The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา – ตอนที่ 156 เผยทักษะ

EP.156 เผยทักษะ

ณ ตำหนักเจ๋อเทียน คนรับใช้กำลังกวาดหิมะด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหลังหิมะตกครั้งใหญ่สิ้นสุดลงเสียที

หลินมู่อวี่มีเหรียญตราหน่วยองครักษ์อินทรี ช่วยให้เข้าไปยังจวนหงส์ไฟได้อย่างราบรื่น เมื่อมาถึงก็พบฉินอินและถังเสี่ยวซีผู้เลอโฉมกำลังยืนรออยู่กลางดงหิมะ

หลินมู่อวี่ลงจากหลังม้า ถังเสี่ยวซีเข้ามาต้อนรับทันที นางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “มู่มู่ ไปป่าล่ามังกรมาเป็นอย่างไรบ้าง? ข้าได้ยินมาจากทหารคนหนึ่ง ว่าเจ้าต่อสู้กับอสูรเกล็ดทองคำอายุหกพันสองร้อยปีจนบาดเจ็บ”

“กระหม่อมหายดีแล้วขอรับ”

หลินมู่อวี่ตบหน้าอกตัวเองและยิ้มอย่างภาคภูมิ “อสูรร้ายทำอะไรข้ามิได้  อีกทั้งข้ายังได้ศิลาวิญญาณของมันกลับมาด้วย แต่ต้องรายงานให้ผู้บัญชาการรังอินทรีทราบเสียก่อนที่จะส่งต่อให้ตำหนักเจ๋อเทียนขอรับ”

หลินมู่อวี่พูดจบก็เดินฝ่าหิมะไปหาฉินอินแล้วถวายบังคม “ถวายบังคมขอรับ องค์หญิงฉินอิน!”

ฉินอินยิ้มและหัวเราะเผยให้เห็นลักยิ้มบนใบหน้า ก่อนพยุงหลินมู่อวี่ขึ้น “อาอวี่…เหตุใดเจ้ากับข้าถึงดูห่างเหินเพียงนี้?”

หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ “ข้าผิดเองขอรับ ตั้งแต่ได้เข้าหน่วยองครักษ์อินทรีก็ถูกเรียกตัวบ่อยครั้ง จึงไม่มีเวลามาพบท่าน ข้าพลาดเหตุการณ์สำคัญใดไปหรือไม่?”

“เจ้าพลาดไปเรื่องหนึ่ง”

ฉินอินพยักหน้ารับอย่างจริงจัง ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวซีกับข้าอยากจะเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงเนื้อย่างและผลไม้หวาน พวกข้าเตรียมการไว้ตั้งแต่รู้ข่าวว่าเจ้ากลับมาที่เมืองหลันเยี่ยนแล้ว”

“โอ้ ช่างเป็นข่าวดีเสียจริง คงมีแต่ของน่ากินสินะขอรับ?”

“แล้วเจ้าจะรู้เอง”

“เป็นพระคุณยิ่งขอรับ องค์หญิง”

หลินมู่อวี่เดินตามฉินอินและเสี่ยวซีไปยังจวนหงส์ไฟ เหล่านางในพากันมองหลินมู่อวี่ที่สวมเกราะเทวะ เนื่องจากพวกทหารองครักษ์ในตำหนักส่วนใหญ่มักจะอายุมากราวๆ สามสิบถึงห้าสิบปี ถึงจะแข็งแกร่งทว่าสภาพดูไม่ได้ ผิดกับหลินมู่อวี่ที่แข็งแรงห้าวหาญ คิ้วอันมนรับใบหน้าหล่อเหลาหาได้ยากในกององค์รักษ์อวี้หลิน ซึ่งในตำหนักแห่งนี้มีเพียงสามคนเท่านั้นคือ เฟิงจี้สิง ฉู๋หว๋ายเหมี่ยน และหลินมู่อวี่

เมื่อหลินมู่อวี่เห็นนางในส่งยิ้มให้ เขาก็เริ่มรู้สึกอึดอัดเหมือนลิงโดนจ้อง ถังเสี่ยวซีสังเกตเห็นอาการ จึงจับมือเขาเพื่อเดินตามฉินอินไป

ห้องโถงจวนหงส์ไฟมีกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ รอบห้องมีโต๊ะประดับสีทองและสีเงินอยู่รายล้อม พร้อมด้วยผลไม้นานาชนิดวางอยู่ด้านบน ใกล้ๆ มีคนรับใช้สองสามคนกำลังหมุนขากวางย่างที่ส่งกลิ่นหอมฉุย หลินมู่อวี่ที่ใช้ชีวิตอยู่กลางป่ามาเป็นเดือน ไม่ได้สัมผัสความหรูหราแบบนี้มานาน ส่งผลให้ท้องของเขาเริ่มร้อง

ฉินอินอมยิ้ม “เสี่ยวซีและอาอวี่ เชิญนั่งก่อนเถิด”

