EP.133 ใครกำหนดชะตาชีวิตพวกนาง
หลินมู่อวี่จูงม้าศึก เดินไปบนถนนทงเทียนช้าๆ
ผู้คนเดินบนถนนต่างมองด้วยความเคารพ ในสายตาของพวกชาวบ้าน กลุ่มคนที่สวมชุดศึกสีขาวนี้ก็คือสัญลักษณ์ของพละกำลัง ดังนั้นคนจำนวนไม่น้อยจึงพากันหลีกทางให้
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว เอ่ยถามเสียงเบา “ราษฎรเกรงกลัวพวกเราหรือ”
เว่ยโฉวยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ขอรับ แต่ก็ไม่ใช่…”
“ยังไง”
เว่ยโฉวกล่าว “ทหารอวี้หลินเป็นส่วนหนึ่งของทหารป้องกันเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุด ว่ากันว่าแค่เจ็ดพันคนก็คุ้มกันเมืองหลวงได้อย่างแข็งแกร่งไม่อาจตีพ่ายได้ แต่…ในยามปกติ ทหารอวี้หลินก็อยู่ในสภาพที่ไม่มีอะไรให้ทำ ถึงขนาดที่ไปก่อกวนพวกชาวบ้านอยู่บ่อยครั้ง ผู้บัญชาการฉินเหลยเองก็ภารกิจรัดตัว จึงดูแลได้ไม่ทั่วถึง”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว จูงม้าเดินต่อไป
เดินผ่านร้านค้าไปเรื่อยๆ ครู่เดียวก็มาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีกำแพงสีขาว ด้านในมีเสียงร้องไห้ของหญิงสาวดังขึ้นเบาๆ “แอ๊ด” เสียงเปิดประตูใหญ่ดังขึ้น เห็นเพียงกลุ่มหญิงสาวในชุดขาดรุ่งริ่งเดินออกมาจากด้านในภายใต้การควบคุมของยาม แต่ละคนมีใบหน้าซีดขาวราวกับคนตาย นัยน์ตาไร้ชีวิตชีวา
“เดินให้มันเร็วหน่อย เจ้าพวกชั้นต่ำ!”
ทหารยามใช้กระบี่กระแทกไหล่ของหญิงสาวนางหนึ่งอย่างรุนแรง จนนางล้มถลาไปกับพื้น นางเงยหน้ามองทหารผู้นี้อย่างแค้นเคือง แต่กลับไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ
หลินมู่อวี่พลันแข็งเป็นหินอยู่ตรงนั้น แววตาของหญิงสาวคนนั้นคล้ายกับเซียงเซียงมาก!
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลินมู่อวี่กระโจนขึ้นม้าแล้วพุ่งเข้าไป ยกมือขึ้นบังคับกระบี่เหลียวหยวนให้ออกจากฝัก กระบี่พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว กระแทกกระบี่ที่ทหารยามคนนั้นยกขึ้นมาอีกครั้งจนปลิวกระเด็น
“บังอาจ ผู้ใดกัน?!” ทหารยามหันมาอย่างรวดเร็ว เห็นหลินมู่อวี่ที่บังคับม้าเข้ามาและสัญลักษณ์หัวหน้ากองร้อยตรงปกเสื้อของเขา จึงรีบพูดอย่างเคารพนอบน้อม “คา…คารวะท่านแม่ทัพ”
“หญิงสาวพวกนี้มันเรื่องอะไร” หลินมู่อวี่ถามเสียงเรียบ
ทหารยามนายนั้นตะลึง ก่อนรายงาน “ท่านแม่ทัพ ที่นี่คือหอเลี้ยงดู…ผู้หญิงพวกนี้ก็คือหญิงรับใช้ในค่ายทหาร ข้าน้อยกำลังนำพวกนางไปค่ายทหารรักษาพระองค์เพื่อปฏิบัติงานซักล้างประจำวันขอรับ…”
ด้านหลัง เว่ยโฉวตามขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ พวกนี้คือหญิงรับใช้ค่ายทหารจริงๆ ขอรับ…”
“หญิงรับใช้ค่ายทหารคืออะไร” หลินมู่อวี่ถาม
“หญิงรับใช้ค่ายทหารก็คือ…” เว่ยโฉวรู้สึกลำบากที่จะพูดออกมา แต่ก็กัดฟันอธิบาย “หญิงรับใช้ค่ายทหารหรือหญิงซักล้าง มีหน้าที่ซักเสื้อผ้าในค่ายทหาร นอกจากนี้..หญิงพวกนี้ยังมีหน้าที่คลายความกำหนัดของเหล่าทหาร ดังนั้น ท่านแม่ทัพ…”
หลินมู่อวี่มองกลุ่มหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า แววตาแต่ละคนไร้ประกาย ถึงขนาดที่มีเด็กสาวอายุน้อย แต่ร่างกายกลับเต็มไปด้วยรอยแผล เขาโกรธขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ คว้ากระบี่เหลียวหยวนที่หมุนกลับมา แล้วออกคำสั่ง “คุมตัวกลับไปให้หมด ทหาร ตามข้าเข้าไปในหอเลี้ยงดู ข้าอยากจะดูว่าหอเลี้ยงดูเป็นสถานที่อะไรกันแน่!”
