EP.146 องครักษ์อินทรีหลินมู่อวี่
ความเจ็บปวดจากการแผดเผาของกระแสเวลาได้แต่เพิ่มความแข็งแกร่งและความแน่วแน่ให้แก่จิตวิญญาณของเขา ตอนที่ทะลุมิตินั้น หลินมู่อวี่ได้เร่งปราณยุทธ์จนถึงขีดสุดแล้ว ยกมือขวาขึ้นมาช้าๆ รวมปราณยุทธ์ในร่างกายให้มาอยู่ที่จุดเดียว และเปลี่ยนเป็นพลังของเจ็ดประทีปอย่างรวดเร็ว
“ฉวับ!”
เกิดแสงสว่างวาบ หลินมู่อวี่ปรากฏตัวขึ้นที่ยอดเจดีย์ทงเทียน ภาพที่สะท้อนอยู่ในม่านตาก็คือมารโลหิตและชื่อกุ่ย
“หลินมู่อวี่!”
ชื่อกุ่ยระเบิดเสียงคำราม ซัดกำปั้นเพลิงออกไป นึกไม่ถึงว่าเขาจะทุ่มพลังทั้งหมด!
หลินมู่อวี่ออกหมัดโจมตีออกไปอย่างมั่นใจ กำปั้นนี้อัดแน่นไปด้วยพลัง รอบกำปั้นทั้งสองข้างเต็มไปด้วยสรรพชีวิตเริงระบำอยู่ ช่างมหัศจรรย์นัก!
สามประทีปทรกรรมชีวี!
“เปรี้ยง!”
หมัดที่ทรงพลังที่สุด ซัดใส่ชื่อกุ่ยเต็มๆ จนกระเด็นถอยไปหลายก้าว และกระแทกเข้ากับกำแพง ส่วนหลินมู่อวี่กลับอาศัยแรงนี้พุ่งตัวออกไปไกลกว่าสิบเมตร กระโดดลงจากเจดีย์ทงเทียนชั้นที่สิบแปด!
“เจ้า!”
มารโลหิตโมโหมาก ตะโกนเสียงดัง “ไอเด็กระยำ กล้าล้อข้าเล่นงั้นหรือ!?”
หลินมู่อวี่ไม่คิดจะลงมาข้างล่างด้วยบันได เขาวางแผนกระโดดลงไปจากยอดเจดีย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มิเช่นนั้นตอนลงบันไดจะต้องหนีมารโลหิตและหมีอายุหมื่นกว่าปีตัวนั้นไม่พ้นแน่ๆ
“วิ้ง!”
เขาเรียกน้ำเต้าออกมากลางอากาศ แสงน้ำเต้าสีครามปกป้องเขา ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มปล่อยปราณยุทธ์ออกมา ปล่อยหมัดใส่พื้นดินเพื่อลดแรงปะทะ มิเช่นนั้นแรงกระแทกจากความสูงสิบกว่าเมตรไม่ว่าใครก็ทนไม่ได้
ส่วนบนพื้นดิน นึกไม่ถึงว่าจะมีกลุ่มคนเฝ้าอยู่ตรงนั้น ลมเย็นพุ่งเข้าปะทะใส่ดวงตาทั้งสองข้าง หลินมู่อวี่มองไม่ชัดว่าเป็นผู้ใด
“เอ๊ะ?!”
ที่บนพื้นดิน ดวงตากลมโตของถังเสี่ยวซีกลับมองเห็นทุกอย่างชัดเจน บนท้องฟ้ามีเงาร่างหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในน้ำเต้ากำลังตกลงมา นางรีบชี้ขึ้นไปบนฟ้า ตะโกนเสียงดัง “เสี่ยวอิน ดูนั่น!”
ฉินอินรีบเงยพระพักตร์ขึ้นมอง ทันใดนั้นพระพักตร์งามเผยให้เห็นความยินดีเป็นอย่างยิ่ง “นั่นเขา…นั่นเขา!”
……
“เปรี้ยง!”
