EP.154 กองปฏิกูลหนักยี่สิบกิโลกรัม!
อายุของสัตว์วิญญาณเป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง…มิได้เป็นตัวกำหนดความแข็งแกร่งทั้งหมด เช่นเดียวกับอสูรเกล็ดทองคำตัวนี้ ถึงแม้มันจะมีอายุหกพันสองร้อยปี ทว่าสติปัญญากลับเหนือกว่าคู่ของมันมาก! มิเช่นนั้นมันคงไม่สามารถค้นหาวิธีใช้เกราะปราณยุทธ์ได้!
‘สวบ สวบ…’
กรงเล็บสัตว์ร้ายเหยียบย่ำลงบนหิมะขณะที่นัยน์ตาสีแดงก่ำจ้องมองหลินมู่อวี่…มันคลืบคลานเข้าหาเขาอย่างเชื่องช้าเพื่อรอโอกาสโจมตี!
หลินมู่อวี่หนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ เขาประเมินความแข็งแกร่งของสัตว์วิญญาณอายุหกพันสองร้อยปีต่ำเกินไป…มันแข็งแกร่งเกินกว่าจะฆ่ามันได้ด้วยตัวคนเดียว!
‘โฮก!’
อสูรเกล็ดทองคำเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น ทั้งตัวสัตว์ร้ายปกคลุมไปด้วยเกราะปราณยุทธ์ ทันใดนั้น! มันยืดตัวขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าใส่พร้อมตะปบกรงเล็บแหลมลงบนกำแพงน้ำเต้าถึงสามครั้ง! ‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง!’ พลังทำลายอันหนักหน่วงเกือบทำให้กำแพงเต่าทมิฬและปราการเกล็ดมังกรแตก เพียงพริบตาเดียวแสงสีทองจากอสูรร้ายแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บเรืองแสงทันที
หลินมู่อวี่ทิ้งตัวลงหลบการโจมตีอย่างรวดเร็วก่อนจะมีลมผ่านศีรษะเขาไปพร้อมเส้นผมบางส่วนร่วงลงมา นี่มันน่ากลัว! เขาเกือบจะถูกสัตว์ร้ายตะปบหัวเหวอะเข้าให้แล้ว…
หลินมู่อวี่พลันม้วนตัวไปด้านข้างสัตว์ร้ายก่อนจะตวัดกระบี่เข้าใส่อย่างรวดเร็ว! ทว่า…ก็มิสามารถทะลวงเกราะปราณยุทธ์ของมันได้ ทันใดนั้นหลินมู่อวี่ก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี…
ดังคาด! พริบตาเดียวพลันมีลมพัดผ่านร่างกายหลินมู่อวี่…มันคือหางของอสูรเกล็ดมังกร!
‘เปรี้ยง!’
ส่วนหางปะทะกับร่างกายหลินมู่อวี่อย่างจัง มันบดขยี้เกราะไหล่ซ้ายจนแตก เสียงกระดูกหักดังเล็ดลอดออกมา…หากปราศจากการป้องกันของกำแพงน้ำเต้า แม้จะผ่านการหลอมกระดูกแล้ว…ทว่าคงมิอาจรับการโจมตีของสัตว์ร้ายอายุหกพันสองร้อยปีตัวนี้ได้โดยตรง…
“ไปช่วยท่านแม่ทัพ!”
…
เหล่าทหารที่รออยู่บริเวณยอดเขาต่างกรูกันลงมา เว่ยโฉวกระโดดลงพร้อมจ้วงกระบี่ลงบนแผ่นหลังของอสูรเกล็ดทองคำ! ส่วนทหารนายอื่นๆ ช่วยกันยิงธนูในระยะประชิดเข้าใส่เกราะปราณยุทธ์ของสัตว์ร้ายราวกับห่าฝน ทว่าก่อนลูกธนูจะตกลงมา…เหล่าองครักษ์รักษาพระองค์พุ่งตัวไปพร้อมปาหอกเข้าใส่อย่างรวดเร็ว! ‘ฉึก! ฉึก! ฉึก!’ เสียงหอกแหลมปักเข้าที่ร่างเรืองแสงของสัตว์ร้าย
‘โฮก!’