“ท่านแม่ทัพ…” เว่ยโฉวรีบห้าม “หญิงรับใช้ค่ายทหารเป็นกฎที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคเทพแห่งการทหารเซี่ยงเหวินเทียน พวกเรา…พวกเราจะทำลายกฏของกองทัพไม่ได้นะขอรับ!”
ในใจของหลินมู่อวี่รู้สึกเจ็บปวด กัดฟันกรอด “เว่ยโฉว เจ้าเต็มใจทนเห็นพวกนางต้องถูกทรมานต่อไปได้เช่นนั้นหรือ หากทนไม่ได้ ก็ตามข้าเข้าไป”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ!”
……
ทหารอวี้หลินสิบนายทยอยขึ้นม้า บุกเข้าไปด้านในหอเลี้ยงดู ทหารยามด้านในสิบกว่านายเห็นทหารอวี้หลินบุกเข้ามา ไหนเลยจะกล้าต่อต้าน ได้แต่ยืนมองตาค้างอยู่ตรงนั้น
นี่เป็นลานกว้าง เสียงร้องครวญครางน่าสงสารของหญิงสาวดังอยู่ไม่ไกล
หลินมู่อวี่ควบม้าตรงเข้าไปกระแทกประตูห้องที่อยู่ตรงมุม เห็นร่างอ้วนท้วมร่างหนึ่งอยู่กำลังขยับเคลื่อนไหวอยู่บนร่างของหญิงสาว
“ใคร?!” เจ้าอ้วนหันมาตะคอกใส่เสียงดัง “กล้ามาขัดความสุขของข้า รนหาที่ตาย!”
ร่างเปลือยเปล่าไม่แม้แต่จะมองว่าผู้ที่มาเป็นใคร คว้าดาบที่อยู่ด้านข้างพุ่งเข้ามา วิญญาณยุทธ์ปรากฏขึ้นบนดาบ ทักษะยุทธ์ของคนผู้นี้ไม่เลว อย่าเห็นว่าเขาตัวอ้วน แต่กลับเคลื่อนไหวได้รวดเร็วยิ่ง
หลินมู่อวี่ลงจากหลังม้า ยื่นดาบออกไปด้านหน้าเบาดูดดาบของอีกฝ่าย แล้วหมุนตัวถอยหลังอย่างรวดเร็ว พาเจ้าอ้วนออกมาจากห้อง
และในจังหวะที่เขาล่อเจ้าอ้วนออกมาจากห้องนั้น หลินมู่อวี่ก็ระเบิดปราณยุทธ์ออกมา กระบี่เหลียวหยวนกดเจ้าอ้วนเอาไว้ เขาหมุนตัวเตะกลับหลัง ปราณยุทธ์ที่ทรงพลังหุ้มอยู่บนรองเท้า “เปรี้ยง” เสียงดังขึ้นที่ท้ายทอยของเจ้าอ้วน ลูกเตะที่เต็มไปด้วยความเดือดดาล ไหนเลยที่เจ้าอ้วนจะทนได้ มันปลิวไปกระแทกกำแพง จนอิฐแตกกระจุยเต็มพื้น ปราณที่ปกป้องร่างเจ้าอ้วนนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ส่วนมันสลบเหมือดไปแล้ว
กลุ่มคนที่ยืนล้อมอยู่รอบๆ ต่างยืนตะลึงตาค้างอยู่ตรงนั้น ทหารยามที่ดูอายุน้อยที่สุดก็พึมพำขึ้น “ใต้เท้าจ้าวอยู่ขอบเขตปฐพีชั้นที่สอง แค่กระบวนท่าเดียวก็พ่ายแล้ว ใต้เท้าองครักษ์อวี้หลินผู้นี้แข็งแกร่งเหลือเกิน…”