ฝุ่นฟุ้งตลบ หลินมู่อวี่ไถลไปตามพื้นเกือบยี่สิบเมตร เขาลุกขึ้นยืนในสภาพยับเยิน ร่างกายท่อนบนไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้น มีแต่กางเกงขาดๆ ปกปิดอยู่ เขาเงยหน้าขึ้น เห็นฉินอิน ถังเสี่ยวซีและฉู่เหยา สามหญิงงามยืนอยู่ไม่ไกล ด้านข้างคือเฟิงจี้สิง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและฉินเหยียน
ทันใดนั้น ใบหน้าของหลินมู่อวี่ก็แดงก่ำ ขายหน้าที่สุด ถูกเห็นหมดแล้ว
แต่ตอนนี้ที่เหนือศีรษะมีพลังรุนแรงมากสายหนึ่งแผ่ปกคลุมลงมา จะมัวเขินอายอยู่ไม่ได้ รีบกลิ้งหลบออกไปจากตรงนั้น ด้านหลังมีเสียงหมีศึกคำรามดังขึ้น มารโลหิตบังคับหมีศึกออกมา โซ่เทวะสายหนึ่งโจมตีใส่ตำแหน่งที่หลินมู่อวี่เคยยืนอยู่เมื่อครู่ จนพื้นบริเวณนั้นแตกกระจุย
“ผู้ใดกัน” ฉินเหลยจับดาบพุ่งเข้าไป คำรามเสียงทุ้ม “ท่านผู้เฒ่า ทำไมถึงมีวิญญาณยุทธ์ของพวกเราตระกูลฉิน!”
“พี่ฉินเหลย ถอยออกมา!”
หลินมู่อวี่ตะโกนเสียงดัง ทำให้ฉินอิน ถังเสี่ยวซีและฉู่เหยาหยุดเท้าทันที ทุกคนต่างยืนตกตะลึงตาค้างอยู่
“ผู้เฒ่านี้เป็นใครกันแน่” ฉินอินกะพริบดวงพระเนตร
“เป็นคนตระกูลฉิน”
หลินมู่อวี่ถือกระบี่แล้วหันกลับไป มองมารโลหิตที่อยู่ห่างออกไปไกล ก่อนประสานมือแล้วพูดขึ้น “ผู้อาวุโส ยอมแพ้เสียเถอะ ข้าออกมาจากเจดีย์ทงเทียนแล้ว ทำไมท่านถึงไม่ยอมปล่อยข้าไปล่ะขอรับ”
มารโลหิตสีหน้าโกรธแค้น และในตอนนี้เอง ใบหน้าของเขาก็แก่ชราลงอย่างรวดเร็ว พูดให้ชัดเจนก็คือแก่ชรากว่าเดิมมาก พริบตาเดียวเขาก็ดูคล้ายซากศพแห้งๆ พร้อมจะถูกลมพัดหายไปได้ทุกเมื่อ
อายุขัย!
ตอนนี้เหตุผลเดียวที่มารโลหิตไม่ออกจากเจดีย์ทงเทียน ก็เพราะเขาต้องการดูดซับพลังของความตายจากมิตินรกมาเพิ่มพลังชีวิตให้กับตนเอง ไม่เช่นนั้นทันทีที่เขาออกจากเจดีย์ทงเทียน ชีวิตของเขาก็จะสลายหายไปตามสายลม
ภาพที่น่าสะพรึงกลัวตรงหน้า ทำให้หญิงงามทั้งสามถึงกับหน้าซีดเผือด
หลินมู่อวี่โล่งอก เขาเดาไม่ผิด มารโลหิตเป็นคนโลภมาก เพื่อตำแหน่งจักรพรรดิแล้ว ไม่เห็นแก่สัมพันธ์พี่น้อง คนเช่นนี้ไม่ยอมอยู่ในเจดีย์ทงเทียนเฉยๆ หรอก ในเจดีย์นี้ต้องมีบางสิ่งที่ทำให้เขาไม่อาจปล่อยไปได้ ตอนนี้คำตอบก็ปรากฏขึ้นมาแล้ว เจดีย์ทงเทียนมีสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด นั่นก็คืออายุขัย
“เสี่ยวเฮย พวกเรากลับ!”
