Supreme Magus – ตอนที่ 9 จิตวิญญาณของเวทมนตร์

Supreme Magus ตอนที่ 9 จิตวิญญาณของเวทมนตร์

 

ตอนที่ 9 จิตวิญญาณของเวทมนตร์

 

ในเวลานั้น เอเลน่ากับราซกําลังเดินกลับมา เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาดู

 

เมื่อพวกเขาพบว่าออป้ากําลังอาเจียนอยู่ หลังจากเข้าไปใกล้ๆ พวกเขาก็เข้าใจสถานการณ์ในทันที มันน่าสงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่า ทุกครั้งที่ออป้าเป็นคนป้อนอาหารให้ลิท เด็กน้อยมักจะหิวกว่าปกติ

 

แต่ตอนนี้มีหลักฐานชัดเจน ซุปครีมที่ยังไม่ย่อยกองอยู่เต็มพื้น

 

ใบหน้าของราซเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความโกรธ “เจ้า!” “แม่ผิดหวังในตัวเจ้ามาก ออป้า” เอเลน่าตํานิแทน เมื่อเห็นว่าสามีของเธอโกรธจนพูดอะไรไม่ออก

 

“จากนี้ไปเอเลน่าจะเป็นคนป้อนข้าวให้ลิทแทน เจ้าไปช่วยงานคอกสัตว์ ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ไปแย่งวัวกินเศษฟางอีก”

 

“แต่ท่านพ่อ…” ออป่าพยายามจะพูดแก้ตัว เขาเกลียดกลิ่นเหม็นสาบในคอกสัตว์

 

“ไม่มีแต่!” ราชตะโกน “เอเลน่า ต่อไปนี้แบ่งอาหารส่วนหนึ่งของออป้าให้ลิท เขาต้องได้รับบทลงโทษจากการกระทําของตนเอง”

 

พวกเขาพูดเร็วไปจนลิทฟังไม่ทัน แต่ด้วยใบหน้าที่ซีดลงของออกป๋าถือว่าเป็นข่าวดี

 

ออป้าเริ่มร้องไห้และขอโทษ แต่เด็กน้อยจะยอมให้มันเกิดขึ้นได้ยังไง? เสียงร้องไห้ของลิทที่ดังขึ้นกว่าเดิมทําให้ราชและเอเลน่าเลิกสนใจออป้า แล้วสั่งการให้เขาไปดูแลสัตว์เลี้ยงในคอก

 

หลังจากได้รับการดูแลด้วยอาหารและนมเป็นอย่างดี เขาหันมาทําความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากการทดลอง เขาเริ่มจะเข้าใจหลักการของความสามารถใหม่และเข้าใจเวทมนตร์ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

 

เขาค้นพบว่าการใช้เวทมนตร์มีทั้งหมด ขั้นตอนในกระบวนการทํางาน ขั้นตอนแรกคือปล่อยมานาออกมา ขั้นตอนที่สองคือรวมมานาเข้ากับพลังงานธาตุที่ต้องการ ขั้นตอนสุดท้ายคือการควบคุมผลของมันหรือก็คือเวทมนตร์ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด

 

จิตวิญญาณของเวทมนตร์ช่วยให้เขาข้ามขั้นตอนที่สองไป มันใช้เพียงมานาของเขาเองโดยไม่ต้องยืมธาตุองค์ประกอบบนโลก นั่นทําให้ยากยิ่งกว่าเวทมนตร์ใดๆที่เขาเคยฝึกมา

 

มันต้องใช้สมาธิมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเวทมนตร์ปกติ มานาบริสุทธิ์ไม่มีรูปแบบทางกายภาพ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้สายตาในการควบคุมมันได้

 

ทั้งหมดขึ้นอยู่กับจินตนาการ เขาต้องการทดลองให้รู้ว่าเทคนิคนี้สามารถให้ผลลัพธ์ดีกว่าการใช้เวทมนตร์ปกติได้หรือไม่?