หลินหมู่อวี่นั่งลงพร้อมกับประสานมือ “ขอบพระทัยขอรับ องค์หญิงฉินอิน”

ฉินอินเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ที่นี่มีแค่เราสามคน จงเรียกข้าว่าเสี่ยวอิน”

“แต่…” หลินมู่อวี่มิบังอาจ

“แต่อะไร?” ฉินอินขัดขึ้น “เจ้าเรียกองค์หญิงซีว่าเสี่ยวซีได้ แต่เจ้าเรียกข้าว่าเสี่ยวอินไม่ได้งั้นรึ? อาอวี่…ไม่ใช่ว่าเราสนิทสนมกันหรือ? ถ้าจะให้พูดถึงนิสัยที่ข้าชื่นชอบล่ะก็ ข้ารู้สึกประทับใจครั้งที่ข้าต้องเข้าป่าล่ามังกรแล้วเจ้าดูแลข้าได้อย่างดีเยี่ยม…เจ้ารู้ตัวบ้างหรือไม่?”

หลินมู่อวี่พูดไม่ออกแต่พยายามนึกถึงครั้งที่อยู่ในป่าล่ามังกรกับฉินอิน เขารู้สึกผ่อนคลายกว่ามากเมื่อปฏิบัติต่อนางเหมือนเด็กสาวทั่วไป ทว่าตอนนี้เขากลับให้ความเคารพกับนางแทน ทั้งที่ปกติตนเป็นคนทะเล้นแท้ๆ หลินมู่อวี่ยิ้ม “เช่นนั้นหากไม่มีใครอยู่โดยรอบ ข้าจะเรียกท่านว่าเสี่ยวอินแล้วกัน ต่อไป…ท่านจะสั่งประหารข้าเพราะเรื่องนี้ไม่ได้นะ”

ฉินอินหัวเราะก่อนจะพับชายกระโปรงเข้า เผยให้เห็นขางามของหญิงสาวเบื้องหน้าหลินมู่อวี่ นางยิ้มจางๆ ก่อนจะกล่าว “ข้าเชื่อฟังเจ้าอยู่แล้ว อย่าเคืองข้าเลย”

หลินมู่อวี่เผลอยิ้ม ฉินอินก็เหมือนถังเสี่ยวซี แม้จะเติบใหญ่มาในตระกูลขุนนาง แต่ก็ยังไร้เดียงสา นางไม่ได้เกเรหรือใจร้ายเฉกเช่นเจ้าหญิงท่านอื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยิ่ง

“ข้ากินเจ้านี่ได้หรือไม่?” หลินมู่อวี่น้ำลายเยิ้มพร้อมมองไปที่ขากวางย่าง

ฉินอินยิ้ม “ทำไมจะไม่ได้เล่า…เนื้อชั้นเลิศแบบนี้หาได้ยากนักในป่าล่ามังกร เจ้ากินให้อิ่มหนำเถิด”

“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะขอรับ!”

หลินมู่อวี่ชักกระบี่ออกมาแล่เนื้อ หญิงสาวทั้งสองพลันตกใจ…ขณะนั้นถังเสี่ยวซีก็ได้หยิบมีดบนโต๊ะขึ้นมาหวังจะแล่เนื้อกวางเช่นเดียวกัน ทว่าเมื่อเห็นภาพตรงหน้าหล่อนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เจ้าโง่มู่มู่ ใช้มีดนี่สิ กระบี่เจ้ามีไว้เพื่อสังหารศัตรูมิใช่นำมาแล่อาหารเช่นนี้”

“อา…ต้องขออภัยด้วย”

หลินมู่อวี่รีบเก็บกระบี่อย่างขวยเขินแล้วเปลี่ยนมาใช้มีดหั่นเนื้อแทน เขาหยิบเนื้อหวานฉ่ำรสดีเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย สตูเนื้อในป่านั้นเทียบไม่ได้เลยกับขากวางย่างที่ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถันนี้ หลินมู่อวี่เหมือนคนอดอยาก สวาปามเนื้อย่างก้อนใหญ่สองก้อนในทีเดียว

“ไวน์ดอกจื่อหยินอุ่นๆ…” ถังเสี่ยวซีเทไวน์ให้

ยังไม่ทันได้ดื่ม…หลินมู่อวี่ได้กลิ่นหอมของดอกจื่อหยินลอยเตะจมูก ไม่แปลกใจที่ดอกสีม่วงนี้จะได้เป็นสัญลักษณ์ของจักรวรรดิฉินอันยิ่งใหญ่ เพราะไม่เพียงแต่ใช้ทำยาและอาหารเท่านั้น ยังนำมาหมักไวน์ได้อีกด้วย ดูเหมือนว่าชาวเมืองจะตะกละไม่น้อย แม้แต่ดอกประจำชาติยังนำมาทำของกินได้

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินมู่อวี่ก็อดยิ้มไม่ได้ “เสี่ยวหยิน ที่ตระกูลขุนนางของท่านใช้ดอกจื่อหยินสีม่วงมาเป็นสัญลักษณ์เพราะมันรสชาติดีใช่หรือไม่?”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