อสูรร้ายบินโฉบด้วยความโกรธเกรี้ยวพร้อมทั้งเกล็ดบนตัวพองออก สายลมพลันหอบหิมะปลิวกระจัดกระจายขณะที่มันปลดปล่อยพลังงานออกมา ทันใดนั้นพลังงานแสงสว่างก็จู่โจมเข้าใส่เหล่ากองทหารจนได้รับบาดเจ็บ พวกเขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา
หลินมู่อวี่พยายามอดทนต่อพิษบาดแผลขณะที่โดนโจมตีจนกระเด็นออกไป เขายกมือขวาที่ยังคงใช้งานได้ขึ้นมา ทันใดนั้น! เปลวไฟเริ่มหมุนเป็นเกลียวก่อนที่แก่นเพลิงมังกรจะสถิตบนคมกระบี่ ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่พลันเรียกวิญญาณยุทธ์ออกมา “โฆรวิส!”
โฆรวิสมิได้เป็นวิญญาณยุทธ์น้ำเต้า ทว่าเป็นวิญญาณยุทธ์ของกระบี่
“เว่ยโฉว ดึงความสนใจมันที!” หลินมู่อวี่ตะโกนขึ้นขณะพยายามควบคุมกระบี่เหลียวหยวน
เว่ยโฉวพยักหน้ารับพลันลุกขึ้นยืน กระบี่ของเขาเรืองแสงขึ้นก่อนจะพุ่งเข้าใส่อสูรร้าย! ทว่า…มันเพียงมองลงมาที่เว่ยโฉวก่อนจะยกกรงเล็บขึ้นมาปัดป้องเท่านั้น!
‘เปรี้ยง!’
ทันใดนั้น! กระบี่ของเว่ยโฉวได้หักอย่างง่ายดาย เขารู้สึกเจ็บบริเวณหน้าอก กรงเล็บอสูรเกล็ดมังกรปะทะเข้าเต็มแรงจนเขาทรุดลงบนพื้นหิมะ ส่งผลให้เว่ยโฉวกระอักเลือดออกมากองใหญ่ ทว่าเขายังโชคดีที่มีพลังไฟชีวิตคุ้มกัน…มิเช่นนั้นเขาคงสิ้นชีพไปแล้ว!
เมื่ออสูรร้ายหันไปสนใจเว่ยโฉว พริบตาเดียวพลันมีเปลวไฟแผดเผาอยู่เบื้องหลัง…มันคือเกลียวเพลิงมังกรคลั่งของหลินมู่อวี่!
‘ฟู่!’
เกลียวเพลิงหมุนทะลวงเข้าไปที่เกล็ดของอสูรร้ายทันที! เป็นเหตุให้เลือดของมันเดือดพล่านพุ่งออกจากบาดแผล และขณะเดียวกันโฆรวิสพลันแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายสัตว์ร้ายส่งผลให้เนื้อรอบบาดแผลพุพองและเริ่มเน่าเปื่อย
‘โฮก โฮก…’
เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวพลันเปลี่ยนเป็นเสียงร้องอย่างตื่นตกใจ จากนั้นกรงเล็บแหลมของอสูรร้ายปกคลุมไปด้วยแสงสีทองก่อนที่จะกระโดดขึ้นพุ่งเข้าใส่หลินมู่อวี่ ทันใดนั้น! เกิดแรงกดมหาศาลตกลงมาพร้อมกับมัน
หัวใจหลินมู่อวี่กระตุกวูบ เนื่องจากอาการบาดเจ็บส่งผลให้เขาตอบสนองได้ช้าลง และมันก็สายเกินกว่าจะใช้ฝีเท้าดาวตกเพื่อหลบหนี! เขาพยุงตัวเองไว้และขบฟันแน่น ขณะเดียวกันก็ยกแขนขวาขึ้นและดึงพลังจากส่วนลึกของร่างกายออกมา…สี่ประทีป!
