The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา – ตอนที่ 141 ทักษะควบคุมจิตใจ

EP.141 ทักษะควบคุมจิตใจ

“เปรี้ยง!”

หมัดทรงพลังที่ไม่อาจต้านทานกระแทกใส่กระดองเต่าทมิฬจนกระดองเต่าแตกกระจุยไปในพริบตา ตามด้วยการโจมตีที่รุนแรงบนกำแพงน้ำเต้า กระแทกหลินมู่อวี่จนกระเด็นไปชนกำแพงหิน

เพียงแค่หมัดเดียว ก็เห็นว่าพลังของชื่อกุ่ยก็เหนือกว่าหลินมู่อวี่แล้ว

“ฟิ้ว!”

กระบี่เหลียวหยวนโต้กลับอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า แทงเข้าที่ดวงตาของชื่อกุ่ย

แต่ชื่อกุ่ยกลับคำรามออกมาอย่างดุร้าย แขนที่กางออกทั้งสองข้างประกบเข้าหากัน จับกระบี่เหลียวหยวนไว้ด้วยฝ่ามือในทันที

หลินมู่อวี่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเสยหมัดซ้ายที่ห่อหุ้มด้วยพลังงานสีแดงโลหิตขึ้นไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งประทีปพิฆาตชีวัน!

“เปรี้ยง!”

ร่างของชื่อกุ่ยสั่นสะท้าน ปราณยุทธ์ที่หุ้มร่างกายสลายไป รับพลังโจมตีของพลังเจ็ดประทีปไม่ไหวอยู่บ้าง แต่แขนทั้งยังคงหนีบกระบี่เหลียวหยวนไว้แน่น

หลินมู่อวี่คลายมือที่จับกระบี่ออก กางฝ่ามือออก และใช้อัคคีควบคุมกระบี่! กระบี่เหลียวหยวนสั่นและเกิดเสียงขึ้นมา ตัวดาบหมุนควงอย่างรวดเร็ว แก่นเพลิงมังกรก่อตัวเป็นลมหมุนล้อมไปทั่วบริเวณ ทันใดนั้นผิวหนังบนฝ่ามือของชื่อกุ่ยก็ถูกฟันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างรวดเร็ว และไม่อาจจับตัวกระบี่ได้อีก

“เฮ้ย!?”

ราชาทหารรับจ้างผู้ที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังในอดีตปล่อยกระบี่เหลียวหยวนออกทันที มองหลินมู่อวี่ด้วยสีหน้าตกตะลึง ไม่ได้พูดอะไรมาก ยกหมัดขึ้นมาแล้วชกใส่คมกระบี่เหลียวหยวน

“ตึง!”

นั่นคือหมัดทรงพลังอย่างแท้จริง กระแทกกระบี่เหลียวหยวนที่หมุนอยู่กระเด็นออกมา ฉวยโอกาสนี้โจมตีหมัดเหล็กไปที่เกราะอกของหลินมู่อวี่ “พรูด” หลินมู่อวี่กระอักเลือดและถอยหลังไปหลายก้าว ปราณยุทธ์ในร่างแตกกระจายอย่างรวดเร็ว ไม่อาจเรียกพลังออกมาโจมตีกลับได้อีก

ร่างของชื่อกุ่ยมีเปลวเพลิงไหลวน สายตาหยิ่งทะนงมองเขา กล่าวเรียบๆ “ข้าสร้างชื่อได้ตอนอายุห้าสิบปี เข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่สามมานานแล้ว คู่ต่อสู้แบบไหนข้าก็เคยเจอมาหมดแล้ว ข้าอยู่ในเจดีย์ทงเทียนมาสิบกว่าปี เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าบาดเจ็บได้  เฮอะ วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า หรือไว้ชีวิตเจ้าดีนะ”

หลินมู่อวี่เป็นคนหนุ่มที่กล้าเผชิญหันากับปัญหา เขาล้วงเหรียญเพชรสิบกว่าเหรียญออกจากหน้าอกกล่าว “เงินนี้ให้เจ้า ส่วนเจ้าไว้ชีวิตข้า! ยี่สิบวันต่อจากนี้ข้าจะออกไปจากเจดีย์ทงเทียน เราไม่ยุ่งเกี่ยวกันและกัน มิเช่นนั้นข้าก็จะสู้ตายทำให้เจ้าต้องถอยกลับไปแบบไม่สมประกอบ เราไม่มีความแค้นต่อกัน ทำไมต้องสู้ให้ตายกันไปข้างด้วย!”

