แสงที่ 63 พิธีจำแนกหน่วย (1)
1 อาทิตย์ต่อมา..
หลังจากเหตุการณ์วันที่ผมได้เลือกม้า ช่วงเวลาก็ล่วงเลยผ่านพ้นมาถึงหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาในแต่ละวัน ผมก็ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกขี่ไอ้เจ้าเวเดอร์..
ซึ่งทั้งๆที่ผมควรจะขี่มันได้ตั้งแต่วันแรก แต่ทว่าจวบจนหนึ่งอาทิตย์ผมก็ยังขี่มันไม่เป็น ทุกๆครั้งที่ผมขึ้นขี่เพียงแค่มันออกตัววิ่งผมก็ล่วงลงจากแผ่นหลังของมันแล้ว
โดยที่มันก็ทำให้ผมรู้สึกโครตที่จะหงุดหงิด แต่ถึงอย่างนั้นในความรู้สึกลึกๆแล้ว ตัวของผมกลับสัมผัสได้ว่าตัวเองน่าจะมีปมอะไรสักอย่างกับม้า จนทำให้ผมไม่สามารถที่จะขี่มันได้
ตัดมาที่ทางด้านของวีรกรรมที่ผมได้ก่อเอาไว้ ซึ่งเท่าที่ผมได้ยินมาจากเอลิเซียที่ออกไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร ดูเหมือนว่าในตอนนี้ทั้งสถาบันอาคัสจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักผม ไม่เว้นแม้แต่พวกอาจารย์..
ซึ่งพวกนักเรียนได้ตั้งฉายาให้ผมเอาไว้ว่าพยัคฆ์สีเงินไร้เนตร โดยที่ชื่อแม่งโครตจะลิเกเลย สู้รหัสเก่าพิฆาตทมิฬของผมก็ไม่ได้ ส่วนที่ไปที่มาของฉายา ถ้าให้เดาพยัคฆ์คงจะมาจากเหล่าทัพ ส่วนสีเงินกับไร้เนตรก็คงจะเป็นเส้นผมสีเงินของผม ผสานกับการที่ผมมักจะเอาผมมาปิดตาเอาไว้อยู่ตลอด ฉายาจึงออกมาเป็นแบบนี้..
ซึ่งนอกเหนือจากสิ่งที่เล่ามา ตลอดหนึ่งอาทิตย์ก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ จนกระทั่งช่วงเวลาผ่านพ้นมาถึงวันที่ผมรอคอย วันที่จะได้จำแนกเข้าเหล่าทัพและกลายเป็นทหารอย่างเต็มตัว..
ภายในห้องพัก..
“อึก..”
ท่ามกลางบรรยากาศอึดอัดภายในห้อง อีกหนึ่งชั่วโมงพิธีจำแนกหน่วยจะเริ่มต้นขึ้น ในตอนนี้ผมกับเอลิเซียและฮิตเลอร์กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร ต่างคนก็ต่างแสดงสีหน้ากดดันและเป็นกังวล..
“เปิดพร้อมกันนะ..”เอลิเซียที่กล่าวออกมา ภายในมือของพวกเรากำลังถือกระดาษที่เขียนหน่วยที่อยากจะเข้าเอาไว้..
“ถ้างั้นมาเริ่มนับกันเลย..”ฮิตเลอร์ที่กล่าวออกมา พลางชำเลืองสายตามองผมกับเอลิเซีย เธอนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างกึ่งกลางพวกเรา..
“หนึ่ง..!”พวกเราสามคนที่เริ่มนับพร้อมกัน..
“สาม..!”
ตึก..!
“บางทีฉันก็สงสัยนะว่าพวกแกตกเลขกันปะ..?”ไอ้จ้อนที่กล่าวถามผม ดูเหมือนว่าการนับแบบนี้จะกลายเป็นสิ่งที่ผมกับทั้งสองสาวจะรู้กันดีอยู่แล้ว
ซึ่งทันทีที่นับถึงสามพวกเราทั้งสามคนก็ตบกระดาษลงบนโต๊ะ ก่อนที่ต่างฝ่ายจะต่างเอามือออกพลางดูของกันและกัน..
[หน่วยพยัคฆ์คลั่ง]
[หน่วยพยัคฆ์อเวจี]
[หน่วยพยัคฆ์โลหิต]
และแล้วผลลัพธ์ก็ปรากฏออกมา ตัวของผมนั้นได้ตัดสินใจที่จะเข้าหน่วยพยัคฆ์คลั่ง ส่วนเอลิเซียเลือกที่จะเข้าหน่วยพยัคฆ์อเวจี ปิดท้ายด้วยฮิตเลอร์ที่ตัดสินใจเข้าหน่วยพยัคฆ์โลหิต เป็นหน่วยที่ผมพึ่งจะเคยได้ยิน..
ซึ่งเท่าที่ผมจำไม่ผิด แต่ละเหล่าทัพจะมีหน่วยด้วยกันอยู่ 5 หน่วย ในกองทัพทารอนจะประกอบไปด้วย หน่วยพยัคฆ์คลั่ง,หน่วยพยัคฆ์คำรน,หน่วยพยัคฆ์อเวจี,หน่วยพยัคฆ์โลหิต และอีกหนึ่งหน่วยที่ผมยังไม่รู้จักชื่อ..
โดยที่แต่ละหน่วยจะจำแนกปลีกย่อยออกไปอีกสามหน่วย ยกตัวอย่างเช่นหน่วยพยัคฆ์คลั่งที่หนึ่ง,หน่วยพยัคฆ์คลั่งที่สอง,และหน่วยพยัคฆ์คลั่งที่สาม..
