The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา – ตอนที่ 113 เข้าสู่ขอบเขตนภา

“ตู้ม!”

เปลวเพลิงกลืนกินลำต้นไปพร้อมกับวิญญาณต้นไม้ และเผาส่วนที่เหลือจนกลายเป็นกองขี้เถ้าร้อนระอุ อานุภาพของพลังเจ็ดประทีปชั้นที่หนึ่งบวกกับแก่นเพลิงมังกร กลายเป็นพลังทำลายล้างรุนแรงที่เกินจินตนาการ แม้แต่ตัวหลินมู่อวี่เองก็ตกใจกับอานุภาพการโจมตีนี้เช่นกัน เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปฐพีชั้นที่สามเท่านั้น อานุภาพการโจมตีครั้งนี้ทรงพลังกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตนภาอย่างฉินอินและฉินเหลยหลายเท่านัก!

ในวินาทีที่วิญญาณต้นไม้ถูกเผาจนสิ้น ต้นจิ้นหมู่ก็ได้สูญเสียพลังชีวิตไป ลำต้นขนาดใหญ่โค่นทลายลงมาอย่างรุนแรง กลายเป็นซากที่อ่อนปวกเปียกกองหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ว่าชีวิตนั้นค่อยๆ ไหลลอยหายไปอย่างช้าๆ

“โอย…”

ฉินอินที่อยู่ในพุ่มไม้ห่างออกไปไม่ไกล ส่งพระสุรเสียงครวญครางออกมา

หลินมู่อวี่พุ่งตัวออกไปอย่างรีบร้อน ประคองนางขึ้น “องค์หญิง ไม่เป็นอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินอินได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่ เลือดสดๆ ไหลซึมทะลุอาภรณ์ออกมา การโจมตีของเถาวัลย์นั้นช่างแข็งแกร่งนัก และฉินอินก็ไม่ได้มีการป้องกันที่ดีมากพอ

หลินมู่อวี่รีบหยิบโอสถฟื้นสภาพขวดหนึ่งส่งให้ถังเสี่ยวซี พร้อมพูด “เอานี่ไปรักษาองค์หญิง ข้าจะไปดูพี่ฉินเหลย”

“อือ!”

เมื่อมาถึงข้างกายฉินเหลย ก็เห็นเขานั่งอยู่บนโขดหิน ขาข้างหนึ่งยืดออกมา เขากัดฟันดึงหนามเถาวัลย์ที่ปักอยู่ที่ขาออก เลือดค่อยๆ ไหลออกมา ไม่ปริปากร้องสักคำ ฉินเหลยผู้นี้เป็นชายอกสามศอกที่มีความทรหดอดทนดังคาด หลินมู่อวี่ยื่นโอสถฟื้นสภาพขวดหนึ่งให้เขา พร้อมเอ่ยว่า “พี่ฉินเหลย รีบใช้โอสถฟื้นสภาพนี่เถอะ โอสถฟื้นสภาพชนิดนี้สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว มันจะทำให้ท่านดีขึ้น”

“อืม ขอบใจเจ้ามากอาอวี่!”

ฉินเหลยรับโอสถมาแล้วก็ฉีกขากางเกงออก เทยาลงไปบนปากแผลพร้อมกับเม้มปากแน่น เขายิ้มแล้วพูดขึ้น “อาอวี่ ต้นจิ้นหมู่นี้อายุเจ็ดพันปี หากเจ้าต้องการละก็ วิญญาณสัตว์นี่ยกให้เจ้า ตอนนี้ข้ายังฝึกไม่ถึงขั้นที่จะต้องทะลวงระดับ ดูดซับวิญญาณสัตว์ตัวนี้ไปก็เสียเปล่า”

หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างยินดี “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วนะขอรับ”

“อือ ไปเถอะ!”

เมื่อมาถึงข้างๆ ซากของต้นจิ้นหมู่ เขาก็เรียกวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าออกมาโดยพลัน น้ำเต้าสีส้มสัมผัสถึงพลังวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์นี้ได้ทันที มันดูดซับอย่างตะกละตะกลาม หลินมู่อวี่เรียกติ่งหลอมอาวุธขึ้นมา แล้วหลอมวิญญาณสัตว์ด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวด

“กี้ กี้…”

หลังจากทำการหลอมไปเกือบสามสิบนาที วิญญาณสัตว์ก็มีเสียงของต้นจิ้นหมู่ดังลอดออกมา มันกำลังต่อต้าน ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยินยอมเป็นเครื่องสังเวยให้แก่น้ำเต้า แต่การต่อต้านนี้เห็นได้ชัดว่าไร้ประโยชน์ หลินมู่อวี่บังคับเร่งไฟปฐพี ซึ่งเป็นเพลิงชั้นที่สามของติ่งหลอมอาวุธ และหลอมส่วนที่บริสุทธิ์ที่สุดของวิญญาณสัตว์อย่างรวดเร็ว!

