The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา – ตอนที่ 126 รวยแล้ว

EP.126 รวยแล้ว

“ท่านลุงหวัง เป็นอย่างไรบ้าง ประเมินเสร็จหรือยัง”

จินเสี่ยวถังสวมชุดกระโปรงยาวสีขาว เร่งผู้ประเมินที่อยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มสดใส

หวังจินเหยี่ยน นักประเมินอาวุธอันดับหนึ่งของสมาคมการค้าแห่งเมืองหลวง มือของชายวัยห้าสิบกว่าปีกดอยู่บนกระบี่ตัดอัสนี เขาปล่อยปราณแทรกเข้าไปในคมกระบี่ ทันใดนั้นเกิดปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงมาก คมกระบี่ปราฏสายฟ้าขึ้นมา เขาสัมผัสมันได้ถึงสิบวินาที จากนั้นตาลุกวาว “คุณหนูใหญ่ กระบี่ตัดอัสนีเล่มนี้เป็นระดับภูตขั้นที่สอง!”

จินเสี่ยวถังอดไม่ได้ที่จะปรบมือยิ้ม “ว้าว มีกระบี่ระดับภูตขั้นสูงตั้งหนึ่งเล่ม ยอดไปเลย!”

นางมองหลินมู่อวี่ด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น ก่อนเอ่ยถาม “ใต้เท้าหลินจื้อ ท่านทำได้อย่างไรกัน ร้านศาสตราวุธในเมืองหลวงมีช่างตีเหล็กอยู่ไม่น้อย พวกเขาใช้ศิลาวิญญาณอายุสี่พันปีกับเหล็กนิลพันปีกลับทำได้แค่อาวุธระดับภูตขั้นที่เจ็ด หรือไม่ก็อาวุธชั้นดีธรรมดาแค่นั้น ท่านทำอย่างไรถึงสร้างอาวุธระดับภูตขั้นที่สองได้เจ้าคะ”

“นี่…เป็นความลับของสวรรค์ที่ไม่อาจเปิดเผยได้” หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย

เขาไม่อยากบอก จินเสี่ยวถังก็ไม่ถาม ความสุขุมของรองประธานสมาคมการค้าแห่งเมืองหลวงผู้นี้ไม่ได้วัดกันที่อายุ นางรู้จักสังเกตสีหน้าท่าทางและประเมินหนักเบา ตอนนี้สำหรับสมาคมการค้าแล้ว หลินมู่อวี่ก็คือต้นไม้เงินต้นไม้ทอง แถมยังเป็นยอดฝีมือลึกลับอีกด้วย คนแบบนี้มีมูลค่ามาก ไม่ควรจะไปล่วงเกินเขา

ในตอนนี้เอง หวังจินเหยี่ยนยกกระบี่หยกประกายที่กดอยู่ขึ้นมา สีหน้าตื่นตกใจ “คุณหนูใหญ่ กระบี่หยกประกายเล่มนี้เป็นระดับภูตขั้นที่หนึ่ง…”

“ระดับภูตขั้นที่หนึ่ง…”

จินเสี่ยวถังถึงกับอึ้ง ก่อนยิ้มพูด “ยอดไปเลย ท่านลุงหวัง รีบให้สมาคมการค้าปล่อยข่าวออกไป บ่ายวันนี้จะมีการจัดประมูลที่สมาคมการค้า สินค้าที่จะประมูลคือกระบี่ระดับภูตห้าเล่มนี้ เชื่อเถอะว่าพวกคุณชายสูงศักดิ์จำนวนไม่น้อยต้องไม่ปล่อยโอกาสแบบนี้หลุดมือแน่นอน”

“ขอรับ!”

จินเสี่ยวถังหมุนตัวอย่างเบิกบานใจ นางมองหลินมู่อวี่แล้วยิ้มพูด “ใต้เท้าหลินจื้อ ตอนนี้เสี่ยวถังยังให้เงินกับท่านไม่ได้ แต่ว่าไม่ทราบว่าข้าจะเชิญท่านให้เข้าร่วมการประมูลในช่วงบ่ายได้หรือไม่ กระบี่ห้าเล่มนี้จะถูกนำขึ้นประมูลอย่างเปิดเผย หากจำเป็น ข้าจะแนะนำท่านในฐานะปรมาจารย์หลอมอาวุธ!”