“ทำไมถึงเข้าหน่วยพยัคฆ์โลหิตล่ะ..?”เอลิเซียที่หันไปถามกับฮิตเลอร์..
“ท่านแม่อยู่ที่หน่วยพยัคฆ์โลหิตน่ะ เราอยากจะเป็นกำลังให้เธอก็เลยเลือกที่จะเข้าหน่วยนี้..”ฮิตเลอร์ที่กล่าวออกมา ถ้าจำไม่ผิด..แม่บุญธรรมของเธอคือทหารยศพันโทที่ชื่อว่าเอมิลี่สินะ..
“แล้วเอลิเซียล่ะ ทำไมถึงอยากเข้าหน่วยพยัคฆ์อเวจี..”ฮิตเลอร์ที่ถามกลับ..
“ท่านพ่อของฉันเคยอยู่ที่หน่วยนี้น่ะ แถมตลอดสองปีที่ผ่านมาฉันก็ได้อาจารย์สไปร์สที่คอยดูแล อีกไม่กี่ปีเธอก็จะกลับเข้ามาทำงานหน่วยแล้ว ฉันจึงอยากที่จะเป็นกำลังให้เธอเหมือนกัน..”เอลิเซียที่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ..
“เดี๋ยวนะ..ถ้างั้นคนที่สั่งให้พ่อของเอลิเซียปกป้องชายแดนก็คือท่านผู้อำนวยการวิลเลี่ยมน่ะสิ..?”ฮิตเลอร์ที่เอ่ยถาม..
“เปล่า..คนที่มอบหมายหน้าที่ให้ท่านพ่อของฉันคืออดีตพลเอกคนก่อนน่ะ พอท่านพลเอกคนนั้นเสียชีวิตไป ท่านผู้อำนวยการวิลเลี่ยมก็ขึ้นมาดำรงตำแหน่งต่อ..”เอลิเซียที่อธิบาย เธอและฮิตเลอร์ต่างมีจุดมุ่งหมายเป็นของตัวเอง..
“จริงสิ..ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินอาจารย์สไปร์สบอกว่ารู้จักกับพ่อของเธอหนิ..”ผมที่กล่าวกับเอลิเซีย..
“ใช่..ก็สามีของเธอเป็นน้าของฉัน แถมท่านน้าเองก็เสียชีวิตในภารกิจปกป้องชายแดนพร้อมกับท่านพ่อ..”เอลิเซียที่กล่าวออกมา ซึ่งมันก็ถึงกับทำให้ผมอึ้งไปชั่วขณะ ใครจะคิดกันละว่าสามีของสไปร์สที่ตายไปจะเป็นน้องชายของพ่อเอลิเซีย..
“แล้วนายล่ะ ทำไมถึงอยากจะเข้าหน่วยพยัคฆ์คลั่ง..?”
“ฉันน่ะเหรอ..? มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นเจ้าชีวิตของฉันอยู่น่ะ ชีวิตของฉันเป็นของเธอคนนั้..น ฮะ..เฮ เดี๋ยวสิ..”
ในขณะที่ผมกำลังอธิบาย จู่ๆเอลิเซียกับฮิตเลอร์ก็พองแก้ม ใบหน้าของพวกเธอแดงก่ำขึ้นมาในทันที..
“อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลยนะ..!”เอลิเซียกับฮิตเลอร์ที่กล่าวผสานเสียง ก่อนที่ผมจะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเจ๊เจมิสคร่าวๆให้ทั้งสองได้ฟัง..
“เห๋..ร้อยโทเจมิสคนนั้นน่ะเหรอ..?!!”เอลิเซียกับฮิตเลอร์ที่ทำตาโต คนทั้งสองต่างส่งเสียงออกมาด้วยความตกตะลึง..
“นี่พวกเธอรู้จักเจมิสด้วยเหรอ..?”
“รู้สิ..ท่านร้อยโทเจมิสคืออดีตหัวกระทิลำดับที่สามของสถาบันรุ่น 333 โดยที่รุ่น 333 ที่ว่าถือว่าเป็นรุ่นที่รวมทหารที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันเอาไว้กว่าหลายคน หลังจากที่จบหลักสูตรไป ท่านใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีในการเลื่อนระดับจนติดยศร้อยเอก แถมยังเป็นผู้นำกองร้อยในภารกิจสำคัญหลายๆภารกิจ..”เอลิเซียที่อธิบาย ก็แค่ยศร้อยโท..ไหงถึงเป็นคนดังกันได้นะ..
“ท่านแม่ของฉันก็เคยพูดถึงท่านร้อยโทเจมิส ในสมัยที่ท่านร้อยโทยังติดแค่ยศร้อยตรีอยู่ ท่านแม่เคยบอกว่าเธอคนนั้นถือว่าเป็นทหารที่โดดเด่น ในอนาคตจะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากแน่ๆ..”ฮิตเลอร์ที่กล่าวออกมาเป็นเสียงที่สอง..
“แต่เดี๋ยวก่อน..เมื่อกี้นายบอกว่านายถูกท่านร้อยโทพาตัวไปที่ชายแดนใต้ ทั้งๆที่ยังไม่ได้เข้าเรียนในสถาบันเนี่ยนะ..?”
“ใช่..แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ที่อยากจะบอกคือร้อยโทเจมิสเป็นคนที่ทำให้ฉันมายืนอยู่ในจุดนี้ อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงที่ฉันแอบชอบด้วย..”ผมที่กล่าวออกมาตรงๆ พอเอลิเซียกับฮิตเลอร์ได้ยินก็ต่างชะงัก..