มารโลหิตลูบหัวเจ้าหมีเบาๆ บังคับมันกลับไปยังเจดีย์ทงเทียน วิกฤตจึงคลี่คลายในที่สุด
……
“อาอวี่ รีบใส่นี่ซะ!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเตรียมชุดให้เขาชุดหนึ่ง เป็นชุดศึกต่อสู้ขององครักษ์อวี้หลิน
หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ท่าทางของหลินมู่อวี่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก จากที่เมื่อก่อนดุเดือดบ้าคลั่งกลายเป็นสุขุมเยือกเย็น ถ้าได้โกนหนวดสักหน่อยก็จะสมบูรณ์แบบยิ่งกว่านี้
“อาอวี่ เมื่อครู่คนผู้นั้นคือใครหรือ” ฉินอินตรัสถาม
“พระอนุชาของปู่ทวดของท่าน เป็นนักโทษของจักรวรรดิ”
“อ่อ…”
ฉินอินไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ถามต่อ
หลังจากหลินมู่อวี่สวมรองเท้าเรียบร้อย เขาก็ขึ้นม้า และในตอนนี้เอง ห่างออกไปไม่ไกลมีขบวนม้าควบเข้ามาอย่างรวดเร็ว เป็นคนของค่ายเสินเวย ผู้บัญชาการเซี่ยงอวี้ถือทวนนองเลือดนำมาด้านหน้า
“หลินมู่อวี่ ไม่นึกว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่” เซี่ยงอวี้ยิ้นเย็นชา “ดูท่าว่าตำนานของเจดีย์ทงเทียนคงจะไม่เป็นความจริง แม้แต่คนอย่างเจ้ายังรอดออกมาได้ เจดีย์ทงเทียนก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คนเล่าขานกันมา”
“งั้นหรือ”
หลินมู่อวี่ยิ้มน้อยๆ “งั้นเจ้าก็เข้าไปดูเองสิ”
“เจ้ากำลังท้าทายข้า?”
เซี่ยงอวี้เลิกคิ้ว พูดขึ้น “อย่านึกว่าออกมาจากเจดีย์ทงเทียนได้แล้วเจ้าจะเป็นอิสระ ฝันไปเถอะ!”
“เซี่ยงอวี้ เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฉินเหลยยกดาบอัสนีทลายขึ้นถาม
“ไม่ได้หมายความว่าอะไร แค่จะทดสอบว่าพลังเขาก้าวหน้าแค่ไหนแล้ว!”
เพิ่งจะพูดจบ เซี่ยงอวี้ก็ลงมาจากม้า พลังโกลาหลทะลักขึ้นมาทั่วร่าง เขายกฝ่ามือขึ้นแล้วซัดพลังไปทางหลินมู่อวี่สุดแรงเกิด
เก้าโกลาหลที่สาม ผ่าสวรรค์โกลาหล!
หลินมู่อวี่เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เซี่ยงอวี้เป็นคนทนงและบ้าคลั่งมาแต่เกิด เขาจะต้องลองหยั่งเชิงตนอย่างแน่นอน ดังนั้นจังหวะที่เซี่ยงอวี้ลงมือ หลินมู่อวี่ก็เร่งปราณยุทธ์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วไว้แล้ว เขายกมือขวาขึ้น ภาพสรรพชีวิตมากมายปรากฏขึ้น
สามประทีปทรกรรมชีวี!
“เปรี้ยง!”
ประกายแสงเปล่งออกไปรอบทิศ พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกันจนเกิดคลื่นม้วนออกไปทุกทิศทาง หลินมู่อวี่ร่วงลงพื้นกะทันหัน เขาใช้กระบวนท่าผีเสื้อของฝีเท้าดาวตกยึดพื้นไว้ และยืนอย่างมั่นคง
กลับเป็นเซี่ยงอวี้ที่ถูกโจมตีจนกระแทกถอยหลังไปหลายก้าว เขายืนให้มั่นด้วยความทุลักทุเล มองฝ่ามือตัวเองด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ชัดเจนเลยว่าเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลินมู่อวี่จะกระแทกตัวเขาออกมาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เพราะเมื่อยี่สิบวันก่อน หลินมู่อวี่ไม่สามารถรับกระบวนท่านี้ได้แม้แต่นิดเดียว
“เซี่ยงอวี้ เจ้าไปกินหัวใจหมีดีเสือมารึไง!?”
