EP.148 สี่ประทีปเทพมารโศกา
‘ฮี้’ ม้าศึกส่งเสียงร้องกังวาน เหล่าทหารห้าสิบนายเตรียมพร้อมรอ ณ บริเวณรังอินทรี พวกเขาสวมเครื่องแบบทหารม้า และเตรียมเกวียนขนาดใหญ่เพื่อใช้สำหรับบรรจุเนื้อสุกรไพรวันหนึ่งพันกิโลกรัม เนื่องจากนักพรตต้องใช้ในพิธีการหลวงจึงควรเก็บรักษาเป็นอย่างดี หากไม่ใช้เกวียนนี้…คงเป็นเรื่องยากที่จะลำเลียงเนื้อทั้งหมด แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็มิอาจทำได้
“ท่านแม่ทัพ…ทุกอย่างพร้อมแล้วขอรับ!”
เว่ยโฉวจรดปลายกระบี่ลงพื้นด้วยความเคารพพร้อมรายงานสถานการณ์แก่แม่ทัพ
“เตรียมตัวออกเดินทางได้!”
หลินมู่อวี่ค่อยๆ เคลื่อนทัพนำทุกคนออกจากค่าย ทันใดนั้น กลุ่มคนจำนวนหนึ่งปรากฏตัวที่ริมทาง ผู้นำทัพสวมเครื่องแบบองครักษ์อวี้หลินรูปลักษณ์สมชายชาตรี ทว่าคิ้วของเขากลับเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง บุรุษผู้นั้นห้ามมิให้กองทหารของตนเดินผ่านฝ่ายกองทหารของหลินมู่อวี่
“ผู้ใดกัน?” หลินมู่อวี่เอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ
เว่ยโฉวขมวดคิ้ว “กงฉวน…เขามีฝีมือที่น่าเกรงขามในขอบเขตนภาระดับหกสิบ เป็นหนึ่งในเก้ายอดฝีมือขอบเขตนภาจากองครักษ์รักษาพระองค์ทั้งหมดสองร้อยนายในหน่วย เขามาจากตำหนักขุนนางเทวาจึงยโสโอหังอย่างไม่น่าเชื่อ ในหมู่องครักษ์อวี้หลิน…เขาเป็นบุคคลที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด คงไม่เป็นการดีหากไปกวนโทสะคนใจแคบอย่างกงฉวน”
หลินมู่อวี่พยักหน้ารับก่อนออกคำสั่ง “หยุดขบวน…และให้พวกเขาไปก่อน”
“ขอรับ!”
ทหารทุกคนในกองบังคับม้าให้หยุด
ขณะนี้กงฉวนควบม้าด้วยท่าทางหยิ่งผยอง เขาสบตากับหลินมู่อวี่และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ข้าไม่คาดคิดเลยว่า…ต้นหญ้าที่เปราะบางก็มีฤดูใบไม้ร่วงเหมือนกัน แม้แต่จิตวิญญาณน้ำเต้าระดับสิบก็ยังเข้าร่วมองครักษ์รักษาพระองค์ได้ ฮ่าๆๆ ช่างน่าขันเสียจริง! ภารกิจเจ้าคืออะไรล่ะหลินมู่อวี่?”
หลินมู่อวี่ระงับความโกรธก่อนกล่าวว่า “พวกเรากำลังจะไล่ล่าสัตว์วิญญาณอายุห้าพันปี”
“หือ?”
กงฉวนกลั้นขำไว้ไม่ได้ “เจ้าต้องการล่าสัตว์วิญญาณอายุห้าพันปีด้วยทหารเหล่านี้น่ะเหรอ? รู้บ้างหรือไม่ว่ามันแข็งแกร่งขนาดไหน? ฮ่าๆๆ หวังว่าจะไม่โดนฆ่าตายหมดนะ หน่วยของเราไม่สามารถสูญเสียทหารมากมายขนาดนั้นได้ อ้าว! ท่านพี่เว่ยโฉวก็อยู่ด้วยเหรอเนี่ย ฮ่าๆ…”
กงฉวนค่อยๆ ขี่ม้าไปด้านข้างเว่ยโฉวแล้วมองด้วยสายตาดูแคลน “ได้ยินมาว่ามารดาเป็นหญิงรับใช้ในค่ายนี่ การได้เป็นองครักษ์รักษาพระองค์โดยมีมารดาเป็นหญิงรับใช้คงยากลำบากน่าดู เจ้าคงไม่ยอมตายง่ายๆ สินะ มิเช่นนั้นสัตว์วิญญาณคงจะผิดหวัง เพราะไม่รู้ว่าเขมือบไอ้บ้าไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนใดเข้าไป! ฮ่าๆๆๆ…”
‘ชิ้ง!’