“เข้าใจแล้ว ถ้านายชอบเธอ..พวกเราก็จะชอบด้วย แล้วความสัมพันธ์ระหว่างนายกับท่านร้อยโทล่ะ ช่วยเล่าให้มันละเอียดกว่านี้หน่อยสิ..”เอลิเซียที่กล่าวกับผม เธอดูเหมือนจะยอมรับเรื่องพวกนี้ได้และไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
“เวลาไม่เหลือแล้ว..ก็อย่างที่บอกไป ฉันจำเป็นที่จะต้องเข้าหน่วยพยัคฆ์คลั่งเพราะสัญญากับทางนั้นเอาไว้แล้ว..”ผมที่กล่าวตัดบท ซึ่งถึงแม้ว่าเอลิเซียกับฮิตเลอร์จะอยากรู้ แต่เวลามันก็เหลือไม่มากแล้ว..
“เอาเวลามาสนใจเรื่องของฉัน ฉันว่าพวกเรามากอดอำลากันก่อนดีกว่าไหม..? คงจะอีกหลายปีเลยกว่าจะได้เจอกัน..”ผมที่บอกกับทั้งสองคน พร้อมกับอ้าแขนออก
ซึ่งพอเอลิเซียกับฮิตเลอร์เห็นแบบนั้น ใบหน้าของทั้งสองก็ค่อยๆเบะย่น ก่อนที่พวกเธอจะ..
ฟุบ..!
“ฮึก..ไม่อยากแยกเลย..”เอลิเซียที่กล่าวออกมาด้วยเสียงที่สั่นระริก
“ใช่..เราเองก็อยากจะอยู่ด้วยกันแบบนี้ อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป..”ฮิตเลอร์ที่กล่าวต่อ หยดน้ำตาพลันพรั่งพรูออกมาจากดวงตาของเธอ
“ไม่เอาน่า..พวกเราคุยกันเอาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ต่างคนต่างก็มีจุดมุ่งหมายเป็นของตัวเอง เอาไว้เจอกันอีกที..ฉันหวังว่าอย่างน้อยที่สุดพวกเธอจะติดยศจ่านะ..”ผมที่บอกกับคนทั้งสองพลางลูบหัว..
“ฮึก..เข้าใจแล้ว คอยดูเถอะ..!”เอลิเซียกับฮิตเลอร์ที่กล่าวออกมาด้วยความมุ่งมั่น ก่อนที่สุดท้ายแล้วพวกเราจะมุ่งหน้าสู่พิธีจำแนกหน่วย..
ณ พิธีจำแนกหน่วย..
หลังจากที่ผมและทั้งสองสาวเก็บสัมภาระทั้งหมดจนเสร็จ พวกเราก็ได้ขี่ม้าไปยังสถานที่จัดงานของพิธีจำแนกหน่วย..
ซึ่งพิธีจำแนกหน่วยนั้นถูกจัดขึ้นที่ลานกว้างทางทิศตะวันออกระแวกหน้าอนุสาวรีย์ที่ใหญ่ที่สุดของอาคัส โดยที่ตรงบริเวณอาณาเขตของสถานที่ดังกล่าวคือลานกว้างขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือนกับสถานที่คัดเลือกทหารเกณฑ์เมื่อหนึ่งปีก่อน..
ซึ่งตัวของผมเองก็พึ่งจะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ในตอนนี้ผมกับเอลิเซียและฮิตเลอร์กำลังยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าพิธี โดยที่ภายในลานกว้างนั้นมีนักเรียนที่จบหลักสูตรเพียงแค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น แบ่งออกเป็นทหารจากทัพทารอน 40 นาย เอทารอส 60 นาย และคีทารัส 50 นาย..
โดยที่ในตอนนี้นักเรียนของแต่ละเหล่าทัพก็เริ่มที่จะทยอยกันไปเข้าแถวแล้ว ลักษณะของการเข้าแถวที่ว่าดูเหมือนจะถูกแบ่งออกเป็นแต่ละเหล่าทัพ ทารอนอยู่ทางซ้ายมือ เอทารอสอยู่ตรงกึ่งกลาง และคีทารัสอยู่ทางขวาสุด..
ซึ่งนอกเหนือจากนี้เท่าที่ผมสังเกตเห็นทางด้านหน้าสุดของแต่ละเหล่าทัพเหนือพื้นที่ต่างระดับขึ้ยไปในตอนนี้จะปรากฏให้เห็นเป็นร่างของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ยศพลตรีที่ยืนอยู่ แต่ละเหล่าทัพจะมีพลตรีที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ด้วยกันกว่าห้าคน
โดยที่ตัวแทนหรือพลตรีเหล่านั้นกำลังยืนหันหลังให้กับอนุสาวรีย์อันทรงเกียรติของอาคัส และหันหน้าให้กับเหล่าทหารที่จบใหม่
ซึ่งตั้งแต่ที่ผมถูกส่งมายังโลกใบนี้ ผมก็ได้สังเกตเห็นอยู่หลายครั้ง ตามปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นการเกณฑ์ทหารเข้าเหล่าทัพ หรือการจำแนกทหารเข้าหน่วยในวันนี้ มันควรจะเป็นหน้าที่ของนายทหารยศนายพัน..