อาอวี่รู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังฉีกขาด อีกทั้งภายในจิตใจมีไฟลุกโชติช่วงหลอมร่างกายเขาอยู่ พลังจิตวิญญาณของหลินมู่อวี่ขณะนี้ไม่สามารถทนทานต่อพลังอันยิ่งใหญ่ของสี่ประทีปได้ ทว่าเขาหาสนใจไม่! หากไม่ใช้พลังนี้…กองทหารใต้บังคับบัญชาทั้งห้าสิบนายคงได้ตายอยู่ที่ป่าล่ามังกรเป็นแน่!
กำปั้นขวาโชกเลือดของหลินมู่อวี่พลันเกิดริ้วเทวะและจิตวิญญาณซึ่งเปลี่ยนเป็นดวงดาวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น! พลังงานก็หลั่งไหลออกมา แม้จะเป็นพลังที่ต้องเค้นออกมาอย่างยากลำบาก ทว่ามันช่างเป็นพลังที่น่าทึ่ง!
สี่ประทีปเทพมารโศกา!
‘เปรี้ยง!’
กำปั้นกระแทกเข้าที่กรามล่างของอสูรเกล็ดทองคำก่อนจะพุ่งทะลุสมอง ขณะเดียวกันกรงเล็บของอสูรร้ายก็ฟาดลงบนหน้าอกของหลินมู่อวี่เข้าเต็มแรง! ‘เปรี้ยง!’ เกราะอกแตกออกเป็นสองส่วนเผยให้เห็นร่างกายที่ชุ่มเลือดของอาอวี่ กระดูกที่ได้รับการหลอมไม่สามารถต้านทานการโจมตีไว้ได้ ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย…หลินมู่อวี่พลันถูกซัดกระเด็นออกไป
จากนั้นอสูรเกล็ดทองคำล้มลงอย่างแรงพร้อมส่งเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว ทว่า…มันได้รับบาดเจ็บสาหัสจากพลังสี่ประทีปเทพมารโศกาจนถึงแก่ความตายในภายหลัง…
“ช่วยท่านแม่ทัพเร็ว!”
เว่ยโฉวที่ได้รับบาดเจ็บตะโกนออกมาด้วยโทสะ องครักษ์รักษาพระองค์ทั้งเก้านายพลันพุ่งตัวไปล้อมรอบอสูรเกล็ดทองคำ พวกเขาแทงกระบี่ลงบนร่างอสูรร้ายก่อนที่เลือดสีแดงสดจะหลั่งออกมา ทันใดนั้นสัตว์ร้ายส่งเสียงโหยหวนอย่างน่าเวทนาพร้อมกับหายใจเฮือกสุดท้าย…
หลินมู่อวี่เงยหน้าขึ้นมองอสูรเกล็ดทองคำที่สิ้นชีพ เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ในที่สุดก็ไม่มีทหารนายไหนต้องตาย…
จากนั้นอาอวี่ก็คลำหาโอสถที่กระเป๋าคาดเอวก่อนจะพบว่าโอสถฟื้นฟูถูกทำลายไปหลายขวด ทว่ายังโชคดีที่เหลืออีกสองขวดซึ่งมันเพียงพอแล้ว อีกทั้งยังมีโอสถสมานกล้ามเนื้อและกระดูกซึ่งสามารถใช้ร่วมกันได้ เนื่องจากกระดูกหักเขาจึงจำเป็นที่จะต้องใช้มัน มิเช่นนั้นคงใช้เวลายาวนานกว่าจะฟื้นตัวเต็มที่
