Supreme Magus ตอนที่ 7 หนึ่งวันของเด็กน้อย
ตอนที่ 7 หนึ่งวันของเด็กน้อย
วันแรกในชีวิตใหม่เต็มไปด้วยความสงบ เดเร็คไม่ต้องทํางานหาเงิน ไม่ต้องรับผิดชอบ ทั้งหมดที่เขาต้องทําคือ กิน นอน ขับถ่าย วนอยู่แบบนั้น
เวลาว่างมากมายทําให้เขาสามารถคิดเกี่ยวกับอนาคต
บนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งวิเศษที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้รวดเร็วเหมือนนิยาย บางที่ครอบครัวของเขาอาจจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ แต่อย่างน้อยการให้เกิดเป็นมนุษย์คือสิ่งที่เขาคาดหวังไว้ตั้งแต่แรก
จากที่เห็น ร่างกายทุกส่วนของเขาก็ไม่แตกต่างอะไรกับเด็ก ทารกบนโลก เขาสามารถได้ยินเสียงเต้นของหัวใจ และหน้าอกที่กระเพื่อมตามจังหวะการหายใจได้ชัดเจน
นับจากนี้ เขาจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบใหม่ ครอบครัวใหม่ ถ้าไม่ใช่เพราะการมีอยู่ของเวทมนตร์อีกไม่นานเขาก็คงเดินทางไปโลกใหม่อีก
อีกอย่างที่เดเร็คกําลังคิด “การแข่งขันของที่นี้คืออะไร” มันเป็นพื้นฐานของสังคมมนุษย์
ข้อดีของการเป็นเด็กทารกคือเขาไม่ต้องทําอะไรเลย เมื่อถึงเวลาก็จะมีคนมาสอนเอง
สิ่งสําคัญที่เขาต้องรีบเรียนรู้มี 2 สิ่ง อันดับแรกคือภาษา เด็กทุกคนควรจะเรียนรู้ภาษาบ้านเกิดด้วยเวลาที่มากพอและสติปัญญาของผู้ใหญ่ คงไม่อยากที่จะเรียนรู้
อันดับต่อมาคือเวทมนตร์ อย่างน้อยก็พื้นฐานของมัน ในความคิดของเขามันมีเวลากําหนดอยู่เมื่อสมองยังเจริญเติบโตได้ เขาจะต้องรีบเรียนรู้ให้เร็วและมากที่สุด จนกระทั่งมันหยุด
หลังจากนั้น เขาก็จะไม่แตกต่างจากคนอื่นที่มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์
ดังนั้น เขาจึงกําหนดให้เวทมนตร์เป็นสิ่งสําคัญที่สุด ต่อให้พรสวรรค์ด้านเวทมนตร์แย่แค่ไหนเขาก็จะไม่ยอมให้ตัวเองอ่อนแอ และถูกบังคับให้เดินทางไปโลกอื่นอีก
เดเร็คใช้เวลาของเขาในโลกใบใหม่บนเตียงพร้อมกับแม่ ขณะที่พ่อของเขาจะนอนหลับพักผ่อนในห้องของเด็กชาย
เมื่อมีใครพูดคุยกับเขา เขาจะพยายามจดจําคําศรัพท์และรูปแบบการพูด
เวลาว่างที่เหลือ เขาจะพยายามท่องคําพูดที่เขาเคยได้ยิน ‘Ekidu’ ‘Vinire Lakhat’ และ ‘Vinire Rad Tu’
แต่ความพยายามทุกครั้งล้มเหลว เขาไม่รู้สึกได้ถึงพลังเวทย์อะไรเลย เปรียบเทียบกับหนังสือแฟนตาซีที่เคยอ่านในชีวิตก่อน การใช้เวทมนตร์น่าจะต้องใช้ทํางานร่วมกันระหว่างการร่ายบทเวทย์และร่างกาย
มันหมายความว่าถ้าเขาพูดได้ เขาก็จะใช้เวทมนตร์ได้ เขาไม่แน่ใจกับความคิดนี้ แต่หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ไม่งั้นความพยายามทั้งหมดจะสูญเปล่า
หลังจากล้มเหลวทุกครั้ง ความวิตกกังวลขอวเขาก็มีมากขึ้น ความกลัวจากการไม่รู้อนาคตทําให้รู้สึกแย่
โชคดีที่ชีวิตนี้เขามีแม่ เธอดูแลเขาโดยปราศจากสิ่งใดนอกจากความรัก แม้จะมีอคติเกี่ยวกับแม่เนื่องจากชีวิตก่อนหน้านี้ แต่เอเลน่าก็ทําให้เขารู้สึกถึงความรักและการปกป้อง มันเป็นความสุขที่แปลกใหม่สําหรับเขา