กระบี่เหลียวหยวนถูกชักออกจากฝักตรงเข้าที่ซอกคอกงฉวนอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด
“หลินมู่อวี่…นี่เจ้าทำอะไร!” กงฉวนหวาดกลัวจนไม่กล้าขยับ
หลินมู่อวี่เผยยิ้มเย็นชาพร้อมกล่าวด้วยสายตาไร้ไมตรี “เจ้าหยามเกียรติข้าได้…แต่มาหยามเกียรติทหารใต้บังคับบัญชาของข้ามิได้ จำไว้!”
กระบี่ถูกชักกลับอย่างช้าๆ
ตัวของกงฉวนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเพราะตกใจกลัว เขาแข็งแกร่งทัดเทียมขอบเขตนภาชั้นที่หนึ่งเหมือนกันกับหลินมู่อวี่ ทว่าอีกฝ่ายกลับลอบโจมตีอย่างเร็วปานสายฟ้า ซึ่งทำต่อหน้าเหล่าทหารอีกด้วย กงฉวนโกรธแค้นเนื่องจากความอัปยศที่เกิดขึ้น “นี่เจ้าไม่คิดเจียมตัวหน่อยเหรอ เจ้าคิดจะล่าสัตว์วิญญาณอายุห้าพันปีด้วยตัวเองเนี่ยนะ เฮอะ! ข้าจะบอกอะไรให้…สัตว์วิญญาณอรุณอายุห้าพันปีในป่านั่นมีแค่สัตว์จำพวกปักษาเหินฟ้า อสรพิษวิญญาณโชติ และอสูรเกล็ดทองคำเท่านั้น ซึ่งสัตว์สองชนิดแรกอยู่ในช่วงจำศีล ส่วนอสูรเกล็ดทองคำก็หายากยิ่ง ถึงแม้จะหามันเจอก็คงสู้มันไม่ได้…ข้าจะรอดูความตายของเจ้า!”
กงฉวนข่มขู่ด้วยสายตาดุดัน “ไอ้สารเลว…อย่าคิดว่าจะมีใครช่วยเจ้าได้ คอยดูเถอะ!”
เว่ยโฉวกัดฟันแน่นแต่ต้องข่มมันไว้ เขามิอาจเทียบความแข็งแกร่งกับบุคคลตรงหน้าได้ ขณะที่อีกฝ่ายเป็นถึงขุนนาง…แต่เขากลับเป็นเพียงสามัญชน เป็นจริงดังเช่นกงฉวนกล่าวอ้าง…เว่ยโฉวเป็นบุตรชายของหญิงรับใช้ในค่ายและไม่เคยมีใครล่วงรู้ว่าผู้ใดคือบิดา มารดาเขาเสียไปเมื่อหลายสิบปีก่อน และเว่ยโฉวยังไม่เคยถูกรับรองว่าเป็นพลเมืองด้วยซ้ำ
หลินมู่อวี่ไม่อาจอดกลั้นอีกต่อไป เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนจะกล่าวว่า “กงฉวน…จะเกิดอะไรขึ้น หากพวกเราไล่ล่าและนำอสูรเกล็ดทองคำอายุห้าพันปีกลับมาได้…เจ้ากล้าเดิมพันไหม?”
กงฉวนกล่าวด้วยความโมโห “ได้! ว่ามาสิ…เจ้าต้องการเดิมพันอะไร”
“ก่อนพิธีกรรมบวงสรวงเหมันตฤดู หากพวกเราล่าอสูรเกล็ดทองคำอายุห้าพันปีได้…เจ้าต้องคุกเข่าลงตรงหน้าเว่ยโฉว และขอขมาเขาต่อหน้าฝูงชน และหากพวกข้าทำภารกิจไม่สำเร็จ…ข้าจะคุกเข่าตรงหน้าเจ้าและขอขมาต่อหน้าฝูงชนเช่นกัน เจ้ากล้าเดิมพันหรือไม่?”