อนึ่งหิมะปกคลุมไปทั้งเทือกเขาและแช่แข็งทุกอย่าง อาอวี่คงใช้เวลาสักระยะในการรักษาอาการบาดเจ็บ หากไม่มีโอสถสมานกล้ามเนื้อและกระดูก…บาดแผลเหล่านี้คงติดเชื้อจนอักเสบเป็นแน่
เว่ยโฉวยื่นศิลาวิญญาณของอสูรเกล็ดทองคำ เขาปราดมองไปยังบาดแผลของหลินมู่อวี่ก่อนกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “ท…ท่านเป็นถึงผู้บังคับบัญชา มิจำเป็นต้องจัดการอสูรอายุหกพันสองร้อยปีด้วยตัวคนเดียวนะขอรับ…อีกทั้งท่านเป็นบุคคลสำคัญขององค์หญิงอินและองค์หญิงซี ฉะนั้นมิควรเสี่ยงอันตรายเยี่ยงนี้เลย…”
หลินมู่อวี่มองไปยังเว่ยโฉวพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากข้าไม่ออกไปจัดการ คงมีทหารต้องตายที่ป่าล่ามังกรแห่งนี้เป็นแน่”
“แล้วมันเป็นอย่างไรหรือขอรับ…”
เว่ยโฉวกล่าวต่อ “นับจากที่เราเข้าร่วมองครักษ์รักษาพระองค์พร้อมกับตั้งปฏิญาณตนว่าจะภักดีต่อประเทศชาติ มันคุ้มค่าที่จะตามหาศิลาวิญญาณเพื่อการฝึกตนขององค์หญิงอินแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม ทว่า…ท่านหลินมู่อวี่มิจำเป็นต้องทุ่มเทจนบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้นะขอรับ…”
“เว่ยโฉว” หลินมู่อวี่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าคิดว่าสิ่งใดสำคัญมากกว่ากัน? ข้าที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือ…ชีวิตขององครักษ์รักษาพระองค์ทั้งหลาย?”
“ข…ข้า…”
“ข้าก็คือสิ่งมีชีวิตหนึ่งชีวิต…ข้าคงเลือกที่จะได้รับบาดเจ็บเสียมากกว่าปล่อยให้ใครบางคนอื่นต้องตาย” หลินมู่อวี่กล่าวก่อนจะถอนหายใจเฮือก
เว่ยโฉวยืนสงบเงียบจมอยู่กับความคิด เสื้อผ้าสีขาวของหลินมู่อวี่ถูกย้อมไปด้วยเลือด ทว่าเขาไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย ภายหลังจากได้รับการรักษาแล้ว…หลินมู่อวี่พลันเปลี่ยนชุดเกราะวิหารศักดิ์สิทธิ์ตัวใหม่และมันเปล่งประกายราวกับว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แน่นอนว่ามีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตนบาดเจ็บสาหัสมากแค่ไหน
เมื่อหลินมู่อวี่ยังเป็นเด็ก เขาตระหนักดีถึงฐานะของลูกผู้ชาย หากไม่อดทนต่อความเจ็บปวดด้วยตัวเอง แล้วใครกันเล่าที่เขาจะพึ่งพา?