แต่ทว่านายทหารชั้นผู้ใหญ่อย่างยศนายพลกลับลงมาจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง มันจึงทำให้ผมค่อนข้างที่จะผมรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย เพราะนายทหารระดับสูงควรจะนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานหรือไม่ก็ประจำการอยู่ที่ศูนย์บัญชาการคอยสั่งการ และปล่อยให้พวกนายพันลงมาจัดการทุกอย่างแทนตัวเอง..
แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็คงจะต้องทิ้งสามัญสำนึกเดิมไปในเมื่อที่นี่คือต่างโลก และอีกส่วนหนึ่งถ้าให้คิดในมุมกลับ การที่นายพลลงมาจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง มันก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจำแนกทหารเข้าเหล่าทัพ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าทหารของอาคัสนั้นมีความสำคัญมากแค่ไหน..
“แล้วเราจะต้องไปเลือกหน่วยตรงไหน..?”ผมที่ถามกับเอลิเซีย..
“ไปเข้าแถว..เดี๋ยวเขาจะเรียกตามรายชื่อทีละคน พอเขาเรียกก็ขึ้นไปเลือกหน่วย ต่อจากนั้นตัวแทนของแต่ละหน่วยจะออกมาประดับยศสิบตรีให้ เท่านั้นก็เป็นอันเสร็จพิธี..”เอลิเซียที่บอกกับผม ซึ่งก็ดูเหมือนว่าพิธีจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ในตอนนี้เหล่าทัพทั้งสามได้ประกาศรายชื่อนักเรียนให้ขึ้นไปเลือกหน่วยทีละคน..
“ถ้างั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ..”ผมที่บอกกับเอลิเซียและฮิตเลอร์ ซึ่งทั้งสองคนก็พยักหน้ายิ้มรับ ก่อนที่พวกเราจะเดินไปต่อแถว..
“ดูรัส อาเคส หัวกะทิลำดับ 5 ของแผนกยุทธวิธี..”เสียงประกาศรายชื่อจากนายทะเบียนของเหล่าทัพคีทารัสที่ยืนอยู่ทางด้านข้าง ก่อนจะปรากฏเป็นร่างของชายหนุ่มที่เดินขึ้นบันไดไปเลือกหน่วย
“หน่วยกระทิงทะลวงต้องการตัว ถ้าเข้าหน่วยติดยศว่าที่สิบโทให้ พร้อมสวัสดีการเงินเดือน 2 เท่า..”เสียงของพลตรีจากคีทารัสคนหนึ่งที่ยกมือกล่าวออกมา..
“หน่วยกระทิงเขาเหล็กต้องการตัว ติดยศว่าที่สิบโทให้ พร้อมสวัสดิการเงินเดือน 2 เท่า กับน้ำยามานาอีก 1 ลัง..”เสียงของพลตรีจากคีทารัสอีกคนที่ยกมือขึ้น พร้อมกับยื่นข้อเสนอ ดูเหมือนว่าจะมีการแย่งตัวกันเกิดขึ้น..
“ผมขอเลือกหน่วยกระทิงเขาเหล็ก..”นักเรียนที่ชื่อดูรัสหรือหัวกะทิที่ให้คำตอบ เขาเลือกสิ่งที่ดีกว่า ก่อนจะเดินขึ้นไปประดับยศ..
“ส่งตัวไปยังกองร้อยที่สาม รอรับคำสั่งเรียกตัวออกทำภารกิจระดับ 2 ที่ชายแดนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ในอีก 2 เดือนข้างหน้า..”
ทันทีที่พลตรีของหน่วยกระทิงเขาเหล็กประดับยศเสร็จ เขาก็ได้หันไปกล่าวกับพันตรีผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับทำให้ดูรัสต้องหน้าเสีย เมื่อรู้ว่าภารกิจแรกจะต้องถูกส่งไปที่ชายแดน..
“เฮือก..ผะ..ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมขอเปลี่ยนหน่วย..”ดูรัสที่กล่าวออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะสายเกินไปเสียแล้ว..
“แกเลือกไปแล้วเปลี่ยนไม่ได้ พาตัวมันไป”พลตรีของหน่วยกระทิงเขาเหล็กที่กล่าวออกมา ถึงกับทำให้อีกฝ่ายต้องหน้าเสียได้แต่ต้องก้มหน้าคอตกลงไป..
“พวกหัวกะทิจะได้รับสิทธิพิเศษแบบนั้นแหละ ไม่ว่าหน่วยไหนก็ต่างต้องการตัว เพราะอัตราการจบหลักสูตรของอาคัสมันค่อนข้างที่จะต่ำ พอจบไปก็ต้องถูกส่งไปทดสอบความสามารถ กองทัพจะส่งให้ไปเป็น ผบ.หมู่คอยควบคุมกองกำลังทหารสามัญ..”เอลิเซียที่อธิบายให้ผมได้ฟัง อย่างนี้เองสินะ..ดูเหมือนว่าทหารจบใหม่ของแผนกยุทธวิธีที่ติดยศนายสิบจะถูกส่งไปทดสอบความสามารถ โดยให้เป็น ผบ.หมู่ ที่คอยควบคุมดูแลกองกำลังทหารจากค่ายสามัญ..
โดยที่สถานะทหารของอาคัส แม้จะจบใหม่และติดแค่ยศสิบตรี แต่ก็มีสถานะที่สูงกว่าทหารในค่ายสามัญ..
“อย่างนั้นเองสินะ จะว่าไปแล้วไอ้น้ำยามานานี่คืออะไร..?”ผมที่ถามกับเอลิเซียด้วยความสงสัย..
