แสงที่ 80 เคลื่อนพล
ท่ามกลางความงุนงงของเหล่าบรรดาทหาร ทุกๆคนต่างจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจ..
“ว่าที่จ่าสิบตรีสตาร์..แล้วแผนล่ะ..?”สไปร์สที่เอ่ยถามกับผม..
“ผมจะบอกกลยุทธ์ก็ต่อเมื่อได้เห็นกลยุทธ์ของศัตรูแล้ว ทันทีที่มันเปิดฉากจู่โจม ผมอยากจะให้ทหารทุกนายถอยออกมาและหาที่กำบังก่อน..”
“พูดแบบนั้นแสดงว่าแกวางกลยุทธ์เอาไว้แล้วใช่ไหม..?”สไปร์สที่กล่าวถาม..
“ใช่ครับ..”
“ถ้าอย่างงั้นก็ควรที่จะบอกให้พวกเราได้รู้ ฉันและทหารทุกนายจะได้เตรียมความพร้อมถูก..”
“กลยุทธ์ที่ผมจะใช้ไม่จำเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อม เมื่อถึงสถานการณ์จริงแม้ว่าจะเป็นเหตุฉุกเฉินก็สามารถปฏิบัติได้ในทันที ขอเพียงแค่มีหูและรอฟังคำสั่งให้ดีๆ..”ผมที่บอกกับสไปร์ส ส่วนพวกทหารก็เริ่มที่จะเกิดความลังเลอีกครั้ง ทุกๆคนต่างหันมามองหน้าของกันและกัน..
“นี่มันอะไรกัน มีกลยุทธ์แต่ไม่คิดที่จะบอกเนี่ยนะ..?”
“นั่นสิ..แล้วมันเป็นกลยุทธ์แบบไหนกันล่ะ..?”
“ถ้าเกิดถูกจู่โจมพวกเราอาจจะเสียรูปขบวนก็ได้ ถ้าไม่ได้เตรียมความพร้อมกันก่อน..”
เสียงของเหล่าทหารที่ต่างพากันกล่าวออกมา เมื่อสไปร์สเห็นแบบนั้นก็หันมากล่าวกับผม..
“ว่าที่จ่าสิบตรีสตาร์..ฉันจะขอถามตรงๆเลยก็แล้วกัน แม้แต่ฉันแกก็บอกกลยุทธ์ไม่ได้เหรอ..?”สไปร์สที่เอ่ยถามผม..
“ใช่ครับ..”
“แกไม่ไว้ใจฉัน..?”
“เฮ้อ..ก็ใช่อีกนั่นแหละครับ ผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น แล้วผมก็ไม่ต้องการให้ใครมาไว้ใจผมด้วย..”ผมที่กล่าวออกมา ซึ่งจากคำพูดนี้มันก็ทำให้สไปร์สและทหารทุกนายต่างพากันชักสีหน้า..
“ทหารทุกๆนายที่อยู่ที่นี่ควรจะไว้ใจตัวเองจะดีที่สุด การไว้ใจคนอื่นมากเกินไปจะทำให้ตัวเองต้องตาย อย่างเช่นตัวของผมก็ท่องนิยามนี้เอาไว้เสมอ ว่าอย่าได้ไว้ใจใคร เพราะครั้งล่าสุดที่ผมไว้ใจคนๆหนึ่งที่คิดว่าเขาจะไว้ใจในตัวของผม แต่ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้..คือผมได้ตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองด้วยเชือกเส้นหนึ่ง แต่ก็นะโชคดีที่เชือกมันขาด ผมเลยรอดมาได้..”ผมที่กล่าวออกมา พร้อมกับจ้องไปที่อาเซีย พลางเปิดปกเสื้อโชว์รอยแผลเป็นที่คอให้ทุกๆสายตาไปประจักษ์ มันคือรอยแผลเป็นที่ถูกรัดด้วยเชือก แผลนี้มันยังคงจางอยู่และไม่เคยจางหายไป
สิ่งที่ผมแสดงออกมาก็แค่อยากแสดงให้ยัยอาเซียได้เห็นถึงตราบาปที่เธอได้ทำเอาไว้กับคนๆหนึ่ง..
