ณ ห้องเช่าของจินซุงที่ซึ่งเมฆแห่งสงครามลอยอยู่บนอากาศ
“คือ… ฮาริน ฉันบอกเทอแล้วว่าเข้าใจผิด”
“เข้าใจผิดอะไร?”
“ลอเรนเป็นเพียงคนที่ฉันพบในวันนี้เป็นครั้งแรก เธอเป็นคนที่เรารู้สึกซาบซึ้งเพราะเธอบอกว่าเธอจะช่วยพวกเราในการปฏิบัติการขยายป้อมปราการของกิลด์ เราเพิ่งจะ ‘คุยกัน’ แค่คุยกันน่ะ!”
“ฉันเข้าใจแล้ว นายกำลังคุยอยู่ ดูเหมือนว่านายกำลังคุยกับเธออยู่ข้างๆนายรู้สึกดีไหมที่มีสาวสวยติดอยู่เคียงข้างของนายน่ะ?”
“เอ่อ ไม่ใช่…!”
“ฮือๆ ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นแฟนของปาร์คจินซุง แต่ฉันสงสารเธอมากเลย… ฮือๆฉันสงสัยว่าเธอจะต้องเศร้าแน่ๆเลย…”
“เอ่อออ”
ความจริงที่ว่าฮารินนั้นรู้จักจินซุงดีกว่าใครคนอื่น
เธอรู้ว่าเควสต์ของเกมจะมีความสำคัญมากกว่า 20,000 เท่าของหญิงสาวที่สวยๆ
ด้วยเหตุนี้เธอจึงรู้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างลอเรนกับเอียน แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยินข้อแก้ตัวของเขาก็ตาม
‘ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่ความอับอายงั้นหรอ? ฉันต้องจับจุดอ่อนของเขาในเวลาเช่นนี้เพื่อที่เมื่อฉันจะบอกในครั้งต่อไป เขาจะทำตามโดยไม่ต้องพูดมาก’
แม้ว่าเขาจะขอโทษเล็กน้อย แต่เธอก็หาเหตุผลเข้าข้างตนเองด้วยการบอกว่ามันช่วยไม่ได้ในการที่จะก้าวหน้าในความสัมพันธ์ของเธอกับจินซุงเพราะฮารินยังคงแสดงออกด้วยความขุ่นเคือง
“ฮือๆ ฉันเสียใจ…”
เมื่อเธอทำอย่างนั้น จินซุงก็เริ่มกระสับกระส่าย
“ทำไมเธอเป็นแบบนั้นล่ะฮาริน ฉันบอกเธอแล้วว่ามันไม่มีอะไรแบบนั้น”
“นายหมายความว่าอะไร ฮือๆ นายไม่เคยบอกฉันสักครั้งว่านานชอบฉันและนั่นมันเป็นเหตุผล”
ฮารินชักนำคำพูดที่เธอต้องการได้ยินอย่างลับๆ
อย่างไรก็ตาม จินซุงไม่ได้แตกต่างจากความสัมพันธ์กับขันที
‘ฮารินขุ่นเคืองฉันเพราะเธอไม่สามารถยกระดับความสามารถในการทำอาหารของเธอหลังจากมาที่ทวีปกลางใช่ไหม?’
จินซุนซึ่งตีความมันอย่างสร้างสรรค์จนถึงจุดที่น่าแปลกใจ เขาพูดอย่างระมัดระวัง
“เอ่อ ฉันยุ่งมากเมื่อเร็วๆนี้ขอโทษนะ เธอเบื่อใช่มั้ย? ฉันจะสร้างห้องครัวในฐานทวีปกลางให้เธอเหมือนกัน ดีขึ้นหรือยัง? “
ฮารินตกใจมากจนร่างของเธอเซไปครู่หนึ่ง
“อะไรนะ…?”
จินซุงพูดต่อ
“ครั้งต่อไปเมื่อฉันไปล่า ฉันจะรวบรวมส่วนผสมการทำอาหารมากมายเช่นกัน อาจจะมีส่วนผสมการทำอาหารที่หายากมากมายที่เธอยังไม่ได้ใช้ในทวีปกลางด้วย”
“…”
ฮารินปิดการมองเห็นอย่างโกรธแค้นขณะที่เธอหลับตาอย่างแน่นหนา
‘เฮ้อ ฉันควรจัดการกับมหาโง่นี่ยังไงดี?’