“เหตุใดข้าจะไม่กล้า?”
กงฉวนยกฝ่ามือพร้อมกับกล่าวเสียงดังกังวาน “ทุกคนฟังข้า…หากหลินมู่อวี่สามารถฆ่าอสูรเกล็ดทองคำอายุห้าพันปีสำเร็จ ข้า…กงฉวน จะคุกเข่าและขอขมาต่อเว่ยโฉว ทว่าหากพวกเขามิอาจทำได้ หลินมู่อวี่ต้องคุกเข่าและขอขมาข้าแทน!”
ทหารทุกนายต่างยกอาวุธขึ้นพร้อมกับโห่ร้องอย่างครื้นเครง คนพวกนี้ช่างคุยโวกันเสียจริง
กองทัพทั้งสองกองเคลื่อนทัพผ่านกันในที่สุด เรื่องขบขันก็เป็นอันหยุดลง แต่หลินมู่อวี่ตระหนักดีว่าเรื่องนี้ยังตัดสินกันไม่ได้ ตำหนักขุนนางเทวามีเรื่องบาดหมางกับเขา ซึ่งในหน่วยองครักษ์รักษาพระองค์ที่เขาอยู่ก็เผอิญมีคนจากตำหนักขุนนางเทวาแฝงตัวอยู่มากมาย…ดูเหมือนว่าเจิ้งอี้ฝานผู้นี้จะมีหูมีตาอยู่ทุกหนแห่ง…
เว่ยโฉวบังคับม้ามาด้านข้างหลินมู่อวี่ก่อนพูดเสียงแผ่วเบา “ขอบพระคุณขอรับ…”
“เจ้าขอบคุณข้าด้วยเหตุใดกัน? เป็นมารยาทเหรอ?” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง
“ท่าน…” เว่ยโฉวลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ข้าเป็นบุตรชายของหญิงรับใช้ในค่าย แม้แต่ชื่อสกุลก็ใช้ของมารดา ท…ท่านไม่ดูแคลนข้าหรือ?”
หลินมู่อวี่บังคับม้าให้หยุดในทันที และพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ห้ามพูดเช่นนั้นอีก ข้าไม่สนใจภูมิหลังของเจ้า เจ้านั้นเป็นดั่งเพื่อนและพี่ชาย ข้าไม่มีทางยอมให้ใครมารังแกและดูแคลนเจ้าอย่างแน่นอน อยากถามเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”
“ม…ไม่มีขอรับ”
“งั้นรีบเคลื่อนทัพเถิด เราต้องตามหาอสูรเกล็ดทองคำก่อนพิธีกรรมบวงสรวงเหมันตฤดูให้ได้ มันไม่ใช่เรื่องน่าขบขันเลย…หากพวกเราหามันไม่เจอแล้วข้าต้องคุกเข่าต่อหน้าเจ้ากงฉวนงี่เง่านั่น! เจ้าคงไม่ปล่อยให้ข้าต้องทำเช่นนั้นใช่หรือไม่?”
เว่ยโฉวรู้สึกผ่อนคลายลงและเผยรอยยิ้มออกมา เขาบังคับม้าให้วิ่งเร็วขึ้นก่อนกล่าวว่า “ไม่มีทางขอรับ พวกเราต้องเจออสูรเกล็ดทองคำเป็นแน่!”
“อือ!”
…
เมื่อตกกลางคืน กองทัพได้มาถึงเขตชายป่าของป่าล่ามังกร ไกลออกไปมีทหารรักษาพระองค์หลายนายกำลังลาดตระเวน ทหารนายหนึ่งถือหอกขี่ม้าเข้ามาใกล้และเอ่ยถามว่า “นั่นใคร?”