“อ้าว..นี่นายไม่รู้เหรอ..? น้ำยามานาคือน้ำยาที่สกัดมาจากหินมานา ผู้ใช้เอมพาสชนิดกักเก็บจะต้องกินมันเข้าไปหลังจากที่เปิดวงจร หรือถ้าจะให้อธิบายมันก็คือเงื่อนไขของผู้ถือครองเอมพาสชนิดกักเก็บนั่นแหละ..”
“พึ่งรู้นะเนี่ย..”ผมที่กล่าวออกมา แต่แล้ว..
“หะ..หืม..? โจทย์เก่านี่หว่า..”ผมที่กระตุกรอยยิ้มกล่าวออกมา เมื่อสายตาได้เหลือบชำเลืองไปพบเข้ากับเปเนส ดูเหมือนว่ามันจะได้รับหน้าที่ให้มาจำแนกทหารเข้าหน่วยในวันนี้ แถมสีหน้าของมันในตอนนี้กำลังดูเดือดแบบสุดๆ..
ซึ่งนอกเหนือจากไอ้เจ้าเปเนสแล้ว ในเหล่าทัพเอทารอสก็มีพลตรีอยู่อีกคนหนึ่งที่กำลังแสดงสีหน้าไม่ต่างกัน โดยที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไอ้เจ้านั่นจะต้องเป็นพ่อของไอ้รันต้าอย่างแน่นอน
อีกทั้งข้างๆกายพ่อของไอ้รันต้า ยังมีพลตรีอีกคนที่ยืนอยู่ ผมจดจำพลตรีคนนั้นได้เป็นอย่างดี เธอคือคนเดียวกันกับที่ผมเจอในวันเกณฑ์ทหาร พลตรีแห่งกองทัพเอทารอสซาช่า..
ตัดมาที่ทางด้านของทัพทารอน ดูเหมือนว่าวันนี้ผมคงจะต้องรับศึกหนัก จากการที่ตัวแทนในวันนี้มีทั้งพลตรีเจมิไนท์ (หน่วยพยัคฆ์คลั่ง) พลตรีเลอัส (หน่วยพยัคฆ์คำรน) และที่หนักที่สุดดูเหมือนจะมีอีกคนที่มาเป็นผู้คัดเลือกทหารเข้าหน่วยด้วยตัวเอง อย่างพลเอกวิลเลี่ยมหรือผู้อำนวยการของสถาบัน แถมในตอนนี้คนทั้งสามกำลังจ้องมองมาที่ผมตาเขม็ง ทำเอาผมถึงกับทำตัวไม่ถูก..
“ลิซ่า วาดิเนียร์ หัวกะทิลำดับที่ 1 ของแผนกยุทธวิธี..”เสียงนายทะเบียนประจำเหล่าทัพเอทารอสที่ประกาศรายชื่อ ก่อนที่ร่างของลิซ่าจะเดินขึ้นไปหยุดอยู่ต่อหน้าของพลตรีจากทั้งห้าหน่วย..
“ดิฉันขอเลือกหน่วยอินทรีวายุ..”ลิซ่าที่กล่าวออกมา ก่อนที่ซาช่าจะเดินไปประดับยศให้เธอ..
“หืม..แปลกแฮะ ทั้งๆที่ยัยนั่นก็เป็นหัวกะทิ ทำไมถึงไม่มีใครคิดที่จะแย่งตัวไปเลยล่ะ..?”ผมที่กล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ใช่ว่าไม่แย่ง แต่ถึงต่อให้แย่งไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะว่าลิซ่าน่ะตั้งใจที่จะเข้าหน่วยอินทรีวายุตั้งแต่ทีแรกอยู่แล้ว..”เอลิเซียที่กล่าวออกมา ก่อนที่เธอจะค่อยๆก้มหน้ากำหมัดแน่น..
“หืม..? ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ถึงต่อให้เธอตั้งใจที่จะเข้าหน่วยอินทรีวายุอะไรนั่น แล้วพวกพลตรีของหน่วยอื่นๆจะรู้ได้ยังไงว่าเธอจะเข้าหน่วยไหน..?”
ผมที่กล่าวออกมา เป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ซาช่าจะประดับยศให้ลิซ่าเสร็จ อีกทั้งเธอยังใช้มือตบลงไปบนบ่าของอีกฝ่าย แถมสีหน้าของซาช่าในเวลานี้มันกำลังแสดงออกถึงความภาคภูมิใจ นะ..นี่อย่าบอกนะว่า..
“รู้ตั้งแต่ที่นายทะเบียนเอ่ยนามสกุลวาดิเนียร์ออกมา พลตรีซาช่าน่ะ..คือท่านแม่ของฉันเอง..”สิ้นคำตอบของเอลิเซีย ผมที่ได้ยินก็ถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เดี๋ยวสิ..แม่ยายเหรอ..? ไม่ๆ ไม่นับ..ยังไงเอลิเซียก็ออกจากตระกูลมาแล้ว..
“โลกแม่งโครตจะกลม..”ไอ้จ้อนที่กล่าวออกมา..
“งะ..งั้นเองสินะ..”ผมที่ถึงกับสะอึก ก่อนจะตอบกลับด้วยใบหน้าแห้งๆ..
“เอลิเซีย อาคีลิส แผนกยุทธวิธี..!”
แต่แล้วทันใดนั้นจู่ๆนายทะเบียนของทารอนก็ประกาศชื่อของเอลิเซียออกมา แต่ทว่านามสกุลของเธอกลับไม่ใช่วาดิเนียร์..
“อาคีลิสเหรอ..?”ผมที่กล่าวออกมา..