 

แต่ระยะการควบคุมมีจํากัดมาก รัศมีไม่ถึง1เมตร

 

เพราะมีข้อจํากัดในตอนนี้ ลิทหันไปฝึกเวทมนตร์แบบปกติ แต่สิ่งที่เขาได้จาการศึกษาจิตวิญญาณของเวทมนตร์มันสามารถช่วยพัฒนาการใช้เวทมนตร์อื่นๆได้

 

ความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้

 

บางครั้งเขาจะลองใช้เวทมนตร์เพื่อดูความก้าวหน้า หลังจากที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเวทมนตร์มากขึ้น

 

การก้าวหน้าของลิท ทําให้เทคนิคการหายใจของเขาพัฒนาขึ้นเช่นกัน

 

ไม่เพียงแต่การรวบรวมมานาเท่านั้น ตอนนี้เขารับรู้ได้ว่าแก่นมานาของเขามีการเปลี่ยนแปลงขนาดที่ใหญ่ขึ้น และสามารถคาดเดามานาที่อยู่มีเป็นปริมาณอีกด้วย

 

จากการแปรสภาพพลังงานธาตุในอากาศเป็นแก่นมานาอยู่ตลอด ทําให้ขนาดของมันเพิ่มขึ้นจากเข็มหมุดเป็นแก้วหนึ่งใบ

 

แก่นมานามีขนาดเท่าแก้วใบหนึ่ง แล้วเมื่อเขาพัฒนาต่อร่างกายกลับบีบอัดแก่นมานากลับไปเป็นเข็มหมุดอีกครั้ง

 

เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นและหาวิธีที่จะแก้ไขยังไม่ได้ ดูเหมือนว่าแก่นมานากับร่างกายต้องเติบโตไปพร้อมกันอย่างสมดุล

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเขาพยายามรวบรวมแก่นมานา พลังงานธาตุที่ไหลเข้ามาถูกต่อต้านจากแก่นมานา ร่างกายของเขาจึงได้รับการบาดเจ็บ

 

ด้วยการขยายขึ้นและบีบอัด ความบริสุทธิ์ของแก่นมานาเพิ่มขึ้นจนเขาสัมผัสได้

 

หลังจากค้นพบและฝึกฝนจิตวิญญาณของเวทมนตร์ เขาสามารถควบคุมมานาทั้งภายในและภายนอกได้ทั้งหมด

เขาปรับเปลี่ยนเทคนิคเสริมพลังใหม่ เมื่อหายใจเข้าพลังงานของโลกจะรวมกันในร่างกายจนถึงขีดจํากัด

 

จากนั้นปล่อยพลังงานทั้งหมดออกไป ผ่านทุกส่วนของร่างกายแม้แต่เส้นผม

 

หลังจากลองทําแบบนี้บ่อยๆ เขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้น! อากาศที่หนาวเย็นมีผลกับเขาน้อยลง เขาแทบไม่เป็นโรคอะไรเลย

 

เมื่อทุกคนในครอบครัวเป็นหวัด ร่างกายของเขาสามารถหายใจจากอาการป่วยในเวลาอันรวดเร็ว

 

“ถ้ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หมายความว่าเทคนิคการหายใจที่ปรับปรุงแล้ว สามารถช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น แสดงว่าสามารถใช้เทคนิคนี้แทนการออกกําลังกายได้” ดวงตาของเขาเป็นประกาย

 

“หวังว่ามันจะช่วยชั้นทะลุผ่านขีดจํากัดของร่างกายได้ ต่อให้ไม่ได้ มันก็ไม่น่าจะมีผลเสียกับร่างกาย

 

สําหรับชีวิตในครอบครัวของเขามีการเปลี่ยนแปลงบ้างในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

 

หลังจากเหตุการเรื่องซุป การแบ่งแยกระหว่างพี่น้องก็ชัดเจนขึ้น ณ ปัจจุบันตอนนี้เขากับออป้ามีอคติต่อกัน

 

เมื่อออป้าโกรธ เข้าจะเรียกลิทว่าจอมตะกละ

 

เมื่อพ่อแม่ได้ยินออป่าเยาะเย้ย เขาจะถูกตําหนิอย่างรุนแรง และเมื่อเขาพยายามจะเถียง เขากลับถูกตี

 

เขาโทษว่าลิทเป็นต้นเหตุของความโชคร้ายนี้ทั้งหมด ลิทหัวเราะคิกคักทุกครั้งเมื่อเขาถูกพ่อแม่ลงโทษ

 

ความสัมพันธ์ของลิทกับเอเลน่าและราซดีขึ้นเรื่อยๆ

 

เขาเริ่มพูดได้สั้นๆหลังจากที่ร่างกายเติบโตขึ้น พูดว่า “มา” เมื่อเอเลน่าอุ้ม และ “พา” เมื่อราซเข้ามาใกล้ๆ

 

เขาไม่ได้สนิทกับราซเท่าเอเลน่า พ่อของเขามักจะยุ่งกับงานอยู่ตลอดเวลา แล้วปล่อยให้ภรรยากับลูกสาวคนโตดูแลเขา

 

