EP.138 นักฆ่าล่องหน
วานรหินตัวสุดท้ายหวาดผวาจนขวัญหนีดีฝ่อ มองดูเพื่อนตายไปทีละตัว มันอ้าปากกว้างส่งเสียงร้อง และหันหลังกลับวิ่งหนีไป ทันใดนั้นหลินมู่อวี่ก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ในใจพลางคิดว่า ไม่ว่าอย่างไรวานรหินตัวนี้ก็เป็นสัตว์วิญญาณอายุสี่พันปีที่สร้างความหวาดกลัวให้อยู่ดี!
“ฝุบ!”
เถาวัลย์น้ำเต้าแทงทะลุพื้นหินขึ้นมา มันพุ่งเข้ามัดตัววานรหินเอาไว้อย่างรวดเร็ว ระดับความเหนียวของเถาวัลย์น้ำเต้านั้นสัมพันธ์กับระดับความแข็งแกร่งของปราณยุทธ์ของหลินมู่อวี่ ไม่ว่าวานรหินจะขัดขืนอย่างไร ก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากพันธนาการของเถาวัลย์น้ำเต้าได้ กลางฝ่ามือสองข้างของหลินมู่อวี่เต็มไปด้วยเปลวไฟที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ กระบี่เบื้องหน้าหมุนอย่างรวดเร็ว เปลวไฟแปรเปลี่ยนเป็นเกลียวอัคคีหมุนพันรอบตัวกระบี่ แล้วพุ่งทะลวงออกไปด้วยความรวดเร็ว
ชั้นหินบนผิวหนังของวานรหินมีความแข็งหนาเป็นอย่างมาก การโจมตีแบบธรรมดาของกระบี่เหลียวหยวนนั้นไม่สามารถแทงทะลุได้ แต่หากใช้พลังของเกลียวอัคคีทำลายก็จะง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก
“เปรี้ยง!”
ผิวหินของมันแตกกระจายผสมปนเปกับไปกับเลือดสีแดงสด แล้ววานรหินตัวนี้ก็ร้องอย่างน่าเวทนา ตายตกตามเพื่อนของมันไป
หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าลึก พร้อมกับใช้พลังเกลียวอัคคีสองครั้งติดต่อกัน บวกกับพลังเจ็ดประทีปชั้นที่หนึ่งอีกหนึ่งครั้ง ปราณยุทธ์ภายในร่างถูกใช้ไปแล้วประมาณสามส่วน และก็ไม่รู้ว่าจะยังมีศัตรูที่แข็งแกร่งคอยดักซุ่มอยู่อีกมากเท่าไหร่ เขาต้องฟื้นฟูพละกำลังให้ได้โดยไว
หลินมู่อวี่กุมกระบี่เหลียวหยวนไว้ในมือ ควักศิลาวิญญาณของวานรหินอายุสี่พันปีออกมาจากศีรษะของวานรหินทั้งสามตัว นี่คือศิลาวิญญาณประเภทหินชนิดหนึ่ง หากนำมาหลอมอาวุธก็ไม่เลวเลยทีเดียว จะทำให้การโจมตีของอาวุธทรงพลังมากขึ้น คู่ต่อสู้ธรรมดาไม่สามารถต้านทานได้
เขานั่งลงบนพื้น เรียกวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าออกมา แล้วเริ่มหลอมวิญญาณสัตว์
แต่ที่ทำให้หลินมู่อวี่คาดไม่ถึงก็คือ น้ำเต้าหกชั้นของเขาดูเหมือนจะเลือกกินเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันจะได้ดูดซับวิญญาณสัตว์ก็แสดงถึงสภาวะอิ่มตัวให้เห็น
เขาลองอยู่หลายครั้งแต่ก็หลอมวิญญาณสัตว์ไม่สำเร็จ จึงต้องยอมแพ้ไป