เว่ยโฉวจุดคบเพลิงขณะที่หลินมู่อวี่หยิบเหรียญตราอนุญาตออกมา “ข้าหลินมู่อวี่แห่งหน่วยองครักษ์อินทรี…มาตามคำบัญชาให้เข้าป่าล่ามังกรเพื่อล่าสัตว์วิญญาณ”
ทหารรักษาพระองค์นายนี้เป็นแม่ทัพเช่นเดียวกับหลินมู่อวี่ แต่เมื่อเขาได้ยินคำว่าองครักษ์รักษาพระองค์ ก็แสดงความเคารพนับถือและกล่าวว่า “ท่านจำเป็นต้องระวังตัวเป็นอย่างมากที่จะเข้าป่าล่ามังกรดึกสงัดเพียงนี้ หมาป่าวาโยจะออกมายามรัตติกาล พวกเราได้ฆ่าไปจำนวนหนึ่งแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันลงภูผาไปทำร้ายผู้คนได้”
“อือ ขอบใจท่านมากที่เตือนข้า”
หลินมู่อวี่ขี่ม้านำขบวนทหารฝีมือยอดเยี่ยมกว่าห้าสิบนายเข้าป่าล่ามังกร ป่าแห่งนี้เป็นดินแดนที่ได้รับการคุ้มครอง พรานป่าและผู้ฝึกตนธรรมดาไม่มีทางที่จะเข้าป่าล่ามังกรได้ แน่นอน…ป่าแห่งนี้มีขนาดกว้างใหญ่มาก ทหารลาดตระเวนจึงไม่เพียงพอต่อการควบคุมป่าทั้งผืน พวกเขาจึงตั้งด่านบนถนนสายหลักที่มุ่งสู่เมืองหลวงเท่านั้น
สัตว์ที่ออกมาจากป่าไม่ได้สร้างปัญหาให้พวกเขามากนัก เนื่องจากมีเพียงหมาป่าวาโยอายุน้อยกว่าสี่ร้อยปีซึ่งทหารรักษาพระองค์สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
ณ เวลาเที่ยงคืน หลินมู่อวี่ออกคำสั่งให้ตั้งค่ายพักแรมบริเวณริมหน้าผาสูง ส่วนที่พักของเขาถูกตั้งอยู่ในถ้ำเนื่องจากดำรงในตำแหน่งสูงสุด แต่เขาไม่ได้สนใจนัก เพียงแค่ต้องการกินและได้พักผ่อนเท่านั้น
…
หลินมู่อวี่ยืนพิงกำแพงและเข้าสู่ดินแดนนิทราอย่างช้าๆ ทักษะชีพจรวิญญาณแผ่ออก รับรู้ได้ถึงผืนโลก อากาศ และพลังงานโดยรอบ ทหารรักษาพระองค์เข้าสู่ห้วงนิทราไปหมดแล้ว มีทหารรักษาการณ์เจ็ดนายคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านนอก หลังจากใช้ชีวิตในเจดีย์ทงเทียนแรมเดือน…จิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาก
แม้ว่าหลังจากใช้สามประทีปไปสองครั้งติดต่อกัน หลินมู่อวี่ก็ไม่ได้รู้สึกอ่อนเพลียเท่าใดนัก ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น และอยากได้สี่ประทีปเทพมารโศกาของราชาปีศาจเจ็ดประทีปมาครอบครอง
ภายหลังที่หลินมู่อวี่เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตนภา…ฝีมือก็ไม่พัฒนาอีกเลย เขาอยู่ที่ระดับหกสิบมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เรื่องแบบนี้จะเร่งรัดกันไม่ได้ หลินมู่อวี่แค่ต้องบำเพ็ญเพียรอย่างช้าๆ และหลังจากที่ได้รับสามประทีปมา เขาก็แข็งแกร่งขึ้นมากจากในอดีต
เขาค่อยๆ ถอนฌานสัมผัสกลับเข้าสู่ห้วงแห่งจิตสำนึก
“ฟิ้ว!”
หลินมู่อวี่ปรากฏตัวในทะเลจิต เขาถือกระบี่เหลียวหยวนและสวมชุดศึกวิหารศักดิ์สิทธิ์ หลายร้อยเมตรที่เบื้องล่าง สิ่งนั้นคือห้วงน้ำลึกแห่งทะเลจิต เขายกฝ่ามือขึ้นและพลังแข็งแกร่งไร้ลักษณ์ได้แยกน้ำทะเลออก ที่แห่งนี้พลังของหลินมู่อวี่สามารถเพิ่มขึ้นอย่างไม่จำกัด…ซึ่งก็หมายความว่าเขาเป็นดั่งเทพเจ้าที่นี่!