ราชคิดว่าเขายังเด็กเกินไป และในอนาคตมันยังมีเวลาอีกมากที่จะทําความรู้จักกันระหว่างพ่อลูก

ราซแปลกใจเกี่ยวกับลิทเสมอ เขาไม่เคยร้องให้โดยไม่มีเหตุผล แบบที่เด็กๆมักจะทํากันเป็นเรื่องปกติ

 

หากมีใครบังเอิญชนกับเปลของเขาหรือทําเสียงดังขณะที่เขาหลับอยู่ สิ่งที่เด็กน้อยทําคือตื่นขึ้นมามองดูรอบๆแล้ วนอนต่อ

 

ลิทเริ่มชอบเอเลซ่ามากขึ้น เธอดูเหมือนป้ามากกว่าพี่สาวของเขาซะอีก เขามองเธอที่กําลังดูแลเขาเหมือนเห็นภาพของเดเร็คที่กําลังดูแลคาร์ลน้องชายของเขา

 

เขาชอบความอบอุ่นที่เธอมอบให้ เขายิ้มและหัวเราะเมื่อเห็นเขาเรียกเธอว่า “ลา” เอเลซ่าเป็นคนเดียวนอกจากพ่อแม่ที่มีชื่อเรียก

 

มันไม่มาก แต่มันหมายถึงว่าเธออยู่ในโลกของเขา

 

ผ่านไป 6 เดือนนับตั้งแต่ลิทเกิด เขาได้อยู่บนพื้นเป็นครั้งแรก และเริ่มฝึกคลานภายใต้การดูแลที่เข้มงวด เมื่อถึงเดือนที่ 9 เขาสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง และเริ่มพูดชัดเจนมากขึ้น

 

1 ปีผ่านไป เขาพึ่งค้นพบว่าโลกนี้ให้ความสําคัญกับวันเกิดเช่นกัน เขาเริ่มพูดได้เป็นประโยคมากขึ้น

 

การไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเด็กทารกทําให้เป็นเรื่องที่ยาก จึงหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการแสดงออกโชคดีที่ลิทพอที่จะรู้เรื่องที่เด็กทารกควรทําได้อยู่บ้าง ตอนนี้เขาฟังภาษาที่นี่รู้เรื่องอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาจึงได้รับความรู้ใหม่ๆจากการฟังของคนทุกคนที่อยู่ในบ้านพูดคุยกันอยู่เสมอ

 

ถ้าเขารู้ล่วงหน้าว่าเอเลน่ากับราซกําลังจะหัวใจวาย เพียงเพราะเขาเรียกเอเลน่าว่า “แม่ จาก “มา” และเพราะราซเชียร์ให้เขาวิ่ง เขาก็เลยวิ่ง ลิทคงจะรออีกสักครึ่งปีค่อยทําแบบนั้น

 

เขาให้ความสําคัญและใส่ใจทุกคําของราซ เอเลน่า และเอเลซ่า แต่ต้องพยายามทําเหมือนว่าเขาเป็นเด็กน้อยที่ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง

 

เมื่อเขาได้รับอนุญาตให้เดินเล่นในบ้าน พวกเขาจะให้กิ่งไม้เล็กๆกับเขามาด้วย และคาดหวังว่าเขาจะชอบมันและใช้สํารวจบ้าน

 

ตอนนี้เขารู้จักทุกซอกทุกมุมหมดแล้ว แต่ต้องทําเป็นตื่นเต้นเดินไปรอบๆบ้านไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

เป็นอีกอย่างที่ยาก เขาไม่รู้ว่าต้องเริ่มยังไง ตอนเป็นเด็กทารก ทุกคนจะทําสิ่งต่างๆ ด้วยสัญชาติญาณ มีใครกล้าพูดไหมว่าจําได้ว่าทําอะไรไปบ้างตอนอายุ 1 ขวบ?

 

เมื่อเห็นสายตาคาดหวังของทุกคน เขาจึงเริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด เตาผิง แต่ตอนนี้เตาผิงไม่ได้จุดไฟอยู่ด้านในเตามีแต่กองขี้เถ้า

 

เมื่อเขาเดินไปใกล้ ราซก็หยุดเขา

 

“นี่คือเตาผิง ตอนนี้ปลอดภัย แต่ไฟไม่ดี ไฟทําให้เขาเจ็บ อย่าไปจับมัน”

 

เด็กน้อยดูสับสนก่อนจะพยายามเอื้อมมือไปจับขี้เถ้า ราซหยุดมือของเขาไว้

 