“วิ้ง วิ้ง…”

น้ำเต้าดูดซับพลังจนเต็มที่แล้วก็เกิดแสงวูบวาบ และหลังจากดูดซับวิญญาณสัตว์ของต้นจิ้นหมู่แล้ว สีของน้ำเต้าก็เปลี่ยนจากสีส้มไปเป็นสีคราม สวยงามยิ่งนัก นอกจากนี้ก็ยังดูดซับได้ทักษะ ‘ฟื้นฟู’ ของต้นจิ้นหมู่มาด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มระดับพลังในการฟื้นฟู ถึงขนาดที่หลินมู่อวี่ยังรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาในชีพจร ความรู้สึกที่ส่งผ่านออกมาจากบาดแผลที่หัวไหล่นั้น ดูเหมือนแผลเมื่อครู่จะค่อยๆ สมานด้วยตัวของมันเอง!

“อาอวี่ หลอมได้ทักษะมาหรือไม่” ฉินเหลยถาม

“อือ” เขาพยักหน้า “ทักษะของต้นจิ้นหมู่ดูเหมือนจะเป็นการงอกใหม่ ถูกข้าหลอมจนกลายเป็นทักษะการฟื้นฟู เกรงว่าจากนี้ไประดับการสมานแผลของข้าคงจะเร็วจนน่าประหลาดใจเลยล่ะ”

“ยินดีด้วย!” ฉินเหลยพยุงร่างกับดาบอสนีทลาย พลางหัวเราะ “คิดไม่ถึงว่าต้นจิ้นหมู่ต้นเดียว จะทำให้พวกเราสามคนได้รับบาดเจ็บกันหมด มีเพียงเสี่ยวซีคนเดียวที่ไม่มีบาดแผลใดๆ แม้แต่น้อย

ถังเสี่ยวซีหน้าแดง “คงเป็นเพราะข้าหลบอยู่ไกลกระมัง”

หลินมู่อวี่พูดอารมณ์ดี “นี่เป็นเรื่องดี เสี่ยวซี พลังของเจ้านั้นต่ำที่สุดในหมู่พวกเรา หลบไกลหน่อยพวกเราถึงจะมีสมาธิในการต่อสู้ ควรจะเป็นเช่นนี้นั่นแหละ”

ถังเสี่ยวซีกลับจู๋ปาก “แต่ข้าก็ฝันที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งด้วยเหมือนกันนะ อยู่กับพวกที่แข็งแกร่งจนเพี้ยนอย่างพวกเจ้า สั่นคลอนความมั่นใจของข้ามากเกินไป!”

ฉินอินลุกขึ้นยืนแล้วยิ้ม “พวกเราหาที่หยุดพักกันหน่อยเถอะ แล้วค่อยออกตามหากระดูกมังกรกันทีหลัง”

ฉินเหลยพูดขึ้น “ในเมื่อพวกเราเข้ามาในสุสานมังกรแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต้องรีบร้อนเกินไปนัก พวกเราต่างได้รับบาดเจ็บ ข้าเสนอว่าวันนี้เราพักรักษาตัวกันก่อนสักคืน พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปยังส่วนลึกของสุสานมังกร ว่าอย่างไร”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ข้าเห็นด้วย”

“ตกลง” สาวงามทั้งสองก็พยักหน้าตามกัน

พวกเขาตั้งค่ายอยู่กันที่ริมลำห้วย หลินมู่อวี่หาหญ้าแห้งจำนวนหนึ่งมาปูพื้นทำเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่ จากนั้นก็หาฟืนแห้ง ถังเสี่ยวซีรับหน้าที่ตักน้ำทำกับข้าว ด้านฉินอินกำลังพันผ้าพันแผลให้ตัวเองอยู่ นางแย้มพระโอษฐ์พร้อมตรัสขึ้น “อาอวี่ กลิ่นอายของเจ้ามีการเปลี่ยนแปลง หรือว่าหลังจากหลอมวิญญาณสัตว์เจ้าเข้าสู่ขอบเขตนภาแล้ว”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หลินมู่อวี่สะกดกลั้นความปีติยินดีภายในใจเอาไว้ เขากางฝ่ามือออกช้าๆ ทันใดนั้นปราณยุทธ์สีขาวน้ำนมก็ลอยขึ้นมาแทนปราณแท้ ปราณยุทธ์เหล่านี้รวมตัวกับธาตุอัสนีในอากาศ เกิดเสียงดัง “เพียะ เพียะ” ขึ้นและกลายเป็นพลังอัสนี และพลังอัสนีนี้ก็ทรงพลังขึ้นกว่าก่อนหน้าอีกด้วย หลังจากเข้าสู่ขอบเขตนภาแล้ว คุณภาพพลังของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ผลของการที่ปราณแท้เปลี่ยนเป็นปราณยุทธ์ทำให้พลังการทำลายล้างของแก่นเพลิงมังกรและจตุธาตุควบคุมกระบี่ของเขาเพิ่มสูงขึ้นด้วย

“ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” ฉินอินถามอย่างยิ้มแย้ม

หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าลึก เงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า “มีความรู้สึก เหมือนกับตอนนี้กระหม่อมได้เป็นยอดฝีมือแล้ว องค์หญิงอย่าหัวเราะเยาะกระหม่อมสิ…”

ฉินอินห้ามพระทัยไม่ไหว ทรงพระสรวลออกมา “เจ้าก็เป็นยอดฝีมืออยู่แล้ว อีกอย่าง เจ้าก็เป็นผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ตำแหน่งนี้ในจักรวรรดิเป็นตำแหน่งที่โดดเด่นมาก หรือตัวเจ้าไม่คิดเช่นนั้น”

หลินมู่อวี่หัวเราะน้อยๆ นั่งลงที่ข้างกายฉินอิน หูก็ฟังเสียงกระแสน้ำไหลไปพลางกล่าวขึ้น “องค์หญิง ท่านว่าบนแผ่นดินนี้มียอดฝีมือเท่าใดกันแน่ที่ฝืมือเหนือล้ำกว่าพวกเรา”

ฉินอินชะงัก มองออกไปยังผืนป่าเวิ้งว้างที่ไกลออกไป แย้มพระโอษฐ์ก่อนตรัสว่า “เรื่องนี้ข้าไม่รู้ แต่เท่าที่รู้มา ยอดฝีผือขอบเขตปราชญ์นั้นมีน้อยมาก ส่วนยอดฝีมือขอบเขตเทวะ ดูเหมือนว่าทั้งแผ่นดินในตอนนี้จะมีเพียงแค่สองคน และหลบซ่อนตัวหายไปหลายปีแล้ว อันที่จริงบนแผ่นดินนี้เดิมมียอดฝีมือขอบเขตปราชญ์และขอบเขตเทวะจำนวนไม่น้อย แต่ตั้งแต่เหตุการณ์การต่อสู้ที่หลิ่งตงเมื่อหลายร้อยปีก่อน คนเหล่านี้ดูเหมือนกับจะหายสาบสูญกันไปหมด”

“หือ?” หลินมู่อวี่ประหลาดใจ “ทรงเล่ารายละเอียดให้หม่อมฉันฟังได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ตอนนั้นเหตุการณ์ที่แน่ชัดเป็นอย่างไรข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องพวกนี้ข้าทราบมาจากบันทึก จริงเท็จยากที่จะบอกได้ แต่เดิมทีบนแผ่นดินนี้มียอดฝีมือขอบเขตเทวะจำนวนไม่น้อยจริงๆ อย่างเช่นบรรพบุรุษข้า จักรพรรดิฉินอี้ที่สถาปนาจักรวรรดิต้าฉิน ท่านเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทวะที่ฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุด เพียงแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน จู่ๆ พวกเขาก็หายสาบสูญกันไปหมด ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปที่ใด ลือกันหนาหูว่าพวกเขาทั้งหมดโบยบินขึ้นสู่สวรรค์ ไปอีกด้านหนึ่งของโลกแล้ว”

ฉินอินตรัสไป พระโอษฐ์ก็สั่นเล็กน้อย ก่อนจะแย้มพระโอษฐ์ออกมาด้วยความคาดหวัง “ที่จริงข้าก็รอว่าสักวันข้าจะได้ขึ้นไปสู่สวรรค์บ้าง คงต้องรอลิขิตสวรรค์สินะ!”