ดูท่าคงจะเป็นอย่างที่เหลยหงเคยสอน หลังจากเข้าสู่ขอบเขตนภาแล้วก็แทบจะอาศัยการหลอมวิญญาณสัตว์เป็นตัวช่วยเลื่อนระดับพลังไม่ได้ เพราะที่ยอดฝีมือขอบเขตนภาต้องการก็คือปราณยุทธ์ แต่พลังวิญญาณที่อยู่ในร่างสัตว์วิญญาณนั้นคือปราณปฐพี ทั้งสองสิ่งนี้มีคุณสมบัติต่างกัน ยอดฝีมือที่เข้าสู่ขอบเขตนภาที่ต้องการเลื่อนระดับ จึงต้องพยายามฝึกยุทธ์ด้วยตนเอง มิน่าเล่าหลังจากที่เฟิงจี้สิงกับฉินเหลยเมื่อเข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่หนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้เลื่อนระดับอีก ทั้งที่พรสวรรค์และสติปัญญาของพวกเขานั้นสามารถทะลวงระดับได้อย่างรวดเร็ว
แต่หลินมู่อวี่ก็มิได้ร้อนใจ ถึงแม้การเลื่อนระดับของเขาจะค่อนข้างช้า แต่ก็มีความเสถียรเป็นอย่างมาก เนื่องจากการฝึกพลังภายในของคัมภีร์หลอมกระดูกมังกร เดิมทีก็สามารถช่วยเลื่อนระดับพละกำลังของตัวเองอย่างช้าๆ อยู่แล้ว อย่างมากสองปี อย่างน้อยก็ครึ่งปี การจะเข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่สองเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังคงอยากจะสำเร็จโดยเร็วอยู่ดี โดยเฉพาะหลังจากการได้เห็นความแข็งแกร่งของเซี่ยงอวี้
เซี่ยงอวี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นอันดับหนึ่งในบรรดารุ่นเยาว์แห่งจักรวรรดิ นี่มิใช่คำร่ำลือที่เกินจริง พละกำลังของเขาเพียงคนเดียวสามารถต้านทานเฟิงจี้สิง ฉินเหลย และหลินมู่อวี่ทั้งสามคนได้ แม้ท้ายที่สุดจะเสมอกัน แต่ก็ถือว่าน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งแล้ว
เฟิงจี้สิงกับฉินเหลยสองวีรบุรุษรุ่นเยาว์ จัดได้ว่าเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ แต่เซี่ยงอวี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นมังกรในหมู่มังกร
เมื่อนึกถึงสายตาที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารของเซี่ยงอวี้ หลินมู่อวี่ก็อดที่จะหวาดผวามิได้ เซี่ยงอวี้นั้นสืบทอดสายเลือดมาจากเซี่ยงเหวินเทียน เขาจึงหยิ่งผยองและภูมิใจในตนเองสูง อีกอย่างเซี่ยงอวี้ก็คิดจะกำจัดเฟิงจี้สิง จุดนี้ทำให้หลินมู่อวี่เกิดความกังวล เฟิงจี้สิงเป็นคนอะลุ้มอล่วย ใจกว้าง กองกำลังรักษาพระองค์ที่เขาบัญชาการ ก็เป็นปราการที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองหลวงมาโดยตลอด เซี่ยงอวี้ที่ต้องการครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในกองทัพแห่งจักรวรรดิ จึงจะต้องกำจัดเฟิงจี้สิงให้พ้นทาง
หลินมู่อวี่โคจรปราณอยู่เกือบสองชั่วโมง วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าดูดซับไอวิญญาณฟ้าดินโดยรอบอย่างตะกละตะกลาม สิ่งที่ทำให้หลินมู่อวี่ค่อนข้างพอใจก็คือไอวิญญาณที่อยู่รอบเจดีย์ทงเทียนนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก แถมยังมีเยอะกว่าในเมืองหลันเยี่ยนเสียอีก ดังนั้นปราณยุทธ์ภายในร่างจึงฟื้นฟูได้เกือบสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าการมาที่เจดีย์ทงเทียนนี้มิใช่การมาหาที่ตาย แต่เป็นการค้นพบสถานที่ฝึกยุทธ์อันยอดเยี่ยมต่างหาก