ทหารหลายนายได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นพวกเขาจึงผลัดกันไปถลกหนังของอสูรเกล็ดทองคำ จากนั้นนำขนของมันมาสร้างเกราะหนังหรือเสื้อคลุมขนสัตว์ อีกทั้งเกล็ดยังสามารถนำมาบดเพื่อปรุงโอสถอีกด้วย ซึ่งกล่าวกันว่ามีสรรพคุณช่วยต้านทานความหนาว ทว่ายังไม่มีใครพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงนี้ แม้แต่หลินมู่อวี่เองก็ไม่ทราบเช่นเดียวกันขณะที่มือขวาของเขากำลังหลอมรวมแก่นโอสถ เมื่อเทียบกับฉู่เหยา…ความรู้เกี่ยวกับสรีระมนุษย์ของเขานั้นต่ำมาก
ขณะที่พันแผล…หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะนึกถึงท่านพี่ฉู่เหยา ทันใดนั้นความเจ็บปวดจากมือซ้ายก็แล่นแปลบขึ้นมา เขาเร่งโคจรปราณยุทธ์และใช้ทักษะหลอมกระดูกมังกรเพื่อเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟูกระดูกที่หัก แม้จะเจ็บปวดแสนสาหัสหลินมู่อวี่ก็ไม่เคยส่งเสียงร้องออกมา ทว่าบนหน้าผากอาอวี่กลับมีเหงื่อไหลเต็ม เว่ยโฉวที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำได้เพียงกำมือแน่น เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย…
อาหารมื้อค่ำครานี้อุดมสมบูรณ์ยิ่ง มันเป็นซุปที่ทำจากเนื้อหมาป่าศิลามลทินและหัวใจอสูรเกล็ดมังกรพร้อมด้วยผักนานาชนิด เหล่าทหารพึงพอใจกับอาหารมื้อนี้เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บในวันถัดไปได้อย่างรวดเร็ว
ค่ำคืนนั้นหลินมู่อวี่ต้องทรมานกับอาการเจ็บปวดจนกระทั่งเช้าตรู่ เขารู้สึกคันบริเวณแขนซ้ายที่หัก แม้กระนั้นภายใต้ฤทธิ์โอสถสมานกล้ามเนื้อและกระดูกส่งผลให้กระดูกที่หักเริ่มเชื่อมต่อกันอีกครั้ง อาอวี่ยังไม่สามารถขยับแขนซ้ายได้มากนักจึงดามไว้ด้วยด้ามหอกอย่างลวกๆ รูปร่างของมันตลกเสียจนเขาแทบจะหัวเราะ
โชคดีที่สายเลือดของเขาสามารถหลอมรวมเข้ากับสายเลือดมังกรได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้เขามีพละกำลังที่แข็งแกร่งขึ้นมาก และพลังต้านทานก็สูงขึ้นด้วย ดังนั้นคงใช้เวลาไม่เกินห้าวันในการฟื้นฟูกระดูกที่หัก
ดวงตะวันทอแสง สายลมหนาว และหิมะตกอย่างต่อเนื่อง
“เคลื่อนทัพได้!”
หลินมู่อวี่ขึ้นหลังม้าประจำตัว เนื่องจากมือซ้ายที่บาดเจ็บ เขาจึงใช้มือขวาบังคับบังเหียนด้วยมือเดียว อาอวี่เคลื่อนทัพนำหน้ากองทหารออกจากหุบเขา ขณะเดียวกันก็ใช้ฌานสัมผัสตรวจจับสิ่งต่างๆ ทั่วบริเวณ กองทหารของหลินมู่อวี่เดินผ่านดินแดนแห่งหมีหิมะอายุกว่าเจ็ดพันปีไปได้อย่างราบรื่น มีสัตว์วิญญาณอายุกว่าหมื่นปีมากมายในป่าล่ามังกรแห่งนี้ อาอวี่ไม่ต้องการปะทะกับพวกมัน มิเช่นนั้นกองทหารของเขาคงไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับออกไปได้
ณ เวลาบ่าย กองกำลังสอดแนมของหน่วยองครักษ์อินทรีพลันปรากฏตัวพร้อมรายงานว่า “ท่านแม่ทัพ…ข้าพบกองปฏิกูลขนาดใหญ่บริเวณด้านหน้านี้ อีกทั้งมันยังคงร้อนอยู่เลยขอรับ!”
“นั่นเป็นกองปฏิกูลของมนุษย์หรือ?” เว่ยโฉวเอ่ยถาม
หน่วยสอดแนมกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เป็นคำถามที่ดีขอรับท่านเว่ยโฉว ทว่า…ท่านเคยเห็นมนุษย์ปล่อยสิ่งปฏิกูลหนักยี่สิบกิโลกรัมในคราเดียวหรือไม่?”
เว่ยโฉวตกตะลึงก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไป! ไปสำรวจมัน!”