ความจริงเขาเข้าใจเป็นอย่างดี ชื่อกุ่ยอย่างน้อยก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตนภาชั้นที่สามระดับแปดสิบขึ้นไป ใกล้เคียงกับขอบเขตปราชญ์แล้ว หากเอาจริงขึ้นมา เกรงว่าจะน่ากลัวกว่าเซียงอวี้ด้วยซ้ำ คู่ต่อสู้ระดับนี้ตนเองต่อสู้เพียงลำพังไม่อาจเอาชนะได้เลยแม้แต่นิดเดียว แถมพลังเจ็ดประทีปที่สาม ตนก็ยังควบคุมไม่ได้ มิเช่นนั้นคงจะลองสู้ดูสักตั้ง

“ฮ่าๆๆๆๆ…”

ชื่อกุ่ยเงยหน้าหัวเราะ สีหน้าเหยียดหยาม กวาดตามองหลินมู่อวี่แล้วกล่าวขึ้น “เด็กน้อย เจ้านี่น่าสนใจนัก เพียงแต่มารโลหิตบอกไว้แล้วว่า เมื่อเข้ามาในเจดีย์ทงเทียนแล้วก็ต้องเชื่อฟังเขาหรือไม่ก็ตาย เจ้าเลือกสักทางเถอะ!”

“เชื่อฟังอย่างไร”

“ตามข้าไปที่ชั้นสามของเจดีย์ทงเทียน”

“ชั้นสาม?” หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วกล่าว “หากข้าไม่ไปเล่า”

“ไม่เป็นไร เจ้าจะต้องไป”

ชื่อกุ่ยแสยะยิ้มมีเลศนัย พลันกางฝ่ามือออก ระเบิดเสียงออกมา รอบตัวปรากฏเปลวเพลิงรุนแรง “ฟู่” เปลวเพลิงแผ่ขยายออกมา เผาทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว!

หลินมู่อวี่รีบกระทืบพื้นอย่างแรง วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าปรากฏขึ้นรอบตัว ทำให้เขาอยู่ใต้การป้องกันที่สมบูรณ์แบบ ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น ทว่าวินาทีถัดมาหลินมู่อวี่ก็รู้สึกอยากจะตายแล้ว เพราะเสบียงที่วางอยู่ตรงมุมถูกเผาจนเกลี้ยง ขนมเปี๊ยะถูกเผาเป็นเถ้า จะกินอะไรกันล่ะทีนี้

ชื่อกุ่ยหัวเราะฮ่าๆ กระโดดขึ้นไปบนบันไดหินแล้วกล่าว “ที่ชั้นสามมีของกิน หากเจ้าไม่กลัวตาย ก็มาเถอะ!”

เงาร่างหายไปในความมืด

น้ำมันก็ถูกเผาจนไม่เหลือซากไปในพริบตา ทั่วทั้งชั้นที่หนึ่งเข้าสู่ความมืดมิด

หลินมู่อวี่ยืนกัดฟันอยู่ตรงนั้น เริ่มจากถุงน้ำถูกปีศาจหนามทำลาย แม้แต่ตอนนี้เสบียงก็ถูกชื่อกุ่ยเผาจนเกลี้ยง คล้ายกับว่ามารโลหิตตนนั้นอยากให้ตนเองขึ้นไปที่ชั้นสามเป็นอย่างยิ่ง

จะไปหรือไม่ไป นี่เป็นปัญหา

หากเขาขึ้นไป จะเป็นจะตายอย่างไรไม่รู้ได้ แต่หากไม่ไป ก็อดตายอยู่ที่นี่อยู่ดี กองทหารเฝ้าคุ้มกันเจดีย์ทงเทียนที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างออกไปหนึ่งลี้ ตนเองอยู่ในนี้จะเรียกอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ยิน แถมจักรพรรดิยังทรงมีพระบัญชาไว้แล้วว่า ไม่ว่าภายในเจดีย์ทงเทียนจะเกิดอะไรขึ้น ผู้คนด้านนอกห้ามให้ความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น มิเช่นนั้นก็จะไม่ใช่การเนรเทศแล้ว