ฉินอินบังคับม้าเข้ามา พระพักตร์งามเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าไม่ทราบรับสั่งของเสด็จพ่อหรือ หลินมู่อวี่ออกมาจากเจดีย์ทงเทียนแล้วก็ละเว้นโทษของเขาทั้งหมด แต่เจ้าเป็นผู้บัญชาการทหารค่ายเสินเวยหลับโจมตีเขาที่นี้ เจ้าคิดจะขัดรับสั่งของเสด็จพ่อหรือ”
“กระหม่อมมิกล้า!”
เซี่ยงอวี้ยิ้มกระอักกระอ่วน ประสานมือกราบทูล “กระหม่อมเพียงแค่ทดสอบพลังของใต้เท้าหลินมู่อวี่ว่าก้าวหน้าไปเท่าไรแล้วเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้จะขัดรับสั่งเด็ดขาด โปรดทรงเข้าพระทัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินอินกล่าวเย็นชา “เจ้าถอยไป ข้าจะพาเขากลับตำหนักเจ๋อเทียนเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”
หลินมู่อวี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย ใช้พลังประทีปที่สามติดกันสามครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด แต่ผลข้างเคียงต่อร่างกายยังคงรุนแรงมาก ผ่านไปสิบนาทีเต็มถึงจะเดินตามฉินอินและถังเสี่ยวซีขึ้นม้าไป
……
กลับมาที่ตำหนักเจ๋อเทียนอีกครั้ง ครั้งนี้กลับมีความรู้สึกแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง หลินมู่อวี่คุกเข่าลงพร้อมเฟิงจี้สิง ฉินเหลยและฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่พื้นเบื้องพระพักตร์ของจักรพรรดิ ในใจสับสนวุ่นวาย ในวินาทีนี้เองหลินมู่อวี่ก็เข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าอยู่ใกล้จักรพรรดิก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ อำนาจสวรรค์ยากจะคาดเดา ความเป็นความตายของตนเองขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้อื่น ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้า
“หลินมู่อวี่”
ฉินจิ้นทอดพระเนตรมองเขา ตรัสขึ้น “เจ้ารอดออกมาจากเจดีย์ทงเทียนได้ เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าเจ้าไม่สมควรตายจริงๆ หลังจากผ่านเคราะห์กรรมครั้งนี้ เจ้ากลับมารับหน้าที่ตำแหน่งเดิมเป็นองครักษ์อวี้หลินหน่วยพยัคฆ์ต่อไป ผู้บัญชาการฉินเหลยจะเตรียมทุกอย่างให้เจ้า ช่วงบ่ายเจ้าก็กลับไปลาดตระเวนได้แล้ว”
“ฝ่าบาท เรื่องที่กระหม่อมร้องขอไว้ในตอนแรกยังมีผลอยู่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หลินมู่อวี่ทูลถาม
ฉินจิ้นงุนงง “เรื่องอะไรหรือ”
“ยกเลิกระบบหญิงรับใช้ค่ายทหารของจักรวรรดิพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า!”
ฉินจิ้นกัดพระทนต์ก่อนตรัสขึ้น “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนมากมาย ไม่ใช่ข้าบอกว่ายกเลิกแล้วจะยกเลิกได้ แต่ข้าจะเก็บไปพิจารณา เจ้าไม่ต้องพูดมากแล้ว กลับไปลาดตระเวนเถอะ!”