ซึ่งทันทีที่อาเซียได้เห็นแบบนั้น ดวงตาของหญิงสาวก็เบิกโพลงขึ้นปรากฏเป็นหยดน้ำตาที่เอ่อคลอ ผสานกับความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงอยู่กลางอก จนทำให้เธอต้องยกฝ่ามือขึ้นมาปิดปากของตัวเอง..
“พูดบ้าอะไรของแกน่ะ พวกเราจำเป็นที่จะต้องไว้ใจกันสิถึงจะถูก..!”ไอ้เมจที่เปิดประเด็นขึ้น แต่ผมก็กลับทำเป็นเมินไม่สนใจ..
“ว่าที่จ่าสิบตรีสตาร์ เรื่องนี้ฉันยอมรับไม่ได้จริงๆ..”สไปร์สที่บอกกับผม..
“อัตราความสำเร็จของภารกิจนี้อยู่ที่ 80% คำนวนจากกลยุทธ์ที่กำลังใช้ประกอบกับศักยภาพของกำลังคน อันที่จริงกลยุทธ์นี้คือกลยุทธ์ที่ท่านพลโทเมอรัสเป็นคนคิดค้นกับผมในช่วงที่พวกเราพูดคุยสนทนาเชิงกลยุทธ์กัน โดยที่กลยุทธ์นี้ยังมีจุดบอดอยู่ ซึ่งจุดบอดที่ว่าคือการให้พวกทหารรู้ถึงข้อมูลของรูปแบบกลยุทธ์ล่วงหน้า..”สิ้นคำพูดของผม สไปร์สรวมไปถึงทหารทุกๆนายที่กำลังประท้วงก็พลันต้องหยุดชะงัก
“อึก..แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่ทีแรกล่ะวะว่าเป็นกลยุทธ์ที่แกกับท่านเมอรัสช่วยกันคิดขึ้น..”สไปร์สที่กล่าวออกมา..
“ฟู้ว..ได้ยินแบบนั้นก็โล่งใจขึ้นเยอะ..”
“อย่างนี้นี่เอง..”
“นั่นสิ..”
เหล่าบรรดาทหารของทัพทารอนกับเอทารอสที่ต่างพากันกล่าวออกมา ทุกๆคนรู้สึกสบายใจขึ้น เมื่อรู้ว่ากลยุทธ์นี้คือกลยุทธ์ของเมอรัส..
“เฮ้อ..ทั้งๆที่ผมตั้งใจจะไม่บอกว่ากลยุทธ์นี้คือกลยุทธ์ที่ผมกับท่านพลโทช่วยกันคิดค้นขึ้นแล้วแท้ๆ เพราะกลัวว่าพอทุกๆคนรู้จะได้ใจ จนทำให้ส่งผลกระทบต่อรูปแบบของกลยุทธ์ อัตราความสำเร็จตอนนี้ลดลงไปเหลือ 75% แล้ว..”ผมที่ถอนหายใจบอกกับสไปร์ส ส่งผลทำให้เธอกับพวกทหารต่างพากันหน้าเสีย..
“พะ..พวกเราจะไม่ประมาทแน่..!”
“ใช่ๆ พวกเราจะฟังคำสั่งของนาย..!”
เสียงของพวกทหารที่เริ่มจะหวาดหวั่นต่างพากันตะโกนออกมา ส่วนทางด้านของเมจก็ดูเหมือนว่ามันจะกำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ถ้าจริงอย่างที่พูด..ก็ทำให้ตอนนี้อัตราความสำเร็จกลับมาอยู่ที่ 80% เหมือนเดิมแล้ว..”ผมที่บอกกับพวกทหาร ส่งผลทำให้รอยยิ้มกลับมาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา..
“หึ..กะอีแค่วางกลยุทธ์ได้นิดหน่อย อย่าทำเป็นวางมาดไปหน่อยเลย..”ไอ้เมจที่กล่าวออกมา..
“อ้อ..แล้วที่สำคัญ ตอนนี้ฉันเป็นผู้บัญชาการภาคสนามในการจัดวางกลยุทธ์ คงไม่ต้องบอกนะว่าควรจะเรียกฉันแบบไหน..?”ผมที่กล่าวกับพวกทหาร ก่อนจะเดินลงไปหาไอ้เมจ และตบหน้ามันด้วยการยื่นใบหน้าเข้าไปกระซิบบอกมันที่ข้างหู..