“ไม่ต้องหรอก”

หลินมู่อวี่ส่ายหน้าพลางเอ่ย “ข้าต้องการแค่เงิน เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญ แม่นางจินอย่าแพร่งพรายเรื่องของข้าออกไป ต่อไปถ้าข้ามีอาวุธดีๆ ก็จะมาขายให้กับที่นี่”

“อือ เจ้าค่ะ เสี่ยวถังเข้าใจแล้ว!”

“เช่นนั้นหลังมื้อเย็นแล้วจะเข้ามารับเงินนะ”

“ตกลง!”

……

กลับถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์ มาทันเข้าร่วมการฝึกซ้อมช่วงเช้าพอดี

คู่ต่อสู้คือหลี่หมิงข่าย ครูฝึกดาวสีทองที่เพิ่งเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์มาใหม่ แต่มีพลังขั้นปราชญ์สงครามระดับห้าสิบเก้า ต่ำกว่าหลินมู่อวี่อยู่หนึ่งขอบเขต แน่นอนว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา และหลี่หมิงข่ายเองเคยเห็นทักษะการใช้จตุธาตุควบคุมกระบี่ของหลินมู่อวี่มาก่อนแล้วด้วย จึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึกๆ และแน่นอนว่ารู้สึกเคารพนับถือหลินมู่อวี่เป็นอย่างมาก การฝึกซ้อมในช่วงเช้าผ่านไปอย่างน่าเบื่อ ถึงขั้นที่ตอนฝึกซ้อมกับหลี่หมิงข่ายอยู่นั้น หลินมู่อวี่จะแอบฝึกหลอมกระดูกมังกรเพื่อเพิ่มระดับความบริสุทธิ์ของปราณยุทธ์ นี่เป็นเรื่องที่หลี่หมิงข่ายคิดไม่ถึงเลยสักนิด

หลังจากฝึกซ้อมเสร็จแล้ว ทุกคนรวมตัวกันที่ด้านในโถงทดสอบ

เกอหยางเดินเข้ามาแล้วประกาศ “ใต้เท้าแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ทุกท่าน ข้ามีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ ครูฝึกดาวสีทองจ้าวจิ้นฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บและกลับมาทำงานที่วิหารศักดิ์อีกครั้ง”

ด้านนอกประตูใหญ่ จ้าวจิ้นสวมชุดศึกเดินเข้ามา แต่เพราะแขนขวาถูกหลินมู่อวี่ตัดขาดไป ตรงแขนเสื้อจึงว่างเปล่า ดูแล้วขัดๆ อยู่บ้าง ใบหน้าของเขามีไอสังหารจางๆ มือซ้ายถือทวนเล่มใหม่ ค่อยๆ เดินเข้ามา แล้วมองหลินมู่อวี่อย่างเย็นชา ก่อนจะพูดขึ้น “ท่านหลินจื้อ คิดไม่ถึงสินะว่าข้าจ้าวจิ้นยังกลับวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้อีก”

หลินมู่อวี่กล่าวเรียบๆ “ท่านเป็นคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ กลับมาแล้วมีอะไรแปลกประหลาดหรือ”

จ้าวจิ้นถือทวนด้วยแขนข้างเดียว หัวเราะอย่างเย็นชา “หลินจื้อ เจ้าคิดว่าข้าเสียแขนไปข้างหนึ่งแล้วจะกลายเป็นคนพิการหรือ เจ้าคอยดูเถอะ สิ่งที่ข้าเสียไป จะต้องให้เจ้าต้องชดใช้คืนหลายเท่า!”

“อย่างนั้นหรือ”

หลินมู่อวี่เลิกคิ้ว “ที่ลานประลองวิทยาลัยเทพสงครามท่านคิดจะสังหารข้าก่อน ก็อย่าโทษที่ข้าไม่เกรงใจ หากท่านต้องการแก้แค้น ข้าก็พร้อมทุกเมื่อ”

“เจ้า!” จ้าวจิ้นโกรธจัด

และในตอนนี้เอง ครูฝึกดาวสีทองผู้หนึ่งเดินออกมา เป็นฉินเหยียนที่ถือทวนอสรพิษเพลิง เขาเลิกคิ้ว “ท่านจ้าวจิ้น เสียแขนไปข้างหนึ่งแล้ว ยังคิดจะท้าประลองกับหลินจื้ออีกหรือ หากท่านไม่กลัวตาย ข้าฉินเหยียนก็ยินดีที่จะสนองให้ ข้ายินดีที่จะช่วยส่งท่านไปลงนรกนะ!”