……

เขานั่งลง ท้องก็ร้องโครกครากดังออกมา

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว หากปล่อยให้หิวต่อไปจะยิ่งแย่ พละกำลังที่ค่อยๆ หายไป ปราณยุทธ์ก็จะอ่อนแอขึ้นเรื่อยๆ หากต้องเป็นเช่นนี้ สู้ไปหามารโลหิตที่ชั้นสามยังจะดีเสียกว่า ดูว่าเขาต้องการทำอะไรกันแน่ และยิ่งรีบไปก็จะยิ่งรักษาสภาพปราณยุทธ์และพละกำลังที่ยังแข็งแกร่งอยู่ได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ

หลินมู่อวี่นั่งขัดสมาธิเกือบหนึ่งชั่วโมงโคจรทักษะหลอมกระดูกไปเจ็ดสิบสองรอบ พละกำลังและปราณยถทธ์กลับคืนสู่สภาพสูงสุดแล้ว พลังเจ็ดประทีปที่หนึ่งและประทีปที่สองน่าจะใช้ได้หลายครั้งอยู่ ออกเดินทางได้!

เขาถือกระบี่เหลียวหยวน ปล่อยพลังออกมาเบาๆ ทันใดนั้นกระบี่ก็มีเปลวเพลิงส่องสว่างอยู่รอบๆ ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาใกล้รุ่งสางแล้วเหมือนกัน

“แซ่ก แซ่ก…”

หลินมู่อวี่ขึ้นบันไดทีละขั้นๆ ไปที่ชั้นสอง ที่นี่ยังคงเงียบสนิท ห่างออกไปล้วนแต่เป็นกระดูกคนตาย เข้าเดินอ้อมไปทางระเบียงทางเดิน ทางขึ้นบันไดไปชั้นสามปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า แต่จะขึ้นไปชั้นสามได้นั้น จำเป็นต้องผ่านม่านพลังสีแดงโลหิต เขาแผ่ทักษะชีพจรวิญญาณออกไป รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าม่านพลังนี้อยู่ห่างไปอีกสองเมตร

หลินมู่อวี่สะบัดคมกระบี่ออกไป ใช้อัคคีควบคุมกระบี่ให้เริ่มโจมตี พลันแก่นหลอมมังกรเพลิงไหววนอยู่ที่ตัวกระบี่และเปลวเพลิงมังกรคลั่งโจมตีออกไปอย่างรวดเร็ว!

“เปรี้ยง!”

เปลวเพลิงมังกรทะลวงโจมตีใส่ม่านพลังจนเป็นรูขนาดใหญ่ เขากระโจนตามกระบี่เหลียวหยวนขึ้นไปที่ชั้นสามอย่างไม่ลังเล รอบตัวมีกำแพงน้ำเต้าไหลวนอยู่ เข้าสู่สภาพพร้อมต่อสู้สูงสุดแล้ว

เบื้องหน้าพลันสว่างวาบ นึกไม่ถึงว่าชั้นที่สามกลับจุดตะเกียงแก้วเอาไว้ แถมชื่อกุ่ยยังยืนกอดอกหัวเราะมองตน “เจ้าหนู ในที่สุดเจ้าก็มา!”

แววตาหลินมู่อวี่เย็นชา “ชื่อกุ่ย เจ้าคิดจะทำอะไร แล้วมารโลหิตผู้นั้นอยู่ที่ใดกันแน่”

“ข้าอยู่ที่นี่”

เสียงเรียบดังขึ้นจากด้านหลัง วินาทีถัดมาหลินมู่อวี่ก็ขยับตัวไม่ได้ พลังที่แข็งแกร่งสายหนึ่งกำลังกดตัวเขาไว้ ยอดฝีมือขอบเขตปราชญ์อีกคนหรือนี่!