วันแรกผ่านไป เวทมนตร์ของเขาไม่มีความก้าวหน้าเลยสักนิด แต่ในด้านภาษาของเขายังมีเอเลน่าเป็นครูที่ดี ในที่สุดเขาก็รู้จักชื่อตัวเองในโลกใบใหม่ ชื่อของฉันคือลิท” (หลังจากนี้ จะแทนตัวเดเร็คว่าลิท)
ในวันที่สอง ทฤษฎีเวทมนตร์ที่เขาคิดไว้เมื่อวานไม่ตรงกับความเป็นจริงเลยสักนิด
เอเลน่าได้แสดงความแข็งแรงของเธอ แม้จะพึ่งคลอดลูกเมื่อวันก่อน แต่เธอก็ไม่ได้นอนพักผ่อนอีก และลุกขึ้นมาทํางานแทน
เอเลน่าเป็นผู้หญิงที่ดูดีในวัยยี่สิบต้นๆ ร่างกายกระชับจากการทํางานหนัก ผมสีน้ําตาลของเธอยาวถึงไหล่ ถ้าสังเกตดีๆจะมีสีแดงแทรกอยู่ทั่วเส้นผม
เงาของแสงเทียนที่เกิดจากเปลวไฟสั่นระริกเหมือนมันกําลังเต้นรํา “ผมแม่สวยจริงๆ ถ้าผมของเธอสะท้อนกับแสงแดดมันต้องสวยงามมาก” ลิทคิด
อาจเป็นเพราะพันธุกรรมของแม่ ลิทที่เป็นลูกรู้สึกภูมิใจที่แม่ของเขานั้นมีเสน่ห์
หนังจากทํางานบ้านเสร็จ เอเลน่าดึงตัวเขาขึ้นมาอุ้ม กระชับตัวเขาเข้ามาในอ้อมกอดแขนข้างซ้าย
เอเลน่าเดินออกจากห้องนอนและเจอกับลูกสาวคนโต เอเลซ่า เธอกําลังทําอะไรบางอย่างกับเตาไฟ
# “ลูกกําลังทําอะไรอยู่นะ เอเลซ่า? เตาไฟมันอันตราย! ตอนนี้ยังไม่รุ่งสาง พระอาทิตย์ก็ยังไม่ขึ้น ลูกควรกลับเข้าไปนอน”
เธอกดเสียงต่ําลง และพูดเบาๆ เพื่อไม่ให้ดังจนเกินไปปลุกคนทั้งบ้าน
# “ข้าขอโทษ ข้าแค่อยากทําอาหารให้ท่านแม่บ้าง ข้าแค่อยากช่วยท่าน”# ใบหน้าของเอเลซ่าดูเป็นกังวล เธอเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบทําความผิด
# “ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ เด็กโง่ แม่ของเจ้าเก่งอยู่แล้ว”# เอเลน่าลูบกลุ่มผมของลูกเธอด้วยความรักและเอ็นดู
เอเลซ่าเป็นฝาแฝดคนโต อีกหนึ่งคนเป็นเด็กผู้ชาย เธออายุ 8 ขวบ ผมสีบลอนด์แกมดําเป็นที่มาของชื่อเธอ
เอเลน่าเดินไปหน้าเตาไฟ เธอสะบัดนิ้วเพื่อจุดไฟ
“Infiro”
“เธอใช้เวทมนตร์ได้” ลิทอุทานในใจ ความรู้สึกแปลกๆก่อตัวขึ้นภายในร่างกายอีกครั้งเมื่อเขาได้รู้จักเวทมนตร์ใหม่
เอเลน่าเปิดหน้าต่างและเตรียมอาหารเช้า
เอเลน่าหยิบผักหลายชนิดออกมาจากกล่องเก็บอาหาร ผักหลายชนิดดูคุ้นเคย บ้างก็ดูเหมือนมันฝรั่ง บ้างก็ดูเหมือนแครอท แต่บางชนิดเขาก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน
ความจริงที่ว่าอาหารเช้าทําจากผักล้วน ลิทแทบจะร้องไห้ ในชีวิตก่อนเขาไม่ค่อยชอบกินผักเลยด้วยซ้ํา
เอเลน่าโยนทุกอย่างลงไปในหม้อทองแดง จากนั้นก็ใช้นี้วมือของเธอเสกน้ําออกมาจากความว่างเปล่า หม้อมีน้ําเต็มใบทันที
ทั้งลิทและเอเลซ่าต่างก็มีความสุขเมื่อได้เห็น
สําหรับลิทมันหมายถึงความหวัง เวทมนตร์สามารถถูกร่ายโดยไม่ต้องพูดหรือใช้การเคลื่อนไหวของมือ และนั่นแสดงว่าเขามีโอกาสฝึกเวทมนตร์ขณะที่ยังเป็นเด็ก
สําหรับเอเลซ่าแม่ของเธอคือฮีโร่ในฝัน เวทมนตร์เป็นเรื่องธรรมดา แต่ทุกครั้งที่เอเลน่าใช้มันทําสิ่งต่างๆ เธอดูคล่องแคล่วและมันทําให้เธอนั้นดูมีเสน่ห์
“ท่านแม่ยอมเยี่ยมจริงๆ!” # แววตาของเอเลซ่าเต็มไปด้วยความชื่นชม # “โตขึ้นข้าจะเก่งเหมือนท่าแม่ไหม?”