หลินมู่อวี่เงยหน้ามองเข้าไปในห้อง หญิงผู้นั้นนั่งเปลือยอยู่บนเตียง กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเจ็บปวด
เขาก้าวเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ อีกครั้ง ดึงผ้าคลุมสีขาวจากแผ่นหลังตัวเองออกมาคลุมร่างหญิงสาว แล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องร้องแล้ว ทุกอย่างมันจบแล้ว”
หญิงสาวกลับขว้างชุดคลุมลงพื้น นัยน์ตาสิ้นหวัง ดวงตาที่แดงก่ำจนเป็นสีเลือดคู่นั้นมองเขา ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ต้องมาเสแสร้ง ทหารอย่างพวกเจ้ามีแต่พวกเดรัจฉาน!”
หลินมู่อวี่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไร เขาเดินออกมาแล้วปิดประตูห้องลง
……
ด้านนอกเสียงดังวุ่นวาย มีทหารอีกกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา ทหารที่เป็นหัวหน้าติดสัญลักษณ์หัวหน้ากองพัน ถามด้วยใบหน้าถมึงทึง “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ทหารยามนายหนึ่งรายงาน “แม่ทัพหม่านจิน เมื่อครู่ตอนที่ใต้เท้าจ้าวกำลังจะ “เปิดบริสุทธิ์” ให้หญิงรับใช้นางหนึ่ง ใต้เท้าองครักษ์อวี้หลินผู้นี้จู่ๆ ก็บุกเข้ามาโจมตีจนใต้เท้าจ้าวสลบไปแล้วขอรับ!”
“เฮอะ!”
หม่านจินมองหลินมู่อวี่ด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้าเป็นใคร ทราบกฏหรือไม่ โจมตีหอเลี้ยงดูเท่ากับโจมตีกองทัพของจักรวรรดิ องครักษ์อวี้หลินอย่างเจ้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่”
“ที่นี่ก็เป็นตัวแทนของกองทัพจักรวรรดิได้ด้วยหรือ”
หลินมู่อวี่เลิกคิ้วคม ปราณยุทธ์แผ่ออกมา พร้อมที่จะเรียกวิญญาณยุทธ์ออกมา จิตสังหารรุนแรง เขามองกลุ่มทหารตรงหน้า กัดฟันกรอด พูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “พวกเจ้าเห็นสตรีเหล่านี้เป็นเครื่องระบายความใคร่ ต่ำช้าที่สุด พวกเจ้าทำเหมือนพวกนางไม่ใช่คน เหยียบย่ำผู้อื่นเช่นนี้ พวกเจ้ายังคู่ควรเป็นทหารของจักรวรรดิอีกหรือ แผ่นดินของจักรวรรดิต้าฉินให้คนไร้ความสามารถอย่างพวกเจ้ามาปกป้อง เกรงว่าคงล่มสลายไปนานแล้ว!”