กระโจนลงสู่ห้วงน้ำลึกแห่งทะเลจิต เขาดำดิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเห็นคนผู้หนึ่งนั่งเงียบๆ อยู่ในพื้นที่โกลาหล…นั่นคือราชาปีศาจเจ็ดประทีป!
“หืม…เจ้ามาที่นี่เพื่อพบข้างั้นรึ?”
ราชาปีศาจเจ็ดประทีปไม่ต้องเงยหน้ามองก็รับรู้ได้ว่าใคร…เด็กเหลือขอที่เขาไม่สามารถกำจัดได้จนถึงทุกวันนี้
หลินมู่อวี้เผยรอยยิ้มบางๆ “ราชาปีศาจ…ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ราชาปีศาจเจ็ดประทีปรับรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ เขาเงยหน้ามองแล้วพูดว่า “อะไรอีกล่ะคราวนี้?”
“มอบพลังสี่ประทีปให้ข้าได้หรือไม่?” หลินมู่อวี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงต่อรอง
ราชาปีศาจเจ็ดประทีปกัดฟันแน่น “ไอ้ลูกวัว! ยังกล้ามาเรียกร้องขอสุดยอดวิชาฌานเจ็ดประทีปกับราชาผู้ยิ่งใหญ่อีกงั้นเหรอ? รนหาที่ตายเรอะ!”
ด้วยการปรับรูปแบบทางวิญญาณ ทำให้ราชาปีศาจเจ็ดประทีปมีขนาดใหญ่โตขึ้นและฝ่ามือถูกปกคลุมไปด้วยพลังดวงดารา…เขากำลังใช้เจ็ดประทีปพลิกดารา!
ทว่าพลังวิญญาณของหลินมู่อวี่แข็งแกร่งยิ่งกว่า ‘วิ้ง!’ จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังขึ้น ก่อนที่ติ่งหลอมอาวุธจะรายล้อมราชาปีศาจเจ็ดประทีปไว้ เปลวไปชั้นที่ห้า…ไฟโลกันตร์ ค่อยๆ ร่วงหล่นลงจากฟ้า ราชาปีศาจเจ็ดประทีปร้องครวญครางอย่างน่าเวทนาราวกับจิตวิญญาณกำลังเผาไหม้ พลังเจ็ดประทีปพลิกดาราของราชาปีศาจถูกทำลายอย่างสมบูรณ์
“จะยกให้ข้าไหม?” หลินมู่อวี่ถาม
ราชาปีศาจเจ็ดประทีปยอมตายยังเสียดีกว่ายอมจำนนขณะที่พูดว่า “ข้าขอตายเสียดีกว่ายกให้เจ้า!”
“งั้นข้าจะแย่งมันมาเอง…”
พลังงานจากจิตวิญญาณราชาปีศาจค่อยๆ ถูกดูดออกไปภายใต้กระบวนการหลอมของไฟโลกันตร์ เศษซากวิญญาณราชาปีศาจขู่คำรามพร้อมโจมตีติ่งหลอม หลินมู่อวี่ยกฝ่ามือขึ้นและมือไร้ลักษณ์ก็คว้าเอาชิ้นส่วนวิญญาณเหล่านี้ ทันใดนั้นพลังลึกลับก็แทรกผ่านเซลล์ทุกอณูในร่างกายก่อเกิดเป็นพลังใหม่!
สี่ประทีปเทพมารโศกา!
…
“อ่า…”
หลินมู่อวี่ลืมตาพร้อมยกฝ่ามือเพื่อปลดปล่อยพลังออกมาอย่างช้าๆ ทันใดนั้นทั่วฝ่ามือก็ปกคลุมไปด้วยพลังเทวะและจิตวิญญาณ…มันคือสี่ประทีปเทพมารโศกา! ทว่าเลือดในตัวของเขากำลังสูบฉีดเดือดพล่านด้วยความร้อน รวมไปถึงหัวที่กำลังปวดเสมือนถูกบดขยี้ หลินมู่อวี่คาดการณ์ไว้แล้ว…จิตวิญญาณของเขายังคงอ่อนแอเกินกว่าจะควบคุมพลังสี่ประทีปได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาจะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นด้วยพลังนี้จนสามารถใช้มันได้ในสักวัน!