หลินมู่อวี่ยอมแพ้กับเรื่องนี้ เขาลุกขึ้นยืน ก่อนประสานมือกล่าว “ฝ่าบาท กระหม่อมขอเข้าร่วมหน่วยองครักษ์อินทรีพ่ะย่ะค่ะ”
“หน่วยองครักษ์อินทรี?” ฉินจิ้นตะลึง “เพราะอะไร”
ฉินอินที่ประทับข้างองค์จักรพรรดิร้อนพระทัย ตรัสถาม “อาอวี่ ทำไมเจ้าต้องการเข้าหน่วยองครักษ์อินทรีล่ะ นั่น…มันลำบากมากเลยนะ ต้องอยู่นอกเมืองแทบจะตลอดเวลา…”
“กระหม่อมทราบพ่ะย่ะค่ะ” หลินมู่อวี่เองจะบอกว่าเป็นเพราะไม่อยากอยู่ข้างจักรพรรดิก็ไม่ได้ จึงพูดแค่ “กระหม่อมอยากอยู่ด้านนอกเพื่อฝึกฝนพ่ะย่ะค่ะ หวังว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาต”
ฉินจิ้นแย้มพระสรวล พยักพระพักตร์ก่อนตรัสขึ้น “ในเมื่อเจ้าอยากจะเป็นองครักษ์อินทรี ข้าก็จะอนุญาตตามที่เจ้าขอ เพียงแต่องครักษ์อินทรีไม่ใช่จะเป็นกันง่ายๆ ไม่เพียงต้องรับผิดชอบลาดตระเวนความปลอดภัยรอบนอกของเมืองหลวง แต่ยังต้องเข้าป่าล่ามังกรล่าสัตว์วิญญาณที่หายาก รวบรวมอาหารและสิ่งของมีค่า ส่งมาให้ตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อใช้สอย เรื่องนี้…เจ้าทำได้หรือไม่”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” สายตาหลินมู่อวี่เรียบเฉย
“ดี”
ฉินจิ้นทรงลุกขึ้นยืน ก่อนตรัส “เช่นนั้นแต่งตั้งหลินมู่อวี่ให้ดำรงตำแหน่งสือฉางประจำหน่วยองครักษ์อินทรี เจ้าสามารถออกคำสั่งองครักษ์อวี้หลินสิบนายและทหารอวี้หลินร้อยนายได้ แต่ทุกเดือนต้องมีภารกิจออกลาดตระเวนล่าสัตว์ หวังว่าเจ้าทำได้สำเร็จอย่างราบรื่น”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
……
เมื่อหลินมู่อวี่หันหลังเดินจากไป ฉินอินเผยพระพักต์ที่ผิดหวัง เพราะพระองค์ทรงหวังว่าหลินมู่อวี่จะอยู่ในตำหนักเจ๋อเทียน น่าเสียดาย หลินมู่อวี่เลือกที่จะจากไป
ฉินเหลย ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เฟิงจี้สิงตามเขาออกมาจากตำหนักเจ๋อเทียน ฉินเหลยขมวดคิ้วพูดขึ้น “อาอวี่ หน่วยองครักษ์อินทรีลำบากมาก อยู่กลางป่ากลางเขาทั้งปี ทั้งยังเป็นตำแหน่งที่ต่ำสุดในบรรดาองครักษ์อวี้หลิน ทำไมเจ้าถึงต้องการเป็นองครักษ์อินทรีนี่ด้วยล่ะ”
หลินมู่อวี่ส่ายหน้าพร้อมกล่าว “นิสัยข้าซื่อตรงเกินไป ไม่เหมาะที่จะอยู่ในตำหนักเจ๋อเทียน”
เฟิงจี้สิงยิ้มอยู่ด้านข้าง “เป็นองครักษ์อินทรีก็ดีเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องฝืน”
“ใช่แล้วพี่ฉินเหลย ข้ามีเรื่องจะขอร้อง”
“อืม เรื่องอะไรหรือ”
“เว่ยโฉวผู้นั้น หากเขาเต็มใจจะเข้ามาเป็นหน่วยอินทรี ท่านก็ย้ายเขามาอยู่กับข้า ได้หรือไม่”
“ได้สิ ไม่มีปัญหา!”
ด้านนอกพระตำหนัก ฉู่เหยายืนอยู่ไกลๆ จูงม้าสีขาวตัวหนึ่ง นางเดินยิ้มแย้มเข้ามา “อาอวี่ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
“อืม ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้ม “เพียงแต่อาอวี่เลือกที่จะลดขั้นไปเป็นหน่วยองครักษ์อินทรี”
ฉู่เหยากะพริบตาปริบๆ “ไม่เป็นไร มีชีวิตรอดได้ก็นับว่าดีแล้ว!”
“ก็จริง…”