“แล้วไงวะ..?!”
ผลัก..!
ไอ้เมจที่ตวาดเสียงออกมา พร้อมกับออกแรงผลักหน้าอกของผมอย่างแรง แต่ทว่าผมที่ยืนอยู่กลับไม่ได้กระเด็นหรือผงะ โดยซีเนียวและเหล่าทหารที่ยืนอยู่โดยรอบก็ต่างพากันเข้ามาล็อคตัวของไอ้เมจเอาไว้..
ฟุบ..!
สไปร์สที่รีบเข้ามาโอบกอดผมจากทางด้านหลัง สีหน้าของเธอกำลังดูตื่นตระหนก อีกทั้งไอรินยังพุ่งเข้ามายืนขวางผมเอาไว้..
“ขอร้องล่ะ..เห็นแก่หน้าของฉัน ช่วยปล่อยมันไปเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง..”สไปร์สที่ยื่นหน้าเข้ามากระซิบบอกผม เธอคงกลัวว่าผมจะฆ่าไอ้เวรนั่น..
“เห๋..ท่านพันตรี ท่านมองผมเป็นคนยังไงกัน ผมจะไปทำอะไรเจ้านั่นได้ล่ะ..?”ผมที่ตอบกลับสไปร์ส ซึ่งทุกๆคนก็ต่างให้ความสนใจไปที่ไอ้เมจมากกว่าผม ยกเว้นเพียงแค่เซนินที่กำลังยืนจ้องมองสไปร์สที่เข้ามาห้ามผมด้วยความสงสัย..
“เฮ้ย..มึงเก่งมากหรือไง..? วางกลยุทธ์แล้วยังไงวะ มึงมันก็แค่ไอ้พวกขี้ขลาดที่คอยแต่ชี้นิ้วสั่ง..ปล่อยนะโว้ย..!”ไอ้เมจที่ดูเหมือนจะสติหลุด มันพยายามสะบัดตัวออกจากทุกๆคนที่เข้ามาห้าม..
“หยุดนะเมจ..!”อาเซียที่เข้ามาห้าม..
“อย่ามายุ่ง..!”เมจที่ตวาดเสียงออกมา พร้อมกับออกแรงสะบัดแขนของอาเซียจนเธอล้มลงไป..
ตุบ..
“อึก..!”เมจที่หยุดชะงักไปชั่วขณะ เธอมองลงไปที่อาเซียด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความรู้สึกผิด
“จ่าสิบตรีเมจ..ถ้าแกยังไม่หยุด ฉันจะถอดถอนรายชื่อของแกออกจากภารกิจในครั้งนี้ สิ่งที่แกทำถือว่าผิดต่อกฏของอาคัส การแสดงความไม่เคารพต่อผู้บังคับบัญชา แกจะต้องถูกสั่งจำคุกเป็นเวลา 1 ปี รวมไปถึงสมาชิกภายในกลุ่มของแกก็ด้วย แต่ถ้าแกหยุดฉันจะให้โอกาสและทำทัณฑ์บนเอาไว้..”สไปร์สที่กล่าวออกมา เธอเลือกที่จะตักเตือนด้วยวาจา พออีกฝ่ายได้ยินแบบนั้นก็ทำได้เพียงแต่กัดฟันแน่น ก่อนที่สุดท้ายแล้ว..
“แม่ง..!”เมจที่ยอมสงบลง ก่อนจะสะบัดตัวออกจากทุกๆคน..
“แกเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดหรือเปล่า..?”สไปร์สที่เดินเข้าไปหยุดอยู่ต่อหน้าของไอ้เมจ ก่อนจะเอ่ยถาม..
“กรอด..ครับ..!”เมจที่กัดฟันกำหมัด ก่อนจะให้คำตอบ..
“เข้าใจก็ดีแล้ว นี่จะเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย ถ้าแกไม่พอใจก็จงอยู่ให้ห่างจากผู้บัญชาการภารกิจ แต่ฉันก็หวังว่าแกจะแยกแยะออกว่าเรื่องไหนคือภารกิจหรือเรื่องไหนคืออารมณ์ส่วนตัว..”สไปร์สที่กล่าวออกมา พร้อมกับเสนอทางแก้ไขให้ ก่อนที่เธอจะหมุนตัวเดินกลับไปยังที่ของตัวเอง..