ในค่ำคืนที่ยาวนาน หลินมู่อวี่โคจรพลังหลอมกระดูกมังกรกับทักษะชีพจรวิญญาณเพื่อหลอมร่างกายและฝึกพลังวิญญาณ แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันที่อยู่เหนือหัวส่องแสงวูบวาบ
ใกล้ย่ำรุ่ง ฌาณสัมผัสก็รู้สึกได้อีกครั้งถึงพลังที่แข็งแกร่งสายหนึ่ง
หลินมู่อวี่เตรียมพร้อมทันที มือจับกระบี่ แม้เคล็ดวิชาชีพจรวิญญาณจะน่าอัศจรรย์ แต่ก็ไม่เคยที่จะแผ่ขยายขึ้นไปถึงชั้นที่สามได้ ราวกับว่าที่ชั้นสองมีบางสิ่งขวางกั้น เหมือนมีเส้นกั้นแบ่งเขตเอาไว้
ลมราตรีอันหนาวเหน็บพัดกระทบชุดศึกวิหาร ในเวลานี้ไหนเลยที่หลินมู่อวี่จะมาสนใจกับความหนาวเหน็บ ดวงตาใสกระจ่างในยามราตรี เหมือนดวงดาวที่ส่องสว่างสุกใสจ้องมองไปยังบันไดที่ไกลออกไป
แต่เขาก็ไม่เห็นผู้ใดเลย แม้แต่สัตว์วิญญาณสักตัวก็ไม่เห็น
หรือจะตื่นตระหนกไปเอง
ในตอนนี้เอง วิชาชีพจรวิญญาณก็พลันจับสัญญาณชีพที่อยู่ไกลออกไปได้ พลังสายหนึ่งพุ่งเข้ามา หลินมู่อวี่คำรามออกมาทันที พลันยกมือขึ้นสะบัดพายุปราณยุทธ์ที่ร้อนแรงออกมา!
“พรึ่บ!”
ปราณยุทธ์พุ่งกวาดผ่านพื้น ความเร็วนั้นพัดเป่าให้เห็นเงาร่างสายหนึ่ง เป็นดังคาดว่าผู้ที่มาเยือนนั้นเร้นกายมา นั่นเป็นร่างที่ผอมเป็นอย่างมาก ในมือถือมีดสั้นสองเล่ม มีรูปหน้าที่มองดูแล้วบิดเบี้ยวแปลกประหลาด เหมือนกับหน้าลิงอัปลักษณ์ และถึงแม้หนวดเคราจะไม่ยาว แต่ทุกเส้นก็ดูคล้ายกับหนามเหล็กที่แทงทะลุผิวหนังออกมา
โชคดีที่ทักษะชีพจรวิญญาณสัมผัสได้ มิเช่นนั้นเกรงว่าคงถูกคนผู้นี้ลอบโจมตีเข้าให้แล้ว
“เจ้าเป็นใคร” หลินมู่อวี่กำกระบี่ไว้ในมือ เอ่ยถามเสียงเรียบ
ผู้มาเยือนกลับเอาแต่เลียริมฝีปาก ลักษณะท่าทางอัปลักษณ์จนบอกไม่ถูก “หลายปีมาแล้วที่ไม่มีคนถูกส่งเข้ามายังเจดีย์ทงเทียนแห่งนี้ ข้ายังคิดไปว่าจักรวรรดินั้นสงบสุขแล้ว คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีคนใหม่มายังที่นี่ เฮอะ เฮอะ เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าเป็นเพียงแค่เหยื่อของข้าก็เท่านั้น รอเจ้าไปถึงนรกแล้วค่อยถามก็แล้วกันว่าข้าเป็นใคร!”
ขณะพูดเขาก็ซัดมีดสั้นออกมาในทันใด บนแขนมีแสงสีขาวเปล่งออกมา นั่นมันปราณยุทธ์!
เป็นยอดฝีมือขอบเขตนภาอีกแล้ว!
ถึงแม้มีดสั้นจะสั้น แต่ปราณยุทธ์ที่โจมตีออกมากลับมีความยาวถึงสองเมตร หลินมู่อวี่รีบตั้งรับ กำแพงน้ำเต้าโผล่ขึ้นขวางอยู่ที่หน้าอก ต้านทานการโจมตีของคู่ต่อสู้ เขารู้สึกเลือดลมปั่นป่วน ปราณยุทธ์ของผู้มาเยือนนั้นแข็งแกร่งกว่าของเขาเสียอีก!
