน มันสามารถเคลื่อนที่แว้บไปแว้บมาได้เหมือนภูตผีฉันรู้ว่ามันฟังดูไร้สาระแต่ฉันเชื่อว่ามันเป็นวิญญาณอาฆาตแน่ๆ”

ลิธขอบคุณเขาอีกครั้งก่อนจะกลับไปช่วยย้ายโอทัมไปยังโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งและทําความสะอาดคราบเลือดในบ้านของนานาเมื่อเขาทําสิ่งต่างๆจนเสร็จสิ้นนานาก็ยื่น งินยี่สิบเหรียญทองแดงให้กับเขานั่นคือครึ่งหนึ่งของค่ารักษา

“กลับบ้านไปพักผ่อนเสีย เธอมีพรสวรรค์ในด้านเวทย์แสง แต่เห็นได้ชัดว่าเวทย์นก็กินแรงเธอไปมากจริงๆใช้มันเฉพาะในกรณีฉุกเฉินเท่านั้นนะ”

ลิธพยักหน้าตอบรับ แต่ก่อนจะกลับบ้าน เขาต้องไปซื้อของบางอย่างก่อนเขาได้คุยเรื่องนี้กับโซลัสอยู่ตลอดว่า การไม่เตรียมตัวให้ดีก่อนเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายและยังไม่มีแผนสํารองมากกว่าหนึ่งแผนด้วยถือเป็นอะไรที่โง่เขลามาก

หลังจากที่เขาเตือนเซเลียแล้ว ก็ใช้เวลาทั้งวันไปกับการพักผ่อนและใช้Accumulation ในสถานการณ์ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น แม้แต่พลังเพียงเล็กน้อยก็อาจจะสร้างความแตกต่างขึ้นมาได้

ค่าคืนนั้นลิธหลับไปในรอบสองเดือน เขาต้องการเตรียมตัวเองให้อยู่ในสภาวะที่พร้อมที่สุดและไม่เสี่ยงกับอะไรที่ไม่จําเป็น เขาตื่นก่อนฟ้าสว่างและทิ้งข้อความไว้ให้กับครอบครัว

จากนั้นก็สวมใส่ชุดหนังสําหรับล่าสัตว์ใหม่เอี่ยม พร้อมด้วยสนับแขนโลหะสนับแข่งเกราะอกซึ่งเป็นแนวป้องกันสุดท้ายในกรณีที่แผนทุกอย่างไม่เป็นผลเมื่อออกมาข้างนอกและตรวจสอบว่าไม่มีคนอยู่รอบๆเขาก็ร่ายเวทย์ Soaring Hawkแล้วเหาะเหินบินไป

ป่าทรอนกว้างใหญ่เกินไปที่จะเดินด้วยเท้า ลิธใช้Life Vision และการรับรู้มานาของโซลัสเพื่อมองหาเหยื่อขณะบินอยู่เหนือต้นไม้ทั้งหลายไม่นานก็พบไบก์ซึ่งมันเองก็ไม่ได้พยายามจะซ่อนตัวเลย ลิธสามารถแกะรอยได้จากรอยข่วนของหมีบนต้นไม้และหินต่างๆจนพบว่ามันกําลังกินกวางอยู่

“ทั้งฉลาดทั้งเจ้าเล่ห์ แล้วยังกินต่อได้อีกหรอเนี่ย? มันน่าจะอิ่มไปตั้งหลายรอบแล้วนี่นา”ลิธสงสัย

“ถึงยังไงก็ต้องมาลองดูกันว่าฉันจะฆ่ามันได้ง่ายๆไหม”

ไบก์อยู่บนพื้นในขณะที่ลิธอยู่กลางอากาศระยะห่างของทั้งสองอยู่ที่ประมาณสามสิบเมตรซึ่งอยู่ในระยะของเวทย์วิญญาณลิธสร้างคลื่นมานาออกไปเป็นปริมาณมากหวังจะหักคอไบก์ภายในการโจมตีเดียว

แต่ประสาทการรับรู้ของไบก์เฉียบแหลม ถึงมันไม่อาจสัมผัสถึงการมีอยู่ของนักล่าคนใหม่แต่มันก็รู้สึกถึงความผิดปกติได้มันหลอมรวมร่างเข้ากับเวทย์ดินจากนั้นก็มีเวทย์สองสายพุ่งเข้ามาปะทะกัน พลังเวทย์วิญญาณของลิธถูกจํากัดลงจนทําได้เพียง เกาคอมันเท่านั้น

“บัดซบ! อีกแล้วหรอ นี่มันเหมือนตอนสู้กับไรเลย”

“ดูเหมือนว่าสัตว์เวทย์จะสามารถใช้เวทย์ฟิวชั้นได้ในระดับหนึ่ง” โซลัสออกความเห็น

“และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น เวทย์ฟิวชั้นนั่นดันทําลายเวทย์วิญญาณของฉันได้มันสามารถหยุดการไหลเวียนมานาจนใช้งานไม่ได้ นั่นแปลว่าฉันต้องใช้การโจมตีโดยตรงเท่านั้น…”

เมื่อแผนแรกล้มเหลวไป ลิธจึงซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ขณะเคลื่อนตัวให้ห่างจากไบก์การร่ายเวทย์กลางอากาศเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานเกินไปอีกทั้งยังต้องเก็บเป็นความลับไม่ให้เหยื่อรู้อีกด้วยว่าเขาบินได้