“เจ้า! เจ้า…”
หม่านจินใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่ก็ยังรู้สึกถึงได้ถึงปราณยุทธ์อันทรงพลังของหลินมู่อวี่ได้ เขาดูแล้วเห็นว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององครักษ์อวี้หลินผู้นี้อย่างแน่นอน จึงชักกระบี่แล้วตะโกนขึ้นมา “พลหอก ล้อมเขาไว้ ข้าไม่สนว่าเขาจะเป็นองครักษ์อวี้หลินหรือกองทหารไหน กล้ามาทำร้ายคนของหอเลี้ยงดูเช่นนี้ ข้าหม่านจิงจะนำเจ้าส่งที่กรมวินัยให้ได้!”
“ก็ลองดู!”
หลินมู่อวี่ยกมุมปากขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มที่หล่อเหลา ยั่วยุอีกฝ่าย ด้านหลังของเขา ยังมีกลุ่มหญิงสาวที่เสื้อผ้าหลุดรุ่ยเนื้อตัวสั่นเทาอยู่ในห้อง หญิงสาวพวกนี้เป็นทาสที่ “รวบรวม” มาจากที่ต่างๆ ประโยชน์ใช้สอยของพวกนางน่าจะมีเพียงอย่างเดียวก็คือใช้ร่างกายของตนเองบำเรอทหารจักรวรรดิกระมัง
“จัดการมันซะ!”
หม่านจินตะโกนเสียงดังออกมา ทันใดนั้นพลหอกกลุ่มใหญ่ก็ล้อมเข้ามา
คนที่หลินมู่อวี่พามาก็ไม่ได้กินหญ้าเป็นอาหาร เว่ยโฉวระเบิดเสียงคำรามชักกระบี่แล้วสะบัดออก พลังปราณไหลเข้าสู่กระบี่และกลายเป็นปราณกระบี่กวาดกลุ่มคนพวกนั้น ปลายหอกเจ็ดแปดเล่มก็ถูกเขาฟันขาดทันที ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกได้เข้ามาเป็นองครักษ์อวี้หลินไม่มีใครไร้ฝีมือจริงด้วยสินะ
ทหารอวี้หลินที่เหลือต่างพากันชักกระบี่ออกมา บางคนก็กระโดดขึ้นม้าเตรียมบุกเข้าโจมตี
ทหารจากด้านนอกทะลักเข้ามาเยอะขึ้นเรื่อยๆ และคนเหล่านั้นติดตราสัญลักษณ์กองทหารรักษาพระองค์ ขนาดหลินมู่อวี่เองก็ดูออกว่าหม่านจินก็เป็นหัวหน้ากองพัน
“วิ้ง วิ้ง…”
ขยับปลายนิ้วเบาๆ ควบคุมพลังอัคคีที่ไหลอยู่รอบกระบี่เหลียวหยวนกลางอากาศ ให้พุ่งโจมตีออกไป หลินมู่อวี่กล่าวเสียงเรียบ “แม่ทัพหม่านจิน ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์เฟิงจี้สิงเป็นพี่ใหญ่ของข้า ข้าไม่อยากทำร้ายไมตรีของอีกฝ่าย หากท่านรู้ว่าต้องทำอย่างไรก็รีบให้คนของท่านถอยไป มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
หม่านจินเป็นถึงเป็นถึงหัวหน้ากองพัน ไหนเลยจะรับความอับอายเช่นนี้ได้ เขาสะบัดกระบี่อีกครา คำรามออกมา “ไม่ต้องพูดมาก โจมตี!”
กลุ่มพลหอกค่อยๆ กดหอกลงขนานกับพื้น พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง
หลินมู่อวี่เห็นทุกอย่างชัดแจ้ง มือซ้ายโบกขึ้นเบาๆ ทันใดนั้นวิญญาณยุทธิ์น้ำเต้าก็รวมกันเป็นกำแพงน้ำเต้า “ตึง ตึง ตึง” กระแทกหอกของเขาเหล่าทหารรักษาพระองค์กระเด็นออกไป ส่วนมือขวาบังคับกระบี่เหลียวหยวนเข้าโจมตี คมกระบี่กวาดโจมตีออกไปเป็นเปลวเพลิงสายยาว พร้อมเสียงคำรามเสียงเบาๆ วิญญาณมังกรไฟในดาบก็ปรากฏขึ้นมาในพริบตา เสียงคำรามกลืนกินพลหอกเหล่านั้นไปสิบกว่านาย วินาทีถัดมาคนเหล่านั้นก็ร้องโหยหวนกระเสือกกระสนดับเปลวเพลิงบนตัว
“ระยำ!”