ในทางกลับกัน ขณะที่ฮารินสงบลง จินซุงก็แสดงความพึงพอใจ ในขณะที่เขาคิดกับตัวเอง
‘เป็นไปตามที่คาด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงเศร้า! ฮารินก็รู้ว่าฉันโสดมานาน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่เธอจะโกรธเคืองเรื่องผู้หญิง!’
หลังจากนั้นไม่นาน ฮารินซึ่งสงบความโกรธของเธอลง พูดอีกครั้งหนึ่ง
“นาย นายแน่ใจหรอว่านายชอบฉัน?”
มันเป็นคำถามที่ลึกซึ้งและยากกว่าเรื่องปรัชญาอย่างน้อยสิบเท่า
สายตาของจินซุงซึ่งคิดว่าความโกรธของฮารินลดน้อยลง
จินซุงตอบด้วยเสียงที่สงบ
“นะ แน่นอน! เธอรู้ไหมว่าฉันชอบเธอมากแค่ไหน?”
ฮารินถอนหายใจขณะที่เธอพูดต่อ
“จริงหรอ?”
“ฉันบอกเธอแล้ว มันคือความจริงนะ”
“ถ้างั้นพิสูจน์สิ”
“เอ่อ ยังไงอ่ะ?”
ฮารินปิดตาของเธอขณะที่เธอยกมือและวางไว้ที่แก้มของเธอ
“ลองจูบ… สักครั้งสิ”
จินซุงซึ่งตกตะลึง ถามกลับทันที
“อะไรนะ?”
“ทำมันเร็วๆสิ ถ้าอย่างงั้นฉันจะปล่อยนายไปสักครั้ง”
จินซุงรู้สึกสับสนกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด แต่ฮารินเองก็จริงใจ
ฮารินกระตุ้นจินซุงซึ่งกำลังลังเล
“นายทำอะไรอยู่น่ะ นายจะไม่ทำมันหรอ? ถ้างั้นที่นายพูดว่านายชอบฉันนั้นโกหกหรอ?”
“เอ่อ ไม่ใช่นะ! ฉันจะทำมัน ฉันจะทำมันแล้วนะ!”
จินซุกยืนขึ้นอย่างกระทันหันและเดินไปทางฮารินก่อนนั่งลง
และเขาปิดตาสองข้างของเขาเล็กน้อยขณะที่เขาสัมผัสใบหน้าไปทางแก้มของฮาริน
แม้แต่จินซุงก็ไม่มีทางที่เขาจะไม่ชอบจุ๊บแก้มของฮาริน
อย่างไรก็ตามในขณะที่เขายังไม่พร้อม ปัญหาก็คือหัวใจของเขาเต้นแรง
‘ทนไว้จินซุง!’
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นาน
Peck-!
ราวกับว่าจินซุงโดนฟ้าผ่าเขารู้สึกว่าร่างกายทั้งหมดของเขาแข็งตัว
นี่เป็นเพราะว่าริมฝีปากของเขาจูบกับริมฝีปากของฮาริน ไม่ใช่แก้มของเธอ
“…!”
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ต้องการแยกออกจากริมฝีปากเหล่านั้นและก่อนที่เขาจะรู้ตัวจินซุงยกแขนทั้งสองขึ้นและโอบรอบหลังของฮารินเล็กน้อย
เมื่อเขาทำอย่างนั้น เขารู้สึกว่าร่างกายของฮารินสั่นเล็กน้อย
หลังจากเวลาผ่านไปสักพักราวกับว่าเวลาได้หยุดลง ริมฝีปากของคนสองคนที่จูบกันอย่างเบาๆ ไม่รู้ว่าจะแยกจากกันได้อย่างไร
* * *
เมื่อพลังการต่อสู้ของกิลด์ 3 อันดับแรกที่ถือได้ว่าเป็นตัวแทนกิลด์ยักษ์ที่เป็นตัวแทนของอาณาจักรลัสเปลนั้นถูกดึงออกมาจากแนวหน้าแนวหน้าของการป้องกันที่ถูกผลักกลับไปเมื่อมันเริ่มเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันออกยิ่งก้าวที่เร็วยิ่งขึ้น
เมื่อแนวหน้าของการป้องกันเริ่มถูกผลักเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ กิลด์โลตัสที่ต้องการซื้อเวลาให้ได้มากที่สุดจนกว่าป้อมจะเสร็จสมบูรณ์และช่วยแนวหน้าด้วยพลังการต่อสู้ที่เหลืออยู่นั้นไม่เพียงพอ
เอียนก็เข้าสู่สงครามครั้งที่สอง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะเคลื่อนไหวตลอดเวลาเหมือนครั้งสุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถชนะได้
‘ถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไปมันจะเรียกได้ว่ากระชั้นชิดจริงๆ…’
ฟิโอลันเดินเข้ามาใกล้กับเอียนซึ่งอยู่บนปราสาทด้วยท่าทางที่มีปัญหา
“นายกำลังคิดอะไรอยู่เอียน?”