“ฉินเหยียน…ท่านอ๋องน้อย…”

สีหน้าจ้าวจิ้นหวาดกลัว ฐานะของฉินเหยียนนั้นไม่เหมือนกับหลินมู่อวี่ เขาเป็นชนชั้นสูงระดับที่หนึ่ง ถึงฉินเหยียนจะสังหารเขา ก็เกรงว่าก็ไม่ได้รับโทษหนักอันใด และจ้าวจิ้นเองก็คิดไม่ถึงว่าฉินเหยียนจะมาวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้ จึงไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี

เกอหยางกล่าวเสียงดัง “เอาล่ะ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว เรื่องในอดีตล้วนผ่านพ้นไปแล้ว ในเมื่อเข้ามาในวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องเคารพกฏของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ห้ามต่อสู้กันเอง มิเช่นนั้นต้องยึดตามกฎ ขับไล่ออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินแล้วใช่ไหม”

หลินมู่อวี่และฉินเหยียนประสานหมัดตอบพร้อมกัน “ขอรับ ท่านผู้ดูแล!”

จ้าวจิ้นมองหลินมู่อวี่อย่างจงเกลียดจงชัง แต่ก็ไม่ได้พูดอันใดออกมาอีก ถือทวนเดินกลับเข้าแถวไป

……

ช่วงบ่ายไม่มีเรื่องอะไร ดังนั้นหลินมู่อวี่จึงนอนหลับอยู่ในห้องลับตลอดบ่าย ชดเชยเวลาที่อดหลับอดนอนหลอมอาวุธเมื่อคืน

เมื่อใกล้จะพลบค่ำ หลังกินอาหารเย็นเสร็จ เขาก็ควบม้าออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ ตรงไปยังสมาคมการค้าแห่งเมืองหลวง

เมื่อเข้ามาในสมาคมการค้าถึงได้พบว่าวันนี้คนมาเยอะกว่าปกติมาก จินเสี่ยวถังยิ้มต้อนรับมาจากในห้องโถงพร้อมกล่าว “ใต้เท้าหลินจื้อ ท่านมาแล้วหรือ”

“การประมูลเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถาม

“ดุเดือดมากเจ้าค่ะ!” จินเสี่ยวถังเดินยิ้มแย้มเข้ามา แล้วก็จูงแขนหลินมู่อวี่อย่างไม่กลัวคนสงสัย ยิ้มพูด “ใต้เท้าหลินจื้อ กระบี่ทั้งห้าเล่มของท่านดึงดูดลูกค้าเข้ามาไม่ต่ำกว่าสามพันคน ขนาดผู้บัญชาการองครักษ์อวี้หลินใต้เท้าฉินเหลยก็ยังมาเลยเจ้าค่ะ กระบี่หยกประกายระดับภูตขั้นที่หนึ่งถูกเขาประมูลไปด้วยเงินถึงหนึ่งหมื่นเหรียญทองเลยนะเจ้าคะ!”

“ห๊ะ…” หลินมู่อวี่อุทานเงียบๆ นึกไม่ถึงว่าฉินเหลยจะต้องการกระบี่เล่มนี้ ดูท่าหลังจากนี้ต้องหลอมกระบี่ที่แข็งแกร่งกว่านี้มอบให้พี่ชายที่เคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับตนอีกด้ามแล้วสินะ

“ราคาทั้งหมดล่ะ”

“ทั้งหมดสามหมื่นเจ็ดพันเหรียญทอง หักหนึ่งส่วนเป็นค่าธรรมเนียม ข้าคำนวณเป็นตัวเลขกลมๆ ให้ท่านสามหมื่นสี่พันเหรียญทอง นี่เจ้าค่ะ เหรียญเพชรสามสิบสี่เหรียญ!” จินเสี่ยวถังหยิบถุงหนักๆ ออกมาหนึ่งถุง