“ไฟไม่ดี อย่าไปจับมัน” พ่อของเขาพูดซ้ําอีกรอบ

 

เด็กน้อยมองตาพ่อของเขาอย่างลึกล้ําก่อนพูดว่า “ไฟแย่”

 

“ใช่ ไฟแย่มาก” ราชพยักหน้า

 

ลิทเดินออกจากเตาผิงและเข้าไปหาโต๊ะ เขาพยายามปีนขึ้น เก้าอี้และเกือบร่วงลงไป เอเลน่ารีบวิ่งมาช่วยเขา

 

“พระเจ้า เจ้าตัวน้อยนี้ชอบอันตราย” เมื่อเห็นการแสดงออกที่น่าเป็นห่วงของลิท พวกเขาก็เป็นกังวล

 

เด็กน้อยทําให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายทุกครั้ง เดินเข้าไปในเตาผิง ปืนขึ้นไปบนโต๊ะ หรือพยายามหยิบหม้อและมีดในห้องครัว

 

พวกเขาตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่าการผจญภัยในวันนั้นสุดลง พวกเขาพาเด็กน้อยมานั่งบนผ้าใบที่ปูบนพื้นไม้ นั่งเล่นกับเขาพร้อมถอนหายใจ

 

ลิทมีขอเล่นเป็นม้าเล็กๆ รถเข็นและสุนัขแปลกๆ ของเล่นทุกชิ้นทําจากไม้ การเล่นสําหรับเด็กง่ายมากไม่ต้องมีเหตุผลหรืออธิบายในสิ่งที่เขาทํา

 

เขาสามารถใช้เวลาเล่นเพื่อฝึกฝนจิตเวทได้ เมื่อไม่มีใครอยู่ เขาจะทําให้พวกมันลอยไปใกลที่สุดเท่าที่จะทําได้(จิตเวทะจิตวิญญาณของเวทมนตร์)

 

เขาจําไม่ได้ว่าตัวเองเคยเล่นแบบนี้มาก่อน เขาเริ่มสนุกกับช่วงเวลาเหล่านี้จริงๆการเป็นเด็กจะทําอะไรก็ได้ตามใจชอบของตัวเอง กรีดร้อง หัวเราะได้ตลอดเวลา

 

“ใครจะคิดว่าเพื่อนตัวน้อยที่เงียบๆคนนี้จะมีจินตนาการที่สดใส” ราซพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ “ดูสิ สิ่งที่เขามีก็แค่ของเล่นเก่าๆ”

 

“แต่เหมือนกับว่าเขามีโลกทั้งใบอยู่ในมือ”

Supreme Magus

Supreme Magus

Supreme Magus
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง Supreme Magusไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีแค่ไหน แต่หากคุณได้รู้ถึงชีวิตของผม …. เดเร็ค แมคคอยนั้น คุณก็จะไม่มีทางมองโลกในแง่ดี หรือเป็นบวกได้แน่นอน พ่อของผมเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างแปรปรวน หรือที่หลายคนเรียกกันว่าไบโพลาร์นั่นแหละ …. ในช่วงเวลาหนึ่งเขาสามารถจะหายเข้าไปอยู่ในห้องนอนของตัวเองได้เป็นเวลาหลายวัน โดยที่เขาก็จะออกจากห้องมาแค่ช่วงเวลาที่ต้องเข้าห้องน้ำ และกินข้าวเท่านั้น ขณะที่ในอีกช่วงเวลาหนึ่ง …. เขาก็จะเป็นชายที่ดูเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวเสมอ นอกเหนือจากนี้แล้วมันก็ยังมีช่วงที่เขาอยู่ในอารมณ์สดใสและร่าเริงด้วย โดยในอารมณ์นี้นั้นเขาก็จะทำงานเหมือนกับคนบ้า แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะทำงานมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆเลย เพราะเขามันไร้ความสามารถ ซึ่งเรื่องพวกนี้เองมันก็ได้ทำให้พ่อของผมกลายเป็นที่รังเกียจของชาวบ้าน และท้ายที่สุดแล้วด้วยสภาพทั้งหมดที่พ่อของผมต้องเผชิญนั้นมันก็ได้ทำให้เขาตัดสินใจใช้ยาเสพติด โดยผมเชื่อว่าเมื่อผมพูดมาถึงตรงนี้นั้น ผมก็สามารถจะจัดให้เขาเป็นหนึ่งในพ่อยอดแย่ได้โดยที่ไม่มีใครครหา ….

Comment

Options

not work with dark mode
Reset