เอียนถอนหายใจสั้นๆขณะที่เขาตอบกลับ
“อืม ฉันกำลังคิดเกี่ยวกับเราสามารถทำอะไรที่สามารถซื้อเวลาได้อีกสักเล็กน้อย”
“ฉันเข้าใจแล้ว…”
เอียนยืนอยู่ตรงที่ของเขาขณะที่เขาพูดอีกครั้ง
“ฟิโอลัน ที่เธอไปออกไปได้อะไรบ้าง? เธอได้รับความร่วมมือบ้างไหม? “
เมื่อเอียนถาม ฟิโอลันส่ายหน้า
“ไม่ว่าฉันจะเกลี้ยกล่อมพวกเขามากแค่ไหน พวกเขาก็จะไม่ขยับเขยื่อน”
“พวกเขาพูดว่าอะไรบ้าง?”
ฟิโอลันเกาหัวของเธอขณะที่เธอตอบกลับ
“อืม… พวกเขาแค่ทำเป็นไร้เดียงสาว่าพวกเขาทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้จากกิลด์ของพวกเขาเช่นกัน แต่พวกเขาต้องการกำลังคนหนุนหลัง ดังนั้นพวกเขาจึงดึงสมาชิกกิลด์ที่อยู่แถวหน้านั่นแหละ”
เอียนขมวดคิ้ว
“อืมม พวกเขามีความกล้าหาญในตัวเองจริงๆ แม้ว่าจากที่มองมันเป็นการขยับไปที่แนวหน้าและถอยกลับไป…”
“แน่นอน นั่นคือเหตุผลที่ฉันยังบอกด้วยว่าถ้าพวกเขาซื้อเวลาให้เราอีกหน่อย เราจะสามารถต่อต้านด้วยฐานขั้นสูงด้วยฐานของเราและเพื่อช่วย แต่ไม่มีประโยชน์”
เมื่อฟิโอลันพูด เอียนพยักหน้าขณะที่เขาตอบกลับ
“อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ฐานด้านหน้าก่อตัวที่แนวหน้าตั้งแต่ต้น”
ฟิโอลันถามกลับด้วยท่าทางงุนงง
“ทำไมล่ะ?”
“หากแนวหน้าถูกสร้างขึ้นที่ด้านหน้าซึ่งกิลด์ขนาดที่น่าอึดอัดอย่างพวกเรามีสมาธิเป็นหลักสำหรับพวกเขา ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะอิจฉา เนื่องจากพวกเขาสามารถแยกแยะพวกเขาเองระหว่างการต่อสู้ได้มากขึ้นและสามารถรับรางวัลที่ดีกว่ารวมถึงคะแนนพิเศษได้”
“ไม่สิ พวกเราต้องต่อสู้คนเดียวไม่ใช่หรอ? พวกเขาแค่ต้องส่งกองกำลังหลักของพวกเขามาที่นี่ไม่ใช่หรอ?”
เอียนส่ายหน้าขณะที่เริ่มอธิบายอีกครั้ง
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง แต่กิลด์ที่มีฐานอยู่ที่แนวหน้าสามารถใช้หอคอยป้องกันของพวกเขาเพื่อโจมตีคู่ต่อสู้ได้”
“ฉันเข้าใจแล้ว!”
“เธออาจรู้ตั้งแต่เธอเห็นหอคอยป้องกันที่สร้างขึ้นบนฐานของเรา แต่พลังของพวกมันนั้นมหาศาลมาก”
“เนื่องจากเพียงป้อมปราการพื้นฐานที่สุด มันก็มีพลังเช่นเดียวกับผู้เล่าระดับสูงสองคนหรือมากกว่านั้น หากป้อมนั้นเสร็จสมบูรณ์และแนวหน้ายังคงก่อตัวอยู่รอบฐานของเราเราอาจจะได้รับข้อได้เปรียบอย่างไม่น่าเชื่อ”
ฟิโอลันพยักหน้าขณะที่เธอตอบกลับ
“มันจะกลายเป็นอย่างนั้นจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไม่มีการสู้ มันจะสร้างผลกำไรในขณะที่ NPC ที่เข้าร่วมและผู้เล่นจะอยู่ที่นี่ “
“ถูกต้อง เนื่องจากหากผู้เล่นใช้ร้านค้าหรือโรงประมูลบนฐานของเราจะมีการคืนภาษีหลังจากนั้นไม่นาน”
ฟิโอลันมองเอียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมเมื่อเธอพูด
“ว้าว เอียนนายคิดเรื่องนี้มานานแล้ว ตั้งแต่เราเข้ายึดฐานที่คนอื่นๆไม่เต็มใจงั้นหรอ?”