หลินมู่อวี่ยิ้มแล้วหยิบเหรียญเพชรออกมาแค่สี่เหรียญเท่านั้น ที่เหลือคืนให้กับจินเสี่ยวถัง “ก่อนหน้านี้ข้าซื้อวัตถุดิบไปมากมาย ล้วนค้างจ่ายไว้ ดังนั้นสามหมื่นเหรียญทองนี้ยังต้องคืนให้กับคุณหนูจิน”

จินเสี่ยวถังกะพริบตาปริบๆ กล่าว “ใต้เท้าหลินจื้อ ท่านไม่ได้ซื้อศิลาวิญญาณอายุหนึ่งหมื่นหนึ่งพันปีกับศิลาวิญญาณอายุแปดพันปีหรือเจ้าคะ ทำไมถึงไม่เห็นอาวุธของวิญญาณทั้งสองชนิดนี้ล่ะ”

“คือว่า…”

หลินมู่อวี่รู้สึกจนปัญญา ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ตอนนี้สายตาของจินเสี่ยวถังไปตกอยู่ที่กระบี่ดอกหลีฮวาในมือของเขา อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความตกใจ “นี่…กระบี่เล่มนี้…ให้เสี่ยวถังดูได้หรือไม่เจ้าคะ”

“อืม”

หลินมู่อวี่ส่งกระบี่ให้นาง

“ชิ้ง” จินเสี่ยวถังชักกระบี่ออกมา คมดาบเจิดจ้าราวแสงจันทร์ นางส่งปราณเข้าไปเล็กน้อยก็พบว่าพลังน้ำแข็งรวมตัวกันเป็นเกล็ดหิมะอยู่รอบตัวกระบี่ งดงามอย่างยิ่ง นางอดไม่ได้ที่จะอ้าปากน้อยๆ ขึ้น “ว้าว…ใต้เท้าหลินจื้อ กระ…กระบี่เล่มนี้เป็นมาอย่างไรหรือเจ้าคะ งดงามเหลือเกิน แถมทรงพลังมากด้วย เสี่ยวถังไม่เคยเห็นกระบี่ที่ล้ำค่าเช่นนี้มาก่อน…นี่เป็น…ระดับนิลกระมัง”

“อืม”

หลินมู่อวี่พยักหน้า “ระดับนิลขั้นที่สาม ชื่อกระบี่ดอกหลีฮวา ข้าหลอมให้สหายของข้าน่ะ ดังนั้นจึงไม่อาจนำไปประมูลได้ แถมศิลาวิญญาณที่มีอายุมากในหอประมูลนั้นก็ถูกข้ากว้านซื้อไปหมดแล้ว”

จินเสี่ยวถังหัวเราะคิก “ท่านไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องศิลาวิญญาณหรอกเจ้าค่ะ เสี่ยวถังสามารถให้คนออกไปหามาได้ ทันทีที่ข้ามีศิลาวิญญาณอายุเกินห้าพันปีจะแจ้งท่านตกลงไหมเจ้าคะ”

“คือ…”

หลินมู่อวี่พูดอย่างจำใจ “แม่นางเสี่ยวถัง หลอมกระบี่หลายเล่มพวกนี้ข้าก็เหนื่อยเจียนตายแล้ว การหลอมอาวุธเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองพลังมาก จะมากดดันข้าแบบนี้ไม่ได้หรอก”

“ก็ได้ ก็ได้…”

จินเสี่ยวถังมือไพล่หลัง ยิ้มพูดราวกับเป็นสาวน้อยข้างบ้าน “เช่นนั้น…หากมีศิลาวิญญาณระดับสูงมาข้าจะเก็บไว้รอใต้เท้าหลินจื้อมาซื้อเป็นอย่างไร”

“อืม ตกลง”

……

ออกจากสมาคมการค้า หลินมู่อวี่ตรงไปที่สมาพันธ์โอสถ ได้เวลานำกระบี่ดอกหลีฮวามอบให้แก่ฉู่เหยาแล้ว

แสงไฟในสมาพันธ์โอสถยามค่ำคืนสว่างไสว โคมไฟดอกอินสีม่วงเป็นประกายระยิบระยับสวยงาม หลินมู่อวี่กอดกระบี่ดอกสาลี่ที่อยู่ในห่อผ้าสีดำเอาไว้ กระบี่ดอกสาลี่เล่มนี้เป็นกระบี่ล้ำค่าระดับนิล ยามราตรีจะมีประกายแสงจางๆ ออกมา ปกติอาวุธล้ำค่าเช่นนี้คนอื่นเห็นแวบเดียวก็มองออกทันที ดังนั้นเขาจึงใช้ผ้าสีขาวห่อไว้อีกที