“ฉันยื่นเรื่องเปลี่ยนมาใช้นามสกุลพ่อน่ะ ดูเหมือนว่าพึ่งจะผ่านการตรวจสอบ ถ้างั้นฉันไปก่อนนะ..”เอลิเซียที่บอกกับผม ก่อนที่เธอจะโบกมืออำลา..
“รักษาตัวด้วยนะ..”ฮิตเลอร์ที่บอกกับเอลิเซีย..
“อย่าลืมสัญญาล่ะ..”ผมที่กล่าวย้ำ โดยที่เธอก็พยักหน้ายิ้มรับ ก่อนจะเดินขึ้นไปเลือกหน่วย..
โดยในขณะเดียวกันผมก็สังเกตเห็นว่าลิซ่ากับซาช่ากำลังจ้องมองมาที่เอลิเซีย อีกทั้งแววตาของคนทั้งสองกำลังแสดงออกถึงความไม่พอใจ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะเอลิเซียได้เปลี่ยนมาใช้นามสกุลของพ่อ..
“หน่วยพยัคฆ์อเวจีต้องการตัว ติดยศว่าที่สิบโท..สวัสดิการเงินเดือน 3 เท่า เมื่อขึ้นยศจ่าสิบตรีจะลดลงเหลือ 2 เท่า พร้อมน้ำยามานา 3 ลัง..”
ทันใดนั้นเองสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ทุกๆคนต่างหันมามองยังเอลิเซียเป็นสายตาเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่ลิซ่ากับซาช่า จากการที่พลเอกอย่างวิลเลี่ยมได้เอ่ยปากยื่นข้อเสนอให้กับเอลิเซียราวกับว่าเขาต้องการตัวของเธอให้มาเข้าสังกัดอยู่ที่หน่วยพยัคฆ์อเวจี..
“อะไรกัน..?”ลิซ่าที่สบถออกมา ทางด้านของซาช่าเองก็พลันหรี่ตามองด้วยความประหลาดใจ..
“หืม..?”เจมิไนท์ เลอัสและพลตรีจากทัพทารอนอีกสองหน่วยที่หรี่ตาลง พวกเขาต่างพากันตระหนักได้ในทันทีว่านักเรียนหญิงคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน..
“หน่วยพยัคฆ์คลั่งต้องการตัว ติดยศว่าที่สิบโท..สวัสดิการเงินเดือน 3 เท่า เมื่อขึ้นจ่าสิบตรีจะลดลงเหลือ 2 เท่า พร้อมน้ำยามานา 4 ลัง..”เจมิไนท์ที่กล่าวออกมา พลางชำเลืองหางตามองวิลเลี่ยม พร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม..
“พลตรีเจมิไนท์..ใจกล้าไม่เบาหนิ..”วิลเลี่ยมที่กล่าวออกมา..
“หึๆ ท่านพลเอก..ท่านเผยไต๋ออกมาซะขนาดนี้จะให้ผมยืนอยู่เฉยๆได้ยังไง การที่ท่านยอมทุ่มสวัสดิการให้สูงขนาดนั้น ทั้งๆที่นักเรียนคนนี้ก็ไม่ได้เป็นหัวกะทิ แสดงว่าเธอจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ผมพูดถูกใช่ไหม..?”เจมิไนท์ที่กล่าวออกมา ก่อนจะเอ่ยถาม ทำให้วิลเลี่ยมถึงกับสะอึก พูดอะไรไม่ออก..
ซึ่งถึงแม้ว่าเจมิไนท์จะไม่รู้ว่าเอลิเซียมีความสามารถอะไรก็ตาม แต่การที่อีกฝ่ายยอมทุ่มขนาดนี้ ความสามารถของเธอจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน..
“หึ..ไอ้น้องเวร..แกควรจะให้เกียรติและไว้หน้าท่านพลเอกบ้างนะ..”เสียงของเลอัสที่กล่าวออกมา ซึ่งมันก็ทำให้เจมิไนท์มองเขาตาขวาง..
“ดะ..ดิฉันขอเลือกหน่วยพยัคฆ์อเวจีค่ะ..”เอลิเซียที่เปล่งเสียงกล่าวออกมา พอวิลเลี่ยมได้รับคำตอบก็ยกยิ้ม ก่อนจะเข้าไปประดับยศสิบตรีให้ โดยที่ทางด้านของเจมิไนท์ก็ทำท่ายักไหล่กวนประสาทเลอัส..
“สิบตรีเอลิเซีย ฉันจะให้เธอเข้าสังกัดกองร้อยที่หนึ่ง ประจำการหัวเมืองหลักทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ รอจนกว่าจะมีคำสั่งออกทำภารกิจ ยังไงก็ไปรอที่รถม้าที่อยู่ตรงนั้นก่อน..”วิลเลี่ยมที่บอกกับเอลิเซีย โดยที่เธอก็ยกฝ่ามือขึ้นมาทำวันทยาหัตถุ ก่อนจะเดินกลับลงไป..
“…”ซาช่าที่พลันชักสีหน้าไม่พอใจ เธอดูเดือดดาลเป็นอย่างมาก..
“ทะ..ท่านพลตรีซาช่า ได้โปรดระบุสังกัดด้วยครับ..”เสียงของนายทะเบียนที่เอ่ยดังขึ้นช่วยปลุกสติของซาช่าที่หยุดชะงักไป..