หม่านจินคำรามออกมาอย่างโกรธแค้น ฟันกระบี่ลงมาเป็นประกายแสงสามเส้น เสียงวิญญาณยุทธ์คำรามอยู่นาน!
แม่ทัพที่แข็งแกร่งไร้ทหารที่อ่อนแอ หม่านจินแค่แสดงฝีมือก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา
แต่หลินมู่อวี่แข็งแกร่งกว่า ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าธรรมดาแต่แข็งแกร่งกว่ามากๆ อีกด้วย!
แขนซ้ายหลินมู่อวี่วาดผ่านหลังม้า คว้าทวนหลีฮวาที่ส่องประกายมาไว้ในมือ เพียงแค่สั่นเบาๆ ปลายหอกก็พุ่งออกไปปะทะกระบี่ของหม่านจิน
“เคร้ง!”
เสียงอาวุธกระทบกับแหลมเสียดหูมาก หม่านจินรู้สึกเย็นวาบที่แขน จากนั้นเขาก็เห็นวิญญาณสัตว์ปรากฏอยู่บนทวนหลีฮวา นั่นคือวิญญาณของกิเลนน้ำแข็งอายุหนึ่งหมื่นหนึ่งพันปี!
“โฮกกกกก!”
วิญญาณหายไปในพริบตา กรงเล็บคมกริบของกิเลนน้ำแข็งข่วนเข้าที่เสื้อเกราะของหม่านจิน พาเกล็ดหิมะโปรยลงมา วินาทีถัดมาหม่านจินก็ถอยร่นไปหลายก้าวทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ร่างกายกำลังเป็นน้ำแข็งและชาไร้ความรู้สึก เกล็ดน้ำแข็งค่อยๆ ลามขึ้นมาที่ผิวหนัง เขาสูญเสียพลังในการต่อสู้ไปในทันที อย่างไรเสียพลังของขอบเขตปฐพีและขอบเขตนภาก็แตกต่างกันมาก นี่ก็ตำหนิเขาไม่ได้
“ถอน…ถอนกำลัง…”
หม่านจินมีสีหน้าหวาดกลัว ทหารรักษาพระองค์ที่อยู่รอบๆ ต่างหยุดมือ ทุกคนรู้ว่ากำลังทหารแค่นี้ทำอะไรองครักษ์หนุ่มผู้นี้ไม่ได้
……
ต่อสู้กันไม่ถึงสองนาทีก็สิ้นสุดลง แต่รอยเลือดที่อยู่บนพื้นยังคงเป็นหลักฐานการต่อสู้ครั้งนี้
เว่ยโฉวถือกระบี่เปื้อนเลือด สีหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ทัพ พวกเราล่วงเกินทหารม้าลาดตระเวนของกองทหารรักษาพระองค์แล้ว ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดีขอรับ”
สายตาของหลินมู่อวี่ตกอยู่ที่เหล่าหญิงสาวที่ถูกขังอยู่ในหอเลี้ยงดู น่าจะประมาณสองร้อยกว่าคน เขาขมวดคิ้วถาม “เว่ยโฉว หากพวกเราจากไปแบบนี้ ชะตาชีวิตของผู้หญิงสาวพวกนี้จะเป็นอย่างไร”
เว่ยโฉวชะงัก ก่อนพูดขึ้น “มีชะตาชีวิตของพวกนางต่อไปแบบนี้ขอรับ”
“หากข้าปล่อยพวกนางเล่า จะเป็นอย่างไร”
“แน่นอนว่าพวกนางจะได้รับอิสระ แต่ท่านแม่ทัพ…เกรงว่าจะถูกกรมวินัย…”
“เช่นนั้นก็ปล่อยพวกนางเถอะ…”
หลินมู่อวี่ถอนหายใจเบาๆ “ข้าจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ…”