แน่นอนว่าหลินมู่อวี่ไม่กล้าบอกว่าฉินอี้ร่างกายแหลกเหลวไปแล้ว ความหวาดหวั่นในจิตใจนั้นกลับรุนแรงยิ่งนัก หรือว่าตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ฉินอี้ได้นำพายอดฝีมือแห่งโลกมนุษย์หลายร้อยคนตามไล่สังหารราชันย์เจ็ดประทีป ผลลัพธ์คือตอนที่ตนเองทะลุมิติมา ดันบังเอิญทะลุมายังนรกขุมที่สิบแปด และเห็นเหตุการณ์ที่พวกเขากับราชันย์เจ็ดประทีปสู้กันจนได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่ายเช่นนั้นหรือ

ขณะที่กำลังมองใบหน้างดงามภายใต้แสงจันทร์ของฉินอิน หลินมู่อวี่ไม่อาจทำใจบอกนางได้ว่า ยอดฝีมือขอบเขตเทวะทั้งหมดนั้นได้ตายไปแล้ว แต่เขากลับยิ้มกว้าง “อือ ข้าก็ใฝ่ฝันที่จะบินไปสวรรค์เช่นกัน”

“คิกๆ ใช่ไหมล่ะ!”

ฉินอินทรงพระสรวลก่อนตรัสขึ้น “เพียงแต่พวกเราต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือสืบทอดภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือพยายามฝึกยุทธ์ เพื่อเป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่ปกป้องจักรวรรดิ ใช่หรือไม่เล่า”

“อือ ใช่”

หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ฝึกพลังกันอีกสักพัก ฉินอินกับถังเสี่ยวซีก็นอนหลับกันไปก่อน ส่วนหลินมู่อวี่กับฉินเหลยก็คุยปรึกษากันว่า เขาจะอยู่เฝ้าช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืน ส่วนหลังเที่ยงคืนฉินเหลยจะรับหน้าที่ไป

เมื่อถึงหลังเที่ยงคืน เขาก็ล้มตัวลงนอน ในที่สุดก็ได้พักผ่อนเสียที หลินมู่อวี่หลับตาลง แล้วก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด จู่ๆ ก็มีเสียงดุร้ายเสียงหนึ่งลอยมาให้ได้ยิน

“เจ้าหน้าโง่!”

ในฝัน เงาดำปรากฏขึ้นท่ามกลางพื้นที่ที่ดูลางเลือน หลินมู่อวี่ยืนอยู่ใต้ลำแสง ยื่นมือไปหวังจะชักกระบี่เหลียวหยวนออกมา แต่กลับพบว่าไม่มีกระบี่ติดกาย

เงาในความมืดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มองไม่เห็นใบหน้า แต่หลินมู่อวี่รู้ว่าเขาคือใคร—ราชันย์ปีศาจเจ็ดประทีป!

“เจ้าเป็นแค่วิญญาณ จะเอายังไงอีก”

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ…” ใบหน้าของราชันย์ปีศาจเจ็ดประทีปดูดุร้ายยิ่งนัก มันกล่าวอย่างมีน้ำโหว่า “เจ้าเด็กน้อย ข้าอาศัยอยู่ในกายเจ้า เจ้าคิดว่าจะสามารถขโมยพลังเจ็ดประทีปของข้าได้หรือ ฝันไปเถอะ!”

ขณะที่พูด ราชันย์เจ็ดประทีปก็กระโจนเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ในมือกุมดวงดาวเอาไว้มากมาย มันคำรามเสียงดัง “ตายซะเถอะ—เจ็ดประทีปพลิกดารา!”

“อ้าก!”

หลินมู่อวี่พลันตกใจตื่น แล้วจึงพบว่านี่เป็นแค่ความฝัน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ความฝันไปเสียทั้งหมด มันดูจริงเกินไป เพราะเขารู้สึกได้ถึงพลังที่คมชัดของเจ็ดประทีปพลิกดาราที่มิอาจต่อต้านได้!

“อรุณสวัสดิ์ มู่มู่” ด้านข้าง ถังเสี่ยวซีกำลังอุ่นอาหารเช้า นางยิ้มแย้ม “อีกเดี๋ยวต้องกินเยอะๆ นะ จะได้รีบหาเถาวัลย์เอ็นมังกรให้เจอในตอนเช้า!”