“ขอโทษด้วย..สิบตรีลิซ่า ฉันจะให้เธอเข้าสังกัดกองร้อยที่หนึ่ง ประจำการหัวเมืองหลักทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และรอคำสั่งภารกิจระดับ 2 ที่ชายแดน..”ซาช่าที่กล่าวออกมา พร้อมกับระบุและมอบหมายภารกิจที่ท้าทายให้..
“ค่ะ..!”ลิซ่าที่ยกฝ่ามือขึ้นมาทำวันทยาหัตถ์ ก่อนจะเดินลงไป โดยในขณะที่เดินเธอก็พลันหันไปจ้องหน้าของเอลิเซีย โดยที่อีกฝ่ายก็จ้องตอบ..
ก่อนที่หลังจากนั้นแล้วพิธีจำแนกหน่วยจะดำเนินต่อไป โดยที่ทางด้านของฮิตเลอร์ก็ขึ้นไปเลือกหน่วยของตัวเอง อีกทั้งยังถูกวิลเลี่ยมยื่นข้อเสนอให้..
ซึ่งเท่าที่สังเกตเห็นดูเหมือนว่าวิลเลี่ยมพอจะเดาศักยภาพของเอลิเซียกับฮิตเลอร์ออก จากการที่พวกเธออยู่กลุ่มเดียวกันกับผม จึงคิดที่จะดึงตัวพวกเธอเข้าหน่วย
“พลตรีเรติส..ฉันรู้ว่านายกำลังโกรธ แต่ถ้าเป็นไปได้ช่วยเก็บอาการจะได้ไหม..?”ซาช่าที่หันไปกล่าวกับพลตรีที่ชื่อเรติส ซึ่งพลตรีคนนี้เป็นชายวัยกลางคนผมสีแดง ร่างกายสูงโปร่ง โดยที่เขานั้นก็คือพ่อของรันต้า..
“ซาช่านี่เธอจะให้ฉันสงบอย่างงั้นเหรอ..? ลูกชายของฉันถูกไอ้ขยะที่ไหนก็ไม่รู้มันบดขยี้ศักดิ์ศรี จนเกือบจะกลายเป็นบ้า ถ้าฉันเจอตัวไอ้สวะนั่นเมื่อไหร่ฉันฆ่ามันแน่..!”
“เฮ้อ..ถ้าฉันได้ยินมาไม่ผิดรู้สึกว่าลูกชายของไอ้เจ้าเปเนสเองก็เห็นว่าโดนมาเหมือนกันหนิ ฉันว่าไอ้เจ้าเด็กที่ทำให้รันต้าต้องตกอยู่ในสภาพนั้นได้ มันจะต้องเป็นสัตว์ประหลาดแน่ๆ..”ซาช่าที่ถอนหายใจกล่าวออกมา เธอเองก็พึ่งจะมารู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ รวมไปถึงเรื่องที่รันต้ากับไมค์ถูกทำให้อับอายต่อหน้าของเหล่านักเรียน..
ครั้กแรกที่ซาช่าได้ยินมันก็ทำให้เธอรู้สึกสะพรึงเป็นอย่างมาก เธอแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น..
“ไม่..ไอ้เจ้านั่นมันจะต้องเล่นสกปรกแน่ๆ ถ้าสู้กันยังไงรันต้าก็ไม่มีทางที่จะแพ้..กรอด”เรติสที่ขบฟันกล่าวออกมา ยิ่งพูดมันก็ทำให้เขายิ่งแค้น
“เอาน่า..นายไม่ต้องห่วง ยังไงฉันก็ไม่ถอดถอนการหมั้นระหว่างรันต้ากับยัย..อึก กับเอลิเซียหรอก ฉันจะหาทางทำให้เธอกลับเข้ามาในตระกูล..”
“ฉันสงสัยมาตั้งนานแล้ว ทำไมเธอถึงเลือกให้ยัยเด็กคนนั้นมาหมั้นหมายกับรันต้า แทนที่จะเป็นลิซ่า..? หรือว่าเธอคิดว่าการหมั้นหมายระหว่างวาดิเนียร์กับบารัสมันไม่สำคัญ..? เธออย่าลืมนะว่าการแต่งงานของเด็กทั้งสอง มันจะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตระกูล เพราะมีฉันอยู่ไอ้พวกตระกูลดัสเชสเลยไม่กล้ามีปัญหากับเธอ ลองคิดดูให้ดีๆ..เธออยากจะเห็นการต่อสู้ภายในหรือยังไง..?”
“ฉันรู้แล้วน่า..แต่ลิซ่าคงจะไม่ได้จริงๆ เด็กคนนั้นมีพรสวรรค์ ไม่แน่ว่าเธออาจจะก้าวข้ามฉันก็ได้..”ซาช่าที่กล่าวออกมา..
“หึ..ก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไง อย่าคิดที่จะถอนหมั้นที่หลังล่ะ..”
“เรื่องนั้นมันก็ไม่แน่หรอก ถ้าเกิดลูกของนายกลายเป็นบ้า ฉันก็คงต้องถอนหมั้นไม่งั้นมีหวังตระกูลของฉันต้องพลอยเสื่อมเสียไปด้วย แค่ลูกชายของนายถูกสัตว์เดรัชฉานมันทำเรื่องบัดซบฉันก็แทบจะรับไม่ได้แล้ว..
และที่สำคัญนายเองก็อย่าลืมนะ เพราะมีวาดิเนียร์ของฉันอยู่ ตระกูลซาฮาถึงไม่กล้ามีปัญหากับนาย สถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้คงมีแต่ต้องพึ่งพากัน..”ซาช่าที่กล่าวออกมา โดยที่ทางด้านของเรติสก็ถึงกับสะอึก ก่อนจะก้มหน้ากำหมัดแน่น..