“เฮ้อ..ภารกิจนี้จะรอดไหมนะ..?”พันตรีพอลที่ยืนดูสถานการณ์อย่างเงียบๆพลันถอดถอนลมหายใจออกมา..
“กลับไปประจำตำแหน่งกันได้แล้ว..”สไปร์สที่กล่าวออกมา เมื่อเหล่าทหารได้ยินก็เดินกลับไปประจำที่..
“เธอก็ด้วยจ่าสิบตรีไอริน ยังไงก็ขอขอบใจเธอและทหารทุกนายที่เข้ามาช่วยระงับเหตุ..”สไปร์สที่บอกกับไอริน ก่อนจะหันไปบอกกับเหล่าทหาร
ซึ่งพอไอรินได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้า ก่อนจะเดินไปยืนประจำที่ แต่ก่อนที่จะเดินไป เธอก็ได้หันมาพยักหน้าให้ผมเบาๆ ด้วยดวงตาที่ยังคงเป็นประกาย..
“เป็นสาวคลูที่น่ารักจัดๆเลย..!~”ไอ้จ้อนที่กู่ร้องออกมา
“และฉันจะขอประกาศเอาไว้ ณ ที่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นทหารนายไหนจงแยกแยะให้ออก ฉันไม่อยากจะให้ความบาดหมางเล็กๆส่งผลกระทบต่อภารกิจ..”สไปร์สที่เปล่งเสียงประกาศออกมา แต่กลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับของเหล่าทหาร
“เข้าใจไหม..?!!!”
“เข้าใจแล้วครับ/คะ.!!!!!”เสียงตะโกนขานรับของเหล่าบรรดาทหาร..
“เอาล่ะ..แล้วแกมีอะไรจะเสนอเพิ่มเติมไหม..?”สไปร์สที่หันมาถามกับผม..
“ผมอยากจะให้ทหารทุกนายเปลี่ยนเสื้อกันหนาวมาใส่เป็นชุดผ้าคลุมสีขาวแบบจ่าสิบตรีไอริน ถึงมันจะหนาวแต่มันจะช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตให้กับพวกคุณได้..”ผมที่เปิดประเด็นกล่าวออกมา โดยชุดที่ไอรินสวมใส่เป็นชุดผ้าคลุมสีขาวครึ่งตัว..
“ช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิต..?”
“แค่เปลี่ยนมาใส่ผ้าคลุมสีขาวเนี่ยนะ..?”
“มันจะช่วยอะไรได้ นอกจากจะไม่ช่วยแล้วพวกเราอาจจะหนาวตายก็ได้..”
“นั่นสิ..ที่จ่าสิบตรีไอรินไม่ใส่เสื้อกันหนาวเป็นเพราะว่าเธอชินกับความหนาวแล้ว แต่พวกเราไม่ได้ชินเหมือนกับเธอ..”
เสียงของเหล่าทหารที่ต่างพากันกล่าวออกมาด้วยความงุนงง ทุกๆคนต่างยังมองไม่เห็นประโยชน์ในคำแนะนำของผม..
“แน่นอนว่าไม่บังคับครับ ใครจะใส่ก็ได้ไม่ใส่ก็ได้..”ผมที่กล่าวออกมา ก่อนจะหันไปบอกกับสไปร์ส
“อีก 10 นาทีพวกเราจะเคลื่อนพล ผมอยากจะได้ชุดผ้าคลุมสีขาวแบบนั้นสักตัว ที่นี่พอจะมีไหมครับ..?”
“แน่นอนว่ามี มันคือชุดเสื้อคลุมเฉพาะของเหล่าทัพเอทารอส ของพวกเราก็มีแต่เป็นสีดำ..”สไปร์สที่ตอบกลับ..
“ผมจะเอาสีขาว ยังไงก็รบกวนด้วยครับ..”ผมที่บอกกับสไปร์ส..
“เข้าใจแล้ว..”สไปร์สที่ตอบกลับ ก่อนจะหันไปเปล่งเสียงตะโกนบอกกับเหล่าทหาร..