# “แน่นอน เจ้าทําได้” เอเลน่าตอบด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้นไม่นาน ฟ้าก็เริ่มสว่าง ทุกคนตื่นนอนเพื่อมาทานอาหารเช้าด้วยกัน สมาชิกในครอบครัวนี้มี ราซ(พ่อ) เอเลน่า(แม่) เอเลซ่าและทิสต้า(ลูกสาว) ออป้าและไทรอน(ลูกชาย)และตัวเขาเอง
เขารู้สึกอนาถใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อรู้ว่าที่นี่ไม่มีห้องน้ําในบ้าน
บ้านประกอบด้วยห้องขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นห้องทานอาหารและห้องครัว มีประตู 3 บาน เชื่อมต่อกับห้องนอนอีก 3 ห้อง และไม่มีอย่างอื่นอีก
อาหารเช้าผ่านไปอย่างเงียบสงบ ลิทได้รู้จักเวทมนตร์อีกบท เมื่อผู้เป็นต่อของเขาเติมน้ําในเหยือก
“Jorun!”
หลังจากมื้ออาหารเช้าจบสิ้น ทุกคนแยกย้ายกันไปทํากิจวัตรประจําวันของตัวเอง เอเลน่าวางลิทไว้บนเก้าอีหินตัวหนึ่ง เขารู้สึกทั่งเมื่อพบว่าแม้แต่กิจกรรมเล็กๆอย่างการล้างจานหรือกวาดบ้านล้วนแล้วแต่ใช้เวทมนตร์ช่วยทําเหมือนกัน
เอเลน่าขยับนิ้วชี้และนิ้วกลาง “Brazzaville!” เธอสร้างพายุหมุนขนาดเล็กขึ้นมา 3 ลูก และปล่อยให้มันวิ่งไปรอบๆบ้าน เพื่อรวบรวมฝุ่นและสิ่งสกปรก
เมื่อมีใครบางคนจะทําพื้นสกปรกด้วยดินหรือโคลนที่ติดกับพื้นรองเท้ามา เพียงแค่เธอสะบัดมือ “Magna!” เศษดินลอยกลับไปที่เดิม
ลิทมีความสุขที่พบว่าการใช้เวทมนตร์ถือเป็นเรื่องธรรมดาขนาดไหน ทุกคนในครอบครัวแม้แต่เด็กๆก็ใช้เวทมนตร์เพื่อทํา ให้ชีวิตง่ายขึ้น
เมื่อถึงเวลานอน ลิทกําลังจะตายเพราะความอยาก แต่เขา ก็ต้องอดทนรอสักพักเพื่อแน่ใจ
หลังจากคิดมาทั้งวัน เขาจึงตัดสินใจลองใช้เวทมนตร์เกี่ยวกับลมไปก่อน จนกว่าเขาจะมั่นใจว่ามีความสามารถในการควบคุมเวทมนตร์เป็นอย่างดี
ไฟเป็นสิ่งที่อันตรายเกินไปสําหรับมือใหม่ ในขณะที่น้ําและแสงสว่างอาจจะไปปลุกเอเลน่าได้ ดังนั้นลมจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสําหรับในตอนนี้
ลิทหมุนแขนเล็กของเขาแล้วพูดบทเวทย์ “แอ๊!” ไม่มี อะไรเกิดขึ้น
เขาลองพยายามและล้มเหลวจนนับครั้งไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าเขาได้ลองทํามันเป็นเวลานานแค่ไหนก่อนที่จะยอมแพ้
เพราะหมดแรง
ในระหว่างที่ล้มเหลว เขาก็คิดถึงความเป็นไปได้อื่นๆ
เมื่อใดก็ตามที่เขาได้ยินบทเวทย์เป็นครั้งแรก บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในตัวเขาจะสร้างการเชื่อมต่อกับธาตุพลังงานนั้นๆ
เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องดี แต่เขาก็ไม่สามารถรู้ถึงปัญหาของการล้มเหลว เขาไม่คาดหวังว่าจะประสบความสําเร็จตั้งแต่ครั้งแรกอยู่แล้ว แต่เขาควรจะสัมผัสถึงพลังงานเวทมนตร์บ้า
ลมผัดเบาๆ ประกายแสงเล็กๆ น้ําสักหยด หรืออะไรก็ได้ที่บ่งบอกว่าเขามาถูกทาง
ลิทคิดย้อนกลับไปตอนที่เขาใช้จิตสํานึกควบคุมเวทมนตร์ของหญิงชรานาน่า แม้เขาจะจําสิ่งที่เกิดได้ แต่ความรู้สึกที่สัมผัสกับเวทมนตร์ตอนนั้นช่างเลือนลาง
เขาพยายามคิดถึงความทรงจําของโลกใบเดิม และพบว่าความรู้สึกนั้นคล้ายกับเมื่อเขาเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้ไอคิโด เทคนิคการหายใจเบื้องต้น!
ลองก่อนยังไงก็ไม่มีอะไรเสียหาย
เขาเพ่งจิตไปที่ลมหายใจเข้าเพื่อรับพลังโลก
จากนั้นเขาจะรอสักพักให้พลังงานสงบ ก่อนจะหายใจออกเพื่อผ่อนคลายร่างกาย
ย้อนกลับไปที่โลก เขาเคยคิดว่าความรู้สึกแบบนี้ที่สัมผัสได้ตอนฝึกครั้งแรก เป็นสิ่งหลอกลวงที่มาจากอาการหลอนประสาทบางอย่าง
จิตใจที่หลอกตัวเองว่าคนอ่อนแอสามารถกลายเป็นคนเข้มแข็งได้ เพียงแค่เชื่อและหมั่นฝึกฝนในเรื่องกําลังภายใน
แต่ความรู้สึกนั้นผ่านมาแค่พริบตาแล้วหายไป ตอนนี้ลิทเชื่อว่ามันอาจเป็นเพราะโลกเดิมมีพลังงานน้อยจนเกินไป
เวลาผ่านไป ลิทเริ่มรู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่างกระจายไปทั่วร่าง แล้วมันเคลื่อนไหวไปรวมกันที่ช่องท้องของเขา
ยิ่งถ้าเขามีสมาธิกับการหายใจมากเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกถึงพลังงานในตัวเขาชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น
ในเกมส์และหนังสือแฟนตาซี มานาจะมีสีฟ้าเสมอ ดังนั้นเขาจึงจิตนาการว่าพลังงานควรจะเป็นสีฟ้าควบรวมกันอยู่ในร่างกาย
ไม่นาน ลิทก็รู้สึกว่าภายในร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง หลังจากกลันหายใจครั้งสุดท้าย เขาหมุนแขนเล็กๆและร่ายบทเวทย์ “แอ๊!”
ล้มไร้ที่มาเป่าใบหน้าเอเลน่าเอาๆ เส้นผมของเธอปลิวขึ้นไปเล็กน้อย โดยที่มือของเขาเล็งที่ผ้าห่ม
คือชื่อตัวละคร
แต่มันทําให้เขาหยุดยิ้มไม่ได้
“เป็นการเริ่มต้นที่ดี”
ชี้แจงเผื่อมีคนสงสัยนะครับ หลังจากตอนนี้ไป คําที่เน้นตัวหนาคือชื่อตัวละครและบทเวทย์ ชื่อจะเน้นครั้งแรกที่เจอแค่ครั้งเดียว ส่วนบทเวทย์เน้นทุกครั้งที่มี