“เกร้ง เกร้ง เกร้ง!”
การโจมตีของมีดสั้นถูกกระบี่เหลียวหยวนปัดออก หลินมู่อวี่เล็งหาจังหวะแล้วถีบออกไปเต็มแรง ปราณยุทธ์รวมอยู่ที่รองเท้า เขาเตะอีกฝ่ายจนกระเด็นออกไปหลายก้าว กระบี่เหลียวหยวนสะบัดออก ระเบิดการโจมตีออกไปห้าครั้งในพริบตา นี่เป็นเคล็ดความเร็วของกระบี่วายุ โจมตีอย่างรวดเร็วจนคู่ต่อสู้ไม่ทันได้ตั้งตัว
แต่นักฆ่าที่ซูบผอมเบื้องหน้าผู้นี้ไม่ใช่คนอ่อนแอ สายตาเขาดีเยี่ยม พลิกข้อมือนิดเดียวมีดสั้นก็ร่ายระบำราวกับผีเสื้อ สลายการโจมตีของหลินมู่อวี่ แต่หลังจากนั้นเขาก็เผยสีหน้าตกใจออกมา เขานึกไม่ถึงมาก่อนเลยว่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะถูกส่งเข้ามาในเจดีย์ทงเทียนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
“เปรี๊ยะ…เปรี๊ยะ…”
สายฟ้าเป็นประกายขึ้น หลินมู่อวี่เขวี้ยงกระบี่เหลียวหยวนออกไป ใช้สายฟ้าบังคับกระบี่ให้พุ่งไปทางศัตรู นักฆ่าตกใจ เขาไม่เคยเห็นการโจมตีแบบนี้มาก่อน ได้แต่ยกมีดสั้นขึ้นปัดป้องอย่างรวดเร็ว แต่ทั้งแขนของเขากลับเกิดอาการชามาก พลังโจมตีของหลินมู่อวี่นั้นรุนแรงเหลือเกิน
“แม่งเอ้ย!”
เขาคำรามออกมาด้วยโทสะ “ภูตราตรี!”
ในความมืด วิญญาณยุทธ์ของเขาปรากฏขึ้นมา มันคล้ายกับก้อนสสารสีดำเกาะเกี่ยวอยู่รอบกายนักฆ่า จากนั้นมิติก็ดูบิดเบี้ยวกลายเป็นความมืดมิด ส่วนร่างของนักฆ่าก็หายไปอีกครั้ง หลินมู่อวี่ตะลึง ในที่สุดเขาก็รู้สักทีว่าทำไมคนผู้นี้ถึงล่องหนได้ ที่แท้เขาก็อาศัยพลังจากวิญญาณยุทธ์มาบังตา
หลินมู่อวี่รีบใช้ทักษะชีพจรวิญญาณทันที สัมผัสคลื่นความเคลื่อนไหวทุกอย่างรอบตัว ขอเพียงอีกฝ่ายจู่โจม กลิ่นอายของเขาก็จะรุนแรงขึ้น ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาตำแหน่งเขาไม่เจอ
แต่ดูเหมือนนักฆ่าผู้นี้จะมีความอดทนสูง เขาไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลยเกือบสิบนาทีเต็ม
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว อดร้อนใจไม่ได้
ในตอนนี้เองจู่ๆ บริเวณหน้าอกก็มีสายลมเย็นยะเยือกปะทะเข้ามา มีดสั้นสองเล่มของศัตรูรวบติดกันพร้อมจู่โจม และคล้ายกับการใช้อัคคีควบคุมกระบี่ของหลินมู่อวี่อีกด้วย รอบมีดสั้นของศัตรูมีคลื่นพลังงานสีดำวนเวียนอยู่โดยรอบ พุ่งเข้าทำลายกระดองเต่าทมิฬและปราการเกล็ดมังกรอย่างรวดเร็ว ทรงพลังเหลือเกิน!
ชั้นป้องกันถูกทำลาย หลบไปไหนไม่ได้แล้ว!