“อีก 10 นาทีมารวมพลกันที่นี่ ทั้งหมดเลิกแถว..!”
ฟุบ..
สิ้นเสียงของสไปร์ส เหล่าบรรดาทหารก็ต่างแยกย้ายกันออกไป ส่วนไอ้เมจก็หันมาจ้องหน้าของผมอยู่ชั่วขณะ รวมไปถึงอาเซียและไอริน
นอกเหนือจากนี้ทางด้านของพันตรีพอลก็ได้สั่งให้กองกำลังทางกลุ่มคี่แยกย้ายกันไปจัดเตรียมความพร้อม ก่อนที่สุดท้ายทุกๆคนจะพากันแยกย้ายไป..
ส่วนทางด้านของผมก็ได้เดินตามสไปร์สไปเอาชุดผ้าคลุม ก่อนจะปลีกตัวไปหาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและจัดเตรียมความพร้อม..
10 นาทีต่อมา..
หลังจากที่ผมจัดการทุกอย่างจนเสร็จ ผมก็ได้เดินกลับมารวมแถว ทันทีที่มาถึงก็พบเข้ากับร่างของเหล่าทหารที่กำลังยืนรออยู่ พร้อมกับม้าประจำตัว..
“แกมาช้าไป 5 นาทีนะ..”สไปร์สที่บอกกับผม..
“ขอโทษทีครับ พอดีไปเตรียมของมา แล้วกองกำลังกลุ่มคี่ล่ะครับ..?”ผมที่ถามกับสไปร์สจากการที่ไม่เห็นกองกำลังกลุ่มคี่ของพอล..
“ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว..”
“อย่างงั้นเองสินะ เอ..~”ผมที่ตอบกลับ พลางกวาดสายตามองเหล่าบรรดาทหารของทารอนและเอทารอส ก่อนจะพบว่ามีทหารจำนวนเกือบครึ่งที่ยอมใส่ชุดผ้าคลุมสีขาวตามคำแนะนำของผม แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้ถอดเสื้อกันหนาวออก หากแต่เอาชุดผ้าคลุมสวมคลุมทับไปเลย
ซึ่งการทำแบบนั้นอาจจะทำให้รู้สึกขยับตัวได้ยาก แต่มันก็จะช่วยเซฟชีวิตของพวกเขา ถ้าถามว่าเซฟจากอะไร อีกไม่นานพวกเขาก็จะได้รู้เอง..
โดยคนรู้จักของผมที่ยอมสวมใส่ชุดผ้าคลุมในตอนนี้มีสไปร์สกับเซนิน ส่วนไอ้เมจกับกลุ่มของมันรวมไปถึงอาเซียยังคงสวมใส่เสื้อกันหนาวสีดำเอาไว้
ถ้าผมเดาไอ้เมจคงจะสั่งให้คนภายในกลุ่มของมันไม่ต้องทำตามคำแนะนำของผม
“เหล้าดีงูฉันล่ะ..?”เซนินที่เดินเข้ามาทวงเหล้าจากผม
ซึ่งก่อนที่จะมารวมพล ผมก็ได้แอบแวะไปชำแหละผ่าเอาดีงูมา กะว่าจะให้พวกทหารที่ยอมเปลี่ยนชุดเอาไปผสมกับเหล้าดื่ม เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงจะไม่จำเป็นแล้ว..
“นี่ครับ เอาไปบีบใส่เหล้า..”ผมที่ยื่นดีงูกว่าหลายสิบชิ้นที่ถูกห่อด้วยผ้าให้กับเซนิน โดยที่เขาก็รีบเอื้อมมือมาคว้า ก่อนจะเปิดดูด้วยดวงตาที่เปล่งประกายแววระยิบระยับ ไอ้การที่มองด้วยแววตาแบบนั้นแสดงว่าชอบอย่างงั้นเหรอ..? ถ้าอย่างงั้นไอรินก็..
ทันทีที่ผมหันไปมองยังไอริน ภาพที่พบนั่นก็คือร่างของเธอที่ยังคงจ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาที่เป็นประกายแบบเดิม จึงทำให้ผมต้องรีบหลบสายตาจากเธอ..