“กรอด..ทั้งหมดมันเป็นเพราะไอ้เวรนั่น..!”เรติสที่ได้ขบฟันแน่น..
“สตาร์ แผนกยุทธวิธีและแผนกสู้รบ..!”
แต่แล้วทันใดนั้นทุกๆคนก็ต่างต้องพากันหยุดชะงักอีกครั้ง จากเสียงของนายทะเบียนจากทัพทารอนที่ประกาศรายชื่อของนักเรียนคนหนึ่งขึ้นมา..
“หืม..? สองแผนกงั้นเหรอ..? ไม่ยักจะรู้ว่าปีนี้จะมีนักเรียนที่น่าสนใจอยู่ด้วย..”
“นั่นสิ..แต่น่าเสียดายชะมัด ดันไปอยู่ที่ทารอนซะได้..”
เสียงพูดคุยของพลตรีจากเหล่าทัพเอทารอสที่ดังขึ้น..
“สองแผนก..? แปลกแฮะ..ถ้ามีฝีมือขนาดนั้นอย่างน้อยๆน่าจะติดอันดับหัวกะทิสิ..”
“ใช่..หรือว่าจะแค่สอบผ่านแต่ไม่โดดเด่นอะไรมาก..?”
“ก็คงมีความเป็นไปได้..”
พลตรีสองคนของเหล่าทัพคีทารัสที่เปิดประเด็นพูดคุย โดยที่ในเวลานี้ทั้งสองเหล่าทัพได้ให้ความสนใจไปที่สตาร์ จนทำให้การจำแนกของเหล่าทัพตัวเองต้องหยุดชะงัก..
“สตาร์..ไอ้เวรนั่น..!!”เปเนสที่เบิกดวงตากว้างขึ้น สายตาของเขากำลังจ้องมองไปที่สตาร์ด้วยความเคียดแค้น เขารู้อยู่แล้วว่าคนที่ทำให้ลูกชายของเขาต้องตกอยู่สภาพแบบนี้จะเป็นคนๆเดียวกันกับที่เคยมีปัญหากับเขาในวันคัดเลือกทหารเกณฑ์.
[สตาร์]
“ดูนั่นสิ..นั่นแหละพยัคฆ์สีเงินไร้เนตร..”
“อะ..อึก นั่นน่ะเหรอ คนที่จัดการกับสองหัวกะทิ..”
“ใช่ๆ แถมม้าของเจ้านั่นยังจัดการยัดเยียดความเป็นผัวให้สองกะทินั่นด้วย เห็นว่าทั้งสองคนเกือบที่จะกลายเป็นบ้าด้วยแหละ..”
ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาของพวกนักเรียนที่ดังขึ้น ร่างของผมในตอนนี้กำลังเดินตรงเข้าไปหาพลตรีทั้งห้าที่ยืนอยู่ ซึ่งทันทีที่เดินมาถึง ผมก็ยกฝ่ามือขึ้นมาทำวันทยาหัตถ์ก่อนเป็นอันดับแรก..
พรึ้บ..!
“ผมขอเลือกหน่ว..ย..”
“ไอ้สวะ..!!! ฉันจะฆ่าแก..!!!!!”
ในขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากเลือกหน่วย จู่ๆร่างของเปเนสมันก็วิ่งตรงเข้ามาหาผม พร้อมกับเปิดวงจรล้วงมือเข้าไปหยิบนำกระบี่ (เรเปียร์) ออกมา..
ฟุบ..!!!!
“จ๊ากกกกก..ชิบหายแล้ว..!”ไอ้จ้อนที่กู่ร้องออกมา..
ร่างของเปเนสที่วิ่งตรงเข้ามาถึงระยะเตรียมที่จะจ้วงแทงกระบี่ในมือหมายจะปลิดชีวิตของผม แต่ทว่า
“เปิดวงจร..!”
ชิ้ง..!!!!!
หมับๆ ๆ
ภายในชั่วพริบตา ยังไม่ทันที่เปเนสจะได้ทำอะไร ร่างของวิลเลี่ยม เจมิไนท์และเลอัสก็ต่างเปิดวงจรนำเอมพาสของตัวเองออกมา ก่อนจะเข้ามายืนบังร่างของผมเอาไว้ พร้อมกับนำเอมพาสจ่อจี้เข้าไปที่ลำคอของเปเนส..
อีกทั้งที่ทางด้านข้างของเปเนส ยังปรากฏให้เห็นเป็นร่างของเครเซอร์และเมอรัสที่ปรากฏตัวออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ คนทั้งสองได้เข้ามาจับรั้งแขนของมัน จนมันไม่สามารถที่จะขยับตัวได้..
“พลตรีเปเนส..เก็บเอมพาสและปิดวงจรซะถ้าไม่อยากถูกฉันซัดหน้า..”เครเซอร์ที่กล่าวออกมา พร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดัน ทำให้บรรยากาศโดยรอบจู่ๆก็แปรเปลี่ยนไป จึงทำให้ผมค่อยๆเก็บมีดที่เตรียมจะชักออกมากลับเข้าไป
“หึ..ก็มาดิค้าบ..แน่จริงก็แทงเลยดิ แทงเลย..!! พวกผมอ่ะอื้ม..~ ตัวร้ายแบ็คหนา วู้ววว..!”ไอ้จ้อนที่กู่ร้องออกมาด้วยความสะใจ
ไรท์:คอมเม้น..!!!