ถ้าไม่ถูกแทงทะลุหัวใจ ก็ต้องถูกแทงเข้าที่อวัยวะอื่น หลินมู่อวี่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ใช้ท่าดาราย่างกรายเคลื่อนย้ายตัวเองไปครึ่งเมตร วินาทีถัดมาเขาก็รู้สึกเจ็บปวดที่แขน มีดสั้นเล่มหนึ่งปักอยู่ที่แขนและตรึงเขาไว้กับกำแพงหิน
“หึ!”
อีกฝ่ายเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา “ข้าบอกแล้ว ว่าเจ้าเป็นเหยื่อของข้า ขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์”
“งั้นหรือ”
หลินมู่อวี่ยิ้มด้วยแววตาเย็นชา พลังวิญญาณยุทธ์แผ่ออกมาในพริบตา เถาวัลย์น้ำเต้าหลายสายแทงทะลุขึ้นมาจากพื้น รากพันธนาการรัดข้อเท้าทั้งสองข้างของศัตรูอย่างรวดเร็ว
“บ้าเอ้ย!” นักฆ่ามองเถาวัลย์ที่ขาทั้งสองของตนเอง ก่อนเอ่ยขึ้น “ลูกไม้กระจอกแบบนี้ยังจะกล้าเอาออกมาใช้ให้ขายหน้าข้า”
เขาสะบัดขา ปราณยุทธ์ระเบิดออกมา ทำลายเถาวัลย์น้ำเต้าเละเป็นจุณ
และในจังหวะที่เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นดอกน้ำเต้าอยู่ตรงหน้าตนเอง พ่นของเหลวพิษออกมา
“เกราะปราณ!”
เขาเปล่งเสียง เกราะปราณพัดของเหลวพิษออกไป ทว่าในตอนนี้เองที่หน้าท้องของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด นั่นคือหมัดที่อัดแน่นด้วยพลังของหลินมู่อวี่
สองประทีประบำปีศาจ!
เสียงกระดูกซี่โครงหัก นักฆ่าหน้าซีดขาวถอยไปด้านหลัง แล้วล้มลงกับพื้นทันที พลังสองประทีประบำปีศาจนั้นทรงพลังขนาดไหน ไม่ใช่พลังที่นักฆ่าจะทนทานได้เลย
“ฟืด…”
หลินมู่อวี่สูดหายใจ กลั้นความเจ็บปวดดึงมีดสั้นที่ปักอยู่บนแขนออก แล้วมองดูบนมีด โชคดีที่ไม่มีพิษ จากนั้นล้วงยาสมานแผลออกมาใส่บาดแผล เขามองนักฆ่าที่พยายามสูดหายใจอยู่บนพื้นด้วยแววตาที่เย็นชา พร้อมพูดขึ้น
“ตอนนี้ยังคิดว่าข้าเป็นเหยื่อของเจ้าอีกไหม”
นักฆ่าหายใจหอบกระชั้น ใกล้จะหมดลมอยู่รอมร่อ แต่กลับแสยะยิ้มออกมา “จะ…เจ้าฆ่าข้าได้แล้วยังไง มารโลหิตไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ เหอะ…เหอะ…”
“มารโลหิต?”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “มารโลหิตคือใคร”
นักฆ่ากลับไม่พูดอะไร คอพับแล้วสิ้นลมในทันที
หลินมู่อวี่แค้นใจ ดูท่านักฆ่าล่องหนผู้นี้จะไม่ใช่ตัวหัวหน้าที่อยู่ชั้นบน ตนเองรับมือกับนักฆ่ายังลำบากขนาดนี้ ถ้ามารโลหิตตนนั้นมาเอง ตนเองจะยังมีโอกาสรอดอยู่ไหม
หลินมู่อวี่ค้นตัวนักฆ่า เจอเหรียญเพชรสองเหรียญ นอกจากนี้ยังเจอศิลาวิญญาณอีกหนึ่งก้อน เขาสัมผัสพลังวิญญาณในนั้นดู น่าจะเป็นศิลาวิญญาณหมวดอัคคีอายุราวห้าพันปี ไม่เลวแฮะ