“นี่รู้จักกันแล้วเหรอค..ะ อะ..อึก อะแฮ่ม..”สไปร์สที่จู่ๆก็เปิดประเด็นถามผมกับเซนิน แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะหลุดท่าทีพิรุธออกมา จนเซนินที่ยืนอยู่จู่ๆก็ดึงหน้า..
“รู้จักกันแล้วครับ..”ผมที่ตอบกลับสไปร์ส..
“อะ..อืม ยังไงก็พูดกับจ่าสิบเอกเซนินดีๆล่ะ เขาคือทหารที่ท่านพลเอกวิลเลี่ยมร้องขอให้มาช่วยทำภารกิจนี้..”สไปร์สที่บอกกับผม..
“หืม..? แสดงว่าคุณเซนินเป็นทหารมือระดับพระกาฬสินะครับ..?”ผมที่หันไปถามเซนิน..
“ปะ..เปล่าหรอก ฉันแกะรอยเก่งก็เลยถูกส่งให้มาช่วยแกะรอยตามหากองกำลังหลักที่หลบหนีเข้าไปในหุบเขาน่ะ..”เซนินที่ปฏิเสธกับผม ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามปกปิดตัวตนที่แท้จริงเอาไว้..
“อย่างงั้นเองสินะครับ แต่ผมอยากจะบอกกับคุณเซนินอย่างหนึ่ง พยัคฆ์น่ะ..จะซ่อนอะไรก็ซ่อนได้ แต่มันซ่อนเขี้ยวซ่อนเล็บไม่ได้หรอกนะครับ..”ผมที่บอกกับเซนินด้วยรอยยิ้ม พอเขาได้ยินแบบนั้นก็หันขวับไปมองหน้าของสไปร์ส โดยที่เธอก็ถึงกับหน้าเสีย ก่อนจะรีบส่ายหน้าไปมา..
“พวกเรื่องยิบย้อยพักเอาไว้ก่อนเถอะครับ ยังไงตอนนี้พวกเราควรจะรีบเคลื่อนพล..”ผมที่เบี่ยงประเด็น ก่อนจะหันไปบอกกับสไปร์ส
ซึ่งหน้าที่ของผมมีแค่การสั่งการในตอนที่กองกำลังของเอลเดียปะทะกับกองกำลังของไฮสโตรเรีย ส่วนที่นอกเหนือจากนั้น สไปร์สจะเป็นคนจัดการเอง..
“ขะ..เข้าใจแล้ว แต่เดี๋ยวนะ..แล้วเจ้าอาชาทมิฬของแกล่ะ..?”สไปร์สที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ ก่อนจะเอ่ยถามกับผม ซึ่งพอเซนินได้ยินแบบนั้นก็ทำตาโต..
“ผมลืมมันไว้ที่ศูนย์บัญชาการของหน่วยพยัคฆ์คลั่งน่ะสิครับ..”
“เดี๋ยวก่อน..เมื่อกี้เธอ อึก..เมื่อกี้ท่านพันตรีบอกว่าเจ้าอาชาทมิฬเป็นของใครนะครับ..?”เซนินที่ตั้งใจจะถาม แต่สุดท้ายตัวเองก็หลุดปากออกมา ในตอนนี้ถึงต่อให้เขาจะปกปิดตัวตนไปก็คงจะเปล่าประโยชน์ เขาคงรู้แล้วว่าผมรู้ แต่แค่ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจก็เท่านั้น..
“ชายคนนี้คือชายที่สยบอาชาทมิฬ..”สไปร์สที่บอกกับเซนิน เมื่ออีกฝ่ายได้ยินก็พลันต้องตกตะลึงไปในทันที..
“ระ..เรื่องจริงเหรอเนี่ย..?”
“จ่าเซนิน..ผมว่ามันไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องพวกนี้นะครับ..”ผมที่บอกกับเซนิน ก่อนจะหันไปหาสไปร์ส “เรื่องการออกเดินทาง ยังไงก็ขอรบกวนด้วยครับท่านพันตรี..”
“เห็นทีว่าจะไม่ได้น่ะสิ ม้าของฉันเป็นม้าที่มีความปราดเปรียวว่องไว แต่มันกลับรองรับน้ำหนักได้ไม่มาก ฉันเกรงว่าถ้าไปสองคนมันคงจะรับน้ำหนักไม่ไหว..”สไปร์สที่กล่าวออกมา..