“อืม…”

แต่ฉินอินมีความละเอียดลออมากกว่า นางตรัสถามขึ้น “ฝันร้ายหรือ”

“เอ้อ…จะว่าอย่างนั้นก็ได้!” เขายิ้มน้อยๆ แล้วส่ายหัว “อาจจะเป็นเพราะเมื่อตอนกลางวันเหนื่อยเกินไปน่ะพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม”

หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว ทั้งสี่คนก็ออกเดินลึกเข้าไปในป่าต่อ

จิ้งจอกอัคคีที่สวยงามกำลังวิ่งวนไปมาบนไหล่ของถังเสี่ยวซี และมองไปรอบๆ อย่างกระสับกระส่าย มันร้องเสียงแหลม “จี๊ด จี๊ด” อยู่ตลอดเวลา จนถังเสี่ยวซีรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าเป็นอะไรไปเหรอ”

จิ้งจอกอัคคีพูดไม่ได้ มันยังคงร้องจี๊ดจี๊ดไปยังทิศทางหนึ่ง

ถังเสี่ยวซีหรี่ตาคู่งามลง แล้วยิ้ม “ข้าเดาว่าพวกเราจะหากระดูกมังกรเจอได้ทางทิศนั้น พวกเราไปกันเถอะ!”

ในเมื่อไม่มีใครรู้ว่าจะสามารถหากระดูกมังกรเจอได้ที่ใด ฟังเสียงชี้นำของจิ้งจอกอัคคีก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกหนึ่ง ดังนั้นคนทั้งกลุ่มจึงเดินไปยังทิศที่มันชี้นำ

หลายชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในตอนที่ข้ามเขาลูกเล็กๆ นั้น จู่ๆ ถังเสี่ยวซีก็เกิดอาการตกตะลึง “ว้าว…”

หลินมู่อวี่รีบเดินขึ้นหน้ามา แล้วก็เห็นภาพที่น่าตื่นตะลึงเช่นกัน ท่ามกลางขุนเขาที่ยิ่งใหญ่ มีร่างยาวร่างหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนมังกรนอนอยู่ เพียงแต่ไม่ใช่มังกรแท้ห้าเล็บ เป็นแค่มังกรดิน แต่ก็ยังถือว่าเป็นมังกรชนิดหนึ่งได้อยู่

“หาเจอแล้ว!”

เขาพุ่งลงเนินไปอย่างปีติยินดี กระโดดเพียงครั้งเดียวก็ไปอยู่บนโครงกระดูกมังกรตัวนั้น และเห็นว่าบนกระดูกสันหลังมีเถาวัลย์ต้นไม้สีเขียวขึ้นอยู่หลายพุ่ม มีกลิ่นอายมังกรแผ่ออกมาบางๆ เขาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “เถาวัลย์เอ็นมังกร…พวกเราเจอเถาวัลย์เอ็นมังกรแล้ว!”

แต่ในตอนนี้เอง ปราณไร้รูปสายหนึ่งก็เข้าปะทะที่ด้านหลัง

ถังเสี่ยวซีตกใจ รีบร้องตะโกนเสียงดังว่า “มู่มู่ ระวัง!”

“พรึ่บ!”

มวลอากาศเย็นยะเยือกสายหนึ่งโฉบผ่านด้วยความรวดเร็ว พัดผ่านเถาวัลย์เอ็นมังกรจนเกิดเสียงหวีดแหลม ส่วนหลินมู่อวี่จู่ๆ ก็ขยับร่างกายไม่ได้ ราวกับว่ามีแรงกดดันกดร่างกายของเขาเอาไว้ ขยับตัวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย!

ในที่สุด คนที่ควรมา ก็มาถึงแล้ว!

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา หลินมู่อวี่ บุตรชายมหาเศรษฐีพันล้านที่ชีวิตสมบูรณ์แบบสุดๆ คนทั้งโลกต่างพากันอิจฉา เขามีโลกอีกใบคือการเป็นเซียนเกมที่ไต่ไปถึงระดับเทพยุทธ์ แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่าง และหันหลังให้โลกที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะพ่อต้องการให้เขาไปช่วยสืบทอดกิจการ ในวันที่เขาตัดสินใจหันหลังให้โลกใบนี้ หลินมู่อวี่ตัดสินใจลบแอคเคาน์ เพื่อจะได้ไม่ต้องโหยหาโลกใบนี้อีกต่อไป ในระหว่างที่เขาลบแอคเคาน์และรีเซ็ทระบบเพื่อออฟไลน์นั้น จู่ๆ รอบตัวก็เต็มไปด้วยความมืดมิด เขาถูกฉุดกระชากลงไปสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย มีเพียงเสียงชายชราผู้หนึ่ง ที่บอกว่าเส้นทางของเขายังไม่จบง่ายๆ หลินมู่อวี่ต้องเอาตัวรอดในโลกใหม่พร้อมปริศนาว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้เขาติดอยู่ในเกมและไม่สามารถออฟไลน์ออกไปได้ การผจญภัยในโลกแฟนตาซีสุดล้ำของหลินมู่อวี่จึงต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง…

Options

not work with dark mode
Reset