“เปรี๊ยะ…เปรี๊ยะ…”

ปราณยุทธ์ระเบิดขึ้นรอบตัว ราวกับดอกสาลี่สีขาวระเบิดออก หลินมู่อวี่พยายามควบคุมร่างกายต้านพลังที่กดดันลงมาสุดชีวิต ถึงขนาดที่ใช้แก่นเพลิงมังกรแล้ว แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เขากัดฟัน คำรามเพื่อใช้พลังลึกลับอย่างพลังหนึ่งประทีบพิฆาตชีวันออกมา พลันพลังเจ็ดประทีปที่ทรงพลังก็แล่นไปตามชีพจรทั่วร่าง ทำให้พลังที่กดดันนั้นหายไปกว่าครึ่ง

เขาค่อยๆ หันตัวไป แววตาเย็นชามองมารโลหิต แต่กลับพบว่ามารโลหิตที่สวมชุดคลุมสีแดงขี่อยู่บนร่างของหมีดำตัวหนึ่ง เขา…เขาไม่มีแม้กระทั่งขาสองข้าง!

“ไง ประหลาดใจมากหรือ”

มารโลหิตปลดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แก่ชรา ดวงตาสองข้างคมเหมือนนัยน์ตาเหยี่ยว ราวกับมองทะลุความคิดของหลินมู่อวี่ได้อย่างปรุโปร่ง ยิ้มพูด “เจ้าคิดว่าข้าเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหนหรือ”

หลินมู่อวี่มองหมีดำที่มารโลหิตขี่อยู่ หมีตัวนี้ร่างกายใหญ่หนาคล้ายกับรถถัง บนหน้าผากมีเส้นสีทองสิบสองเส้นและสีเงินแปดเส้น นี่เป็นสัตว์วิญญาณหมีดำอายุหนึ่งหมื่นสองพันแปดร้อยปี มารโลหิตผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะขี่สัตว์วิญญาณอายุหมื่นกว่าปีเช่นนี้ได้อย่างไร

“ข้าจับเสี่ยวเฮยได้จากป่าล่ามังกรเมื่อเจ็ดสิบปีก่อน” มารโลหิตใช้มือเหี่ยวย่นลูบหัวของหมีดำ ยิ้มพูด “มันเชื่อฟังมาก ตอนที่ข้ารู้จักกับมัน เจ้าเด็กน้อยฉินจิ้นยังไม่เกิดเลยกระมัง แต่วันนี้เขากลับได้นั่งครองบัลลังก์ บนแผ่นดินมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงทุกๆ สิบปี แต่ตระกูลฉินยังคงครองแผ่นดินได้อยู่ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ!”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว ในใจคิด ฉินจิ้นจักรพรรดิผู้นี้ยังนับว่าใจกว้าง ผู้สืบทอดอย่างฉินอินก็เป็นคนจิตใจดีงาม ตระกูลฉินปกครองแผ่นดินบางทีอาจดีกว่าให้ผู้อื่นปกครอง

“ดูท่า เจ้าคงรู้สึกดีต่อฉินอินสินะ”

นัยน์ตาดั่งเหยี่ยวของมารโลหิตจ้องหลินมู่อวี่ ราวกับมองทะลุความคิดทั้งหมดของเขา และยิ้มพูดด้วยเสียงที่สั่นพร่า “ตั้งแต่โบราณกาลความรักเป็นเรื่องยุ่งยาก เจ้าหนู ความรักคือดาบสองคม หากถลำลึกลงไป คนที่ต้องทุกข์ก็มีแต่เจ้า เกิดเป็นชายชาตรี การออกศึก สร้างความดีความชอบต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่เจ้าควรทำ!”

“เจ้าเป็นใครกันแน่” หลินมู่อวี่ตะโกนถาม “ทำไมถึงอ่านความคิดของข้าได้!”

เขาพยายามสกัดใจสุดชีวิต ต้องไม่เปิดเผยความคิดในใจตนเอง ขณะเดียวกันทักษะชีพจรวิญญาณก็แผ่ออกมา ทันใดนั้นพลังวิญญาณลึกลับสายหนึ่งแผ่ออกมารอบตัว ในส่วนลึกของทะเลจิต พลังของทักษะชีพจรวิญญาณตรวจจับพลังวิญญาณสายหนึ่งที่มาจากภายนอก ดูเหมือนจะเป็นวิชาอ่านใจของมารโลหิต และในตอนนี้เอง พลังจิตของมารโลหิตก็เริ่มโจมตีทะเลจิตของหลินมู่อวี่

พริบตาเดียวทะเลจิตก็เกิดระลอกคลื่นสูงมหึมา พลังจิตของมารโลหิตเป็นเหมือนพายุคลั่งที่พัดคลื่นสูงยักษ์ออกมา คลื่นเหล่านี้ราวกับถูกปีศาจเข้าสิง มันพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เหมือนกำลังจะยึดครองพื้นที่ทั้งหมดในทะเลจิต หากทะเลจิตถูกพลังจิตของมารโลหิตเข้าครอบงำทั้งหมด มันจะหมายถึงอะไร หรือบางที ตัวเขาอาจถูกมารโลหิตเข้าควบคุมแล้วกระมัง!