“แล้วทำไมถึงไม่ขอยืมม้าที่คอกมาล่ะ เห็นว่ามีม้าที่ไม่มีเจ้าของอยู่ตัวหนึ่งหนิ..”เซนินที่เสนอความคิดขึ้น ถึงกับทำให้ผมเหงื่อตก พลางกลอกดวงตาไปมาอย่างเลิ่กลั่ก ตูขี่ม้าไม่เป็นโว้ย..
“อึก..อย่าบอกนะว่าจะเป็นไอ้นั่น..?”สไปร์สที่กล่าวออกมา เธอพึ่งจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าผมขี่ม้าไม่เป็น
“ใช่ครับ..”ผมที่ตอบกลับ..
“เฮ้อ..”สไปร์สที่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปตะโกนถามกับพวกทหาร “ผู้บัญชาการไม่ได้เอาม้ามาด้วย ฉันอยากจะขออาสาสมัครหนึ่งนาย..”
สิ้นเสียงของสไปร์ส เหล่าบรรดาทหารก็ต่างพากันหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้เสนอตัว จู่ๆไอรินก็..
“ฮี่..~”
กร็อบๆ ๆ
ไอรินที่จูงม้าของเธอตรงเข้ามาหยุดอยู่ต่อหน้าของผม ดวงตาของเธอยังคงเป็นประกายระยิบระยับ..
“ฉันอาสาเอง..”ไอรินที่กล่าวออกมา..
“เออคือ..จ่าสิบตรีไอริน ฉันว่าเอาเป็นคนอื่นดีกว่า ถ้าเกิดผู้บัญชาการเผลอโดนผลกระทบเจมิไนท์ของเธอเข้าไป มันจะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากซะเปล่าๆ..”สไปร์สที่กล่าวออกมา เธอเองก็คงจะรู้เรื่องคำสาปของไอริน..
“ฉันจะระวัง..ฉันขอทำหน้าที่นี้นะคะ..”ไอรินที่ยังคงเสนอตัว..
“แกคิดเหมือนฉันไหม..? ดูเหมือนจ่าสิบตรีไอรินจะมีใจให้กับเจ้านั่นนะ ตั้งแต่ที่ออกตัวปกป้องในแถวแล้ว..”
“แกบ้าหรือเปล่า..? แกใช้อะไรคิด..นั่นคือเทพธิดาอินทรีเหมันต์เชียวนะเว้ย ถ้าไม่นับรวมเรื่องคำสาป เธอคือผู้หญิงที่สูงส่งไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ไม่ควรคู่ด้วย..”
“ใช่ๆ อย่าว่าแต่ใบหน้าที่สะกดสายตานั่นเลย สถานะของเธออยู่สูงเกินกว่าที่จะเอื้อมถึง..”
ท่ามกลางสายตาของเหล่าบรรดาทหารที่เริ่มจะซุบซิบนินทา ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็..
“ผมไปกับจ่าสิบตรีไอรินก็ได้ครับ อีกอย่างเธอน่าจะเป็นทหารที่มีฝีมือ ผมต้องการคนคุ้มกัน..”ผมที่บอกกับสไปร์ส พอไอรินได้ยินแววตาของเธอก็ยิ่งฉายแววฟรุ้งฟริ้ง แม้ว่าใบหน้าจะยังคงเรียบนิ่ง..
“เอาตามใจแกละกัน..แต่อย่างแกต้องใช้คนคุ้มกันด้วยเหรอ..?”สไปร์สที่กล่าวออกมา ก่อนจะเอ่ยถาม..
“อ้าว..ต้องใช้สิครับ ผมตายขึ้นมาใครจะบัญชาการล่ะ แล้วที่สำคัญตอนนี้ผมเป็นผู้บัญชาการ พูดอะไรก็ให้เกียรติผมด้วย..”ผมที่กล่าวออกมา พอสไปร์สได้ยินก็ถึงกับสะอึก
“ค่าๆ ท่านผู้บัญชาการ..”สไปร์สที่ส่งเสียงออกมาอย่างประชดประชัน ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังม้า..