เหล่านักปรุงโอสถเสร็จจากหน้าที่ประจำวันแล้ว ต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน ห้องของฉู่เหยาอยู่ที่เรือนทางทิศใต้ของโถงปรุงโอสถ เรือนนี้มีห้องหมดสี่ห้องนอน มีนักปรุงโอสถอาศัยทั้งหมดสี่คน แต่มีฉู่เหยาเพียงคนเดียวที่เป็นสตรี แต่ก็ไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นอยู่แล้ว เพราะด้านนอกของแต่ละเรือนต่างมีทหารรักษาการณ์อยู่ สมาพันธ์โอสถเป็นแหล่งผลิตนักปรุงโอสถระดับสูงของจักรวรรดิ สำหรับจักรวรรดิแล้วสมาพันธ์โอสถเป็นเหมือนอัญมณีล้ำค่า แน่นอนว่ายินดีที่จะจ่ายเงินมหาศาลเพื่อคุ้มครองเหล่านักปรุงโอสถที่ไร้อาวุธเหล่านี้

บริเวณลานกว้างในเรือน ต้นไห่ถังต้นหนึ่งส่งกลิ่นหอมจางๆ  ที่ใต้ต้นไม้ ฉู่เหยาตัวตรงยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับต้นไม้หยกหิมะที่งดงาม ร่างกายมีปราณไหลเวียน ด้านข้างมีกระบี่เล่มหนึ่งหมุนอย่างช้าๆ อยู่กลางอากาศ

“ก๊อกๆ ๆ…”

หลินมู่อวี่เคาะที่ประตู แล้วยิ้มพูด “พี่ฉู่เหยา?”

“เอ๋?”

ฉู่เหยาลืมตาขึ้นทันที ด้วยความตกใจ ทำให้ความสามารถในการใช้จิตควบคุมกระบี่นั้นหายไปด้วย กระบี่เหล็กร่วงลงพื้นหินดัง “เกร้ง” นางหันไปเปิดประตู ยิ้มพูด “อาอวี่ ทำไมเจ้าถึงมาดึกดื่นแบบนี้ล่ะ”

หลินมู่อวี่ตบห่อผ้าในมือท่าทางลึกลับ “มาส่งของขวัญให้ท่านน่ะสิ!”

“อะไรเหรอ”

“ดูเอาเองสิ!”

ฉู่เหยารับ “ของขวัญ” มา แล้วเปิดห่อผ้าออก เมื่อประกายแวววาวของกระบี่ดอกหลีฮวาสะท้อนเข้ามาในม่านตาของนาง ทันใดนั้นร่างของนางก็สะท้าน ดวงตาสองข้างพร่ามัว “นี่คือ…?”

 

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา หลินมู่อวี่ บุตรชายมหาเศรษฐีพันล้านที่ชีวิตสมบูรณ์แบบสุดๆ คนทั้งโลกต่างพากันอิจฉา เขามีโลกอีกใบคือการเป็นเซียนเกมที่ไต่ไปถึงระดับเทพยุทธ์ แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่าง และหันหลังให้โลกที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะพ่อต้องการให้เขาไปช่วยสืบทอดกิจการ ในวันที่เขาตัดสินใจหันหลังให้โลกใบนี้ หลินมู่อวี่ตัดสินใจลบแอคเคาน์ เพื่อจะได้ไม่ต้องโหยหาโลกใบนี้อีกต่อไป ในระหว่างที่เขาลบแอคเคาน์และรีเซ็ทระบบเพื่อออฟไลน์นั้น จู่ๆ รอบตัวก็เต็มไปด้วยความมืดมิด เขาถูกฉุดกระชากลงไปสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย มีเพียงเสียงชายชราผู้หนึ่ง ที่บอกว่าเส้นทางของเขายังไม่จบง่ายๆ หลินมู่อวี่ต้องเอาตัวรอดในโลกใหม่พร้อมปริศนาว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้เขาติดอยู่ในเกมและไม่สามารถออฟไลน์ออกไปได้ การผจญภัยในโลกแฟนตาซีสุดล้ำของหลินมู่อวี่จึงต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง…

Options

not work with dark mode
Reset