หลินมู่อวี่รีบบังคับฌาณสัมผัสของตนเองให้เข้าสู่ทะเลจิต จากนั้นร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นในทะเลจิต เขายังคงอยู่ในชุดศึกต่อสู้ของวิหารศักดิ์สิทธิ์ มือถือกระบี่เหลียวหยวน พร้อมโบกมือระเบิดปราณยุทธ์กลางอากาศ ทันใดนั้นก็กดพลังของคลื่นขนาดยักษ์เอาไว้ อย่างไรเสียที่นี่ก็คือทะเลจิตของตน เขาเป็นเจ้าของที่นี่

แต่มารโลหิตยังไม่ยอมแพ้ พลังจิตที่ไร้ลักษณ์โจมตีออกมาเป็นครั้งที่สองอย่างรวดเร็ว คลื่นรุนแรงจำนวนมหาศาลซัดโจมตีเข้ามาอีกครั้ง!

หลินมู่อวี่ลอยอยู่กลางทะเลจิต กัดฟันกรอด คำรามอย่างโกรธแค้นพร้อมยกแขนขวาขึ้น “สองประทีประบำปีศาจ!”

พลังปีศาจทะลักขึ้นมาบนกระบี่ ฟันออกไปด้วยพลังสองประทีประบำปีศาจด้วยความโกรธ “เปรี้ยง” แรงกระแทกทำให้เกิดคลื่นขนาดยักษ์ในทะเลจิต รุนแรงจนพลังจิตของมารโลหิตนั้นถอยกลับไป พลังสองประทีประบำปีศาจครั้งนี้ทรงพลังยิ่งนัก แม้แต่ราชาปีศาจเจ็ดประทีปที่หลับใหลอยู่ในทะเลจิตก็โกรธขึ้นมา อย่างไรเสียราชาปีศาจก็ถือว่าที่นี่เป็นบ้านของเขาแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีอีกคนคิดจะย้ายเข้ามา จะยอมได้อย่างไร!

ไม่ทันได้รู้ตัว หลินมู่อวี่และราชาปีศาจเจ็ดประทีปก็ร่วมมือกันเป็นครั้งแรก…

 

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา หลินมู่อวี่ บุตรชายมหาเศรษฐีพันล้านที่ชีวิตสมบูรณ์แบบสุดๆ คนทั้งโลกต่างพากันอิจฉา เขามีโลกอีกใบคือการเป็นเซียนเกมที่ไต่ไปถึงระดับเทพยุทธ์ แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่าง และหันหลังให้โลกที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะพ่อต้องการให้เขาไปช่วยสืบทอดกิจการ ในวันที่เขาตัดสินใจหันหลังให้โลกใบนี้ หลินมู่อวี่ตัดสินใจลบแอคเคาน์ เพื่อจะได้ไม่ต้องโหยหาโลกใบนี้อีกต่อไป ในระหว่างที่เขาลบแอคเคาน์และรีเซ็ทระบบเพื่อออฟไลน์นั้น จู่ๆ รอบตัวก็เต็มไปด้วยความมืดมิด เขาถูกฉุดกระชากลงไปสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย มีเพียงเสียงชายชราผู้หนึ่ง ที่บอกว่าเส้นทางของเขายังไม่จบง่ายๆ หลินมู่อวี่ต้องเอาตัวรอดในโลกใหม่พร้อมปริศนาว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้เขาติดอยู่ในเกมและไม่สามารถออฟไลน์ออกไปได้ การผจญภัยในโลกแฟนตาซีสุดล้ำของหลินมู่อวี่จึงต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง…

Options

not work with dark mode
Reset