“ชะ..เชิญเลย นายขี่นะ..”ไอรินที่บอกกับผม เมื่อผมได้ยินแบบนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบอกเธอว่า..
“ฉัน..ขี่ม้าไม่เป็น..”
“หืม..?”ไอรินที่หันหน้ามองผม แววตาที่แสดงออกเหมือนกับกำลังหัวเราะเยาะ แต่ทว่าสีหน้ากลับเรียบนิ่ง นี่เธอกะจะไม่ทำหน้าอื่นเลยเหรอ..
“ถ้าอย่างงั้นก็ขึ้นมา..”ไอรินที่กระโดดขึ้นไปบนแผ่นหลังของม้า โดยที่ม้าของเธอเป็นม้าตัวสีขาวกำยำร่างใหญ่..
[อะไรกัน..? ไอรินไม่เคยให้ใครขี่ข้ามาก่อนเลยนะ..]
“ก็ฉันคนแรกไงที่ได้ขี่..”ผมที่บอกกับไอ้เจ้าม้า หลังจากที่ไอ้จ้อนทำการแปลภาษา พอเจ้าม้าได้ยินก็พลันหันขวับมามองผม ส่วนทางด้านของไอรินก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย..
“เมื่อกี้นายคุยกับฉันเหรอ..?”
“เปล่าๆ..”
[นี่เจ้าเข้าใจภาษาม้าด้วยเหรอ..?]
ไอ้เจ้าม้าที่ถามผม เมื่อผมได้ยินแบบนั้นก็ยักคิ้วให้มัน ก่อนจะปีนขึ้นไปขี่ปล่อยให้ไอ้เจ้าม้าได้แต่สงสัยอยู่อย่างนั้น..
“เคลื่อนพลได้เลยครับ..”ผมที่ตะโกนบอกกับสไปร์สที่ควบม้าอ้อมไปรออยู่ที่หน้าขบวน โดยที่ในตอนนี้พวกทหารก็ดูเหมือนว่าจะเตรียมพร้อมกันเสร็จแล้ว..
“เคลื่อนพลได้..!!!!!”สิ้นเสียงตะโกนของสไปร์ส กองกำลังทหารก็เคลื่อนตัวออกไป
ในระหว่างนั้นผมเองก็สังเกตเห็นว่ากำลังมีสายตาของใครหลายๆคนที่กำลังจ้องมองมา คนแรกคือไอ้เมจที่หันมาดึงหน้าใส่ผมอยู่ตลอด ส่วนคนที่สองคือเซนิน เขากระดกเหล้าพลางแอบชำเลืองสายตามองมาที่ผมอยู่เป็นระยะๆ
และคนสุดท้ายนั่นก็คืออาเซีย ซึ่งก่อนหน้านี้ผมเองก็สังเกตเห็น ในช่วงที่สไปร์สถามว่าใครจะอาสาให้ผมไปด้วย อาเซียก็ทำท่าเหมือนจะยกมือ แต่เธอก็ต้องสลัดความคิดนั้นทิ้งไป..
มิหน่ำซ้ำในจังหวะที่ไอรินจูงม้าเข้ามาและอาสาที่จะให้ผมไปกับเธอ สีหน้าและแววตาของอาเซียก็เริ่มที่จะเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบตั้งแต่ตอนนั้น เธอมองมาที่ผมด้วยแววตาขุ่นเคือง ออกไปในแนวหึงหวง ทั้งๆที่พวกเราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน..
“ช้ากว่านี้หน่อย..”ผมที่บอกกับไอริน ก่อนที่เธอจะชะลอฝีเท้าของม้าทำให้พวกเราลงมาอยู่รั้งท้ายขบวน
ฟุบ..
ผมที่หยิบเหล้าดีงูออกมาเตรียมที่จะกระดก เพื่อทำให้เลือดลมสูบฉีด แต่ทว่า..
“เรื่องที่คุยค้างกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ นายอยากจะแต่งงานกับฉันตอนติดยศอะไรเหรอ..? แล้วพวกเราจะมีลูกกันสักกี่คนดี..?”
“พรวด..! แค่กๆ ห้ะ..?”
“อู้วววววว โดนรุก อู้ววววววว..~”
ไรท์:คอมเม้น..!!!