เมื่อเขาลงมาอยู่บนพื้นแล้ว ก็อ้อมไปทางไบก์ด้วยการใช้ Float เพื่อไม่ให้เกิดเสียงและใช้ออร่ามืดเพื่อกําจัดกลิ่นกับออร่าของเขาเองจนกระทั่งลิธพบกับไบก์อีกครั้งมันก็ยังคงสูดดมกลิ่นในอากาศและมองไปรอบๆ

ลิธขยับตัวไปด้านหลังของมัน ก่อนจะปล่อยสายฟ้าขนาดใหญ่ใส่ไบก์ที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่สายฟ้านั่นไม่ส่งผลอะไรนอกจากทําให้สัตว์เวทย์โกรธขึ้นมาจนขนฟูฟอง

“ไอ้บ้าเอ๊ย! ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเวทย์ดินมันกันสายฟ้าได้” ไบก์ครามออกไปอย่างท้าทายมันยืนขึ้นอย่างเต็มที่ร่างกายสูงใหญ่อย่างน้อยสี่เมตรหนักเกือบหนึ่งตันขนสีน้ำตาลเข้มเหลือบเขียว และดวงตาสีเขียวที่กําลังจ้องมองลิธด้วยความเกรี้ยวกราด

“ตัวใหญ่เป็นบ้าเลย!” ลิธสร้างสายลมอันรุนแรงขึ้นมาหวังจะใช้ประโยชน์จากตำแหน่งการยืนที่ไม่มั่นคงเพื่อโค่นไบก์และป้องกันไม่ให้มันพุ่งมาโจมตีใส่

จากนั้นไบก์ก็ร่ายเวทย์ดินมากขึ้น ทําให้กรงเล็บของมันจิกลงไปในดินลึกขึ้นมันย่อขนาดลงจากสี่เมตรจนเหลือ1.6 เมตรเท่านั้น

“ช่างเป็นเอิร์ธฟิวชั้นที่งดงามอะไรอย่างนี้!” โซลัสรู้สึกชื่นชมออกมาแต่ลธยังคงเฉยๆแถมยังกลัวมากกว่าเดิมอีก

“ใช่เลย เห็นได้ชัดว่าฉันยังเป็นแค่มือใหม่เมื่อเทียบกับมัน Ice Spears!”

ทันใดนั้นหอกน้ำแข็งจํานวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางอากาศอันเบาบางล้อมรอบไบก์เอาไว้หอกแต่ละเล่มยาวสองเมตร หนาสิบเซนติเมตรทั้งหมดล้วนแหลมคม

แน่นอนว่าเป็นเวทย์สังหารของลิธหอกทั้งหมดร่วงลงมาราวกับห่าฝน แต่ไบก์กลับไม่แสดงท่าที่หวาดกลัวออกมาเลยมันคํารามขึ้นมาอีกครั้งเขย่งขาเล็กน้อยแล้วใช้เท้าหน้ากระทืบพื้นเพื่อสร้างโดมป้องกันจากก้อนหินก้อนดิน

หอกทุกเล่มล้วนพุ่งปะทะกับบาร์เรียร์ จนไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับไบก์ได้เลย

ทั้งลิธทั้งโซลัสต่างก็สาปแช่งมัน

“บัดซบ! สัตว์เวทย์มันก็ใช้เวทย์แท้ได้เหมือนกัน!”

Supreme Magus

Supreme Magus

Supreme Magus
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Supreme Magusไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีแค่ไหน แต่หากคุณได้รู้ถึงชีวิตของผม …. เดเร็ค แมคคอยนั้น คุณก็จะไม่มีทางมองโลกในแง่ดี หรือเป็นบวกได้แน่นอน พ่อของผมเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวน หรือที่หลายคนเรียกกันว่าไบโพลาร์นั่นแหละ …. ในช่วงเวลาหนึ่งเขาสามารถจะหายเข้าไปอยู่ในห้องนอนของตัวเองได้เป็นเวลาหลายวัน โดยที่เขาก็จะออกจากห้องมาแค่ช่วงเวลาที่ต้องเข้าห้องน้ำ และกินข้าวเท่านั้น ขณะที่ในอีกช่วงเวลาหนึ่ง …. เขาก็จะเป็นชายที่ดูเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวเสมอ นอกเหนือจากนี้แล้วมันก็ยังมีช่วงที่เขาอยู่ในอารมณ์สดใสและร่าเริงด้วย โดยในอารมณ์นี้นั้นเขาก็จะทำงานเหมือนกับคนบ้า แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะทำงานมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆเลย เพราะเขามันไร้ความสามารถ ซึ่งเรื่องพวกนี้เองมันก็ได้ทำให้พ่อของผมกลายเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน และท้ายที่สุดแล้วด้วยสภาพทั้งหมดที่พ่อของผมต้องเผชิญนั้นมันก็ได้ทำให้เขาตัดสินใจใช้ยาเสพติด โดยผมเชื่อว่าเมื่อผมพูดมาถึงตรงนี้นั้น ผมก็สามารถจะจัดให้เขาเป็นหนึ่งในพ่อยอดแย่ได้โดยที่ไม่มีใครครหา ….

Comment

Options

not work with dark mode
Reset