เอียนแสยะยิ้มขณะที่เขาส่ายหน้าเมื่อได้ยินคำถาม
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันพึ่งคิดหลังจากเจอเสาการค้า”
“หึ คุณไม่เจียมตัวเกินไปเหรอ?”
“มันไม่ใช่ความอ่อนน้อมถ่อมตน ฉันกำลังพูดความจริง ฉันจะรู้ได้อย่างไรก่อนว่าป้อมป้องกันและทหารที่สามารถสร้างได้ในฐานทวีปกลางจะแข็งแกร่งเช่นนี้ใช่ไหม? เราแค่จะโชคดี”
“นั่นก็จริง”
เอียนพูดต่อ
“และตามความเป็นจริง หากไม่ใช่จอกศักดิ์สิทธิ์ เราจะไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างขนาดใหญ่ได้ในตอน นี้สิ่งนี้เป็นไปได้มากเนื่องจากจอกศักดิ์สิทธิ์ทำให้ความเร็วในการพัฒนาฐานเร็วขึ้นสองเท่า “
เอียนหันหัวของเขาและในขณะที่ศึกษาป้อมปราการที่เหลืออยู่ไม่มากจนกระทั่งสำเร็จ เขาก็จมอยู่ในความคิดของเขา
‘ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ ระหว่างจอกศักดิ์สิทธิ์ของโฮลดรีมและเสาการค้าแห่งสงคราม หากเราไม่มีแม้แต่หนึ่งในสองเราก็ไม่สามารถทำแผนนี้ได้’
ฟิโอลันถามเอียนที่ครุ่นคิดด้วยเสียงที่กังวล
“ถึงกระนั้นดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถผ่อนคลายได้ ถ้ากองทัพอาณาจักรลัสเปลและกิลด์ขนาดเล็กอื่นๆทนอยู่ จากนั้นแนวหน้าก็จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นจากฐานของเรา แต่ถ้านั่นไม่เกิดขึ้น เราจะล้มเหลวใช่ไหม?”
เมื่อฟิโอลันพูด เอียนก็ตัดบทของเธอและตอบกลับ
“แนวหน้าจะผลักไปทางตะวันออกต่อไป”
“อะไรนะ?”
เราอาจจะอยู่อย่างเดี่ยวๆ”
ในขณะที่กิลด์ยักษ์สมคบคิดและดึงพลังการต่อสู้กลับมา ไม่ว่าพวกกิลด์ขนาดเล็กและผู้เล่นทั่วไปจะพยายามไปมากแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้ที่แนวหน้าจะถูกพลักออกไปทางตะวันออกอย่างต่อเนื่อง
‘ถ้าเป็นกรณีนั้น ฐานของพวกเราจะอยู่อย่างเดี่ยวในตรงกลางของค่ายศัตรู’
เอียนยังไม่เชื่อในตอนแรก แต่ตอนนี้เขาเกือบจะแน่ใจว่ามันจะเกิดขึ้น
เขามั่นใจมากขึ้นหลังจากเข้าร่วมการต่อสู้เมื่อสองสามวันก่อน
หากเป็นเช่นนั้น ประเด็นสำคัญก็คือระยะเวลาที่ป้อมปราการที่พวกเขาเททรัพยากรทั้งหมดของพวกเขาไปสู่การสร้างอาจยาวนานจากการโจมตีที่ดุเดือด
‘ฉันสงสัยว่ามันจะอยู่ได้นานแค่ไหน?’
เขาไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่มันจะอยู่ในตรงกลางของอาณาจักรไคม่อน แต่เอียนวางแผนที่จะพยายามอย่างหนักที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘สองเดือน? ไม่สิ แม้ว่าเราจะเพิ่งผ่านไปหนึ่งเดือน เราจะสามารถคุ้มค่ากับเงินของเราอย่างแน่นอน’
แม้ว่าพวกเขาจะต้านกองทัพอาณาจักรไคม่อนที่โจมตีจากทุกทิศทุกทาง แต่พวกเขาก็สามารถได้รับรางวัลมหาศาล
มันคงเป็นเรื่องยากแน่นอน แต่ยิ่งพวกเขาต้องทนมากขึ้นแน่นอนว่ากิลด์โลตัสจะโตขึ้นแบบทวีคูณ
ฟิโอลันพูดอีกครั้ง
“ถ้านั้น เอียนนายสร้างป้อมปราการด้วยความคิดที่จะยืนหยัดอยู่กลางค่ายศัตรูงั้นหรอ?”
เอียนพยักหน้า
“ถูกต้องฟิโอลัน”
ฟิโอลันส่ายหน้า
“ฮ่า ฉันรู้ว่านายเป็นคนบ้าบิ่นเอียน แต่นี่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสิ่งหนึ่งที่นายจะทำ”
เอียนหัวเราะขณะที่เขาตอบกลับ
“ฉันก็ว่างั้นแหละ”
ฟิโอลันก็หัวเราะ
“ไม่สิ นายไม่เสี่ยงเกินไปสำหรับสถานการณ์ร้ายแรงอย่างนี้งั้นหรอ?”
“ไม่ต้องกังวล ฟิโอลัน เนื่องจากนี่ยังเป็นการเดิมพันที่มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ”
เอียนซึ่งหยุดเพื่อหายใจชั่วครู่ได้พูดอีกครั้ง
“อย่างน้อยเราจะได้รับเงินอย่างคุ้มค่า ดังนั้นแค่เชื่อฉัน”
* * *
สามวันหลังจากนั้น ในฐานปฏิบัติการของอาณาจักรไคม่อน
เจ้าหน้าที่ของอาณาจักรนั่งอยู่ทั้งสองข้างพร้อมกับอัศวินที่เรียงรายอยู่ด้านหลังพวกเขากำลังประชุมปฏิบัติการด้วยการแสดงออกอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตามในการประชุมการดำเนินการนี้เต็มไปด้วยคนประมาณสามสิบคน มีผู้เล่นเพียงห้าคน
พวกเขาเป็นหัวหน้ากิลด์อิลาฮันของดาร์ครูน่าและชยาครานหัวหน้ากิลด์ของกิลด์ไททั่น
และผู้เล่นสามอันดับที่เข้าร่วมเป็นอัศวินอาณาจักรไคม่อนและได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นอัศวินระดับสูงเป็นรายบุคคล
อิลาฮันและชยาครานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอัศวินแห่งอาณาจักร แต่เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้เล่าเพียงคนเดียวที่มีตำแหน่งขุนนางชั้นสูงของมาร์ควิส พวกเขาได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นั่น
ผู้บัญชาการซึ่งนั่งอยู่ที่ที่นั่งชั้นบนตรงกลางได้พูดอย่างช้าๆ
“เนื่องจากความกล้าหาญอย่างสุภาพบุรุษของท่าน อาณาจักรไคม่อนของเราได้เอาชนะกองทัพที่อ่อนแอของลัสเปลและชนะอย่างต่อเนื่อง”
ใช้เวลาสักครู่เพื่อหายใจหลังจากมองไปรอบๆที่ชุมนุม เขาก็พูดต่อ
“ผลลัพธ์ของวันนี้! เราสามารถนำพื้นที่ทะเลทรายตอนกลางมารวมไว้ในมือของเรา”
ทวีปกลางส่วนใหญ่เป็นดินแดนที่แห้งแล้งซึ่งผ่านการทำให้เป็นทะเลทราย
อย่างไรก็ตามในหมู่พวกเขาหมายถึงพื้นที่ทะเลทรายกลางที่เป็นแกนกลางที่แน่นอนของทวีปซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีแม้แต่ฐานเดียวและในสถานที่นี้จนถึงตอนนี้ทั้งสองอาณาจักรมีการแข่งขันที่แน่นหนา
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมันหมายถึงว่ากองทัพของอาณาจักรไคม่อนมาถึงทางขวารอบมุมของฐานโลตัสซึ่งตั้งอยู่ในแนวหน้า
*ขอเปลี่ยนชื่อจาก ‘โลเรน’ เป็น ‘ลอเรน’ นะครับ ดูเข้ากับชื่อผู้หญิงมากกว่า