ตาสวยของฉินอินเบิกกว้าง นางหลุดยิ้มออกมาก่อนจะกล่าว “ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย…อาอวี่ เหตุที่ตระกูลขุนนางเราใช้ดอกไม้นี้เป็นสัญลักษณ์เพราะสามารถนำมากินและทำยาได้ มันปลูกได้ทุกฤดูกาลแม้จะเบ่งบานแค่ตอนฤดูหนาว ดังนั้นตระกูลฉินจึงยกให้ดอกนี้เป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูลที่หมายถึงความตั้งมั่นไม่ยอมแพ้ เราเป็นผู้ปกครองและคอยค้ำจุนแผ่นดินนี้ ความสุขของประชาชนคือหน้าที่ของเรา”

“เป็นเช่นนั้น…” หลินมู่อวี่ประสานมือโค้งคำนับ “ขอประทานอภัยที่ข้าหยาบคาย”

“อย่ากังวลไป…” ฉินอินกระตุกยิ้ม “เราเป็นดั่งสหาย ข้าไม่โทษเจ้า…อีกอย่างนี่เป็นการคุยเล่นตามประสา ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทอันใด”

“ขอบใจ…เสี่ยวหยิน” ไม่รู้ทำไม แต่หลินมู่อวี่รู้สึกเข้าใกล้ฉินอินได้อีกขั้น หากไม่นับความเป็นมิตร นางช่างดูสูงส่งนัก ทั้งสง่างามแถมยังเป็นหน้าเป็นตาของตระกูลฉินได้อย่างดีเยี่ยม

ขณะกำลังรับประทานอาหาร มีเสียงดังอึกทึกมาแต่ไกล

ฉินอินขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น?”

ทหารองครักษ์ถวายบังคม “องค์หญิง ดูเหมือนทางฝั่งตำหนักเฉิงอินจะเกิดปัญหาขอรับ”

ฉินอินประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้…ตำหนักเฉิงอินเป็นอนุสรณ์ที่อยู่ในความดูแลของท่านพ่อ ผู้ใดกล้าก่อความวุ่นวาย!?”

ฉินอินมองไปยังหลินมู่อี่และเสี่ยวซีหลังพูดจบ หลินหมู่อวี่พยักหน้าและลุกขึ้น “ทหารไปเตรียมม้ามา องค์หญิง…ข้าว่าเราต้องไปดูด้วยตาตนเองแล้ว”

“อืม!”

ฉินอินพยักหน้ารับ นางเป็นทายาท ย่อมมีหน้าที่ดูแลตำหนักเจ๋อเทียนตั้งแต่มันถูกตั้งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิ นางจะปล่อยให้เกิดปัญหาใดๆ ขึ้นไม่ได้

ฉินอินสวมผ้าคลุมเดินออกไปพร้อมกับหลินมู่อวี่ในชุดศึกเทวะสีขาว และตามหลังด้วยถังเสี่ยวซีในชุดคลุมยาวสีแดง ทั้งสามควบม้าฝ่าลมหนาวออกไปอย่างเร็วรี่ โดยมีองครักษ์มังกรสิบแปดคน และทหารองครักษ์อวี้หลินอีกกว่าสามร้อยนายตามหลัง แสดงให้เห็นว่าจวนหงส์ไฟนั้นมีกองกำลังที่แข็งแกร่งเพียงใด

ด้านนอกตำหนักเฉิงอิน มีผู้คนเนืองแน่น ทั้งทหารองครักษ์ราวหนึ่งร้อยนาย และทหารที่สวมชุดเกราะเสินเว่ยอีกกว่าพันนาย

“เกิดอันใดขึ้น?” ฉินอินเร่งถามเมื่อมาถึง

เหล่านางในต่างตกใจ “องค์หญิงฉินอินเสด็จแล้ว!”

ทุกคนล้วนก้มคำนับ เสียงจอแจเงียบลงชั่วคราว

ฉินอินแหวกฝูงชนเข้าไปโดยมีหลินมู่อวี่ ถังเสี่ยวซีและบรรดาทหารอยู่ข้างๆ แต่กว่าทุกคนจะไปถึงการต่อสู้ก็ได้เริ่มไปแล้ว มีทหารหลายนายบาดเจ็บ ลานกว้างเต็มไปด้วยกองเลือด ชัดเจนว่านี่เป็นการห้ำหั่นกันขององครักษ์อวี้หลินและองครักษ์เสินเว่ย

ใจกลางของกลุ่มชุลมุนนั้น พบหนึ่งในองครักษ์อวี้หลินกำลังกวัดแกว่งดาบที่เปื้อนเลือด เท่าที่ดูอายุคงราวๆ ห้าสิบปีได้ หน้าตาดูซีดเผือดเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ ดาบในมือหักครึ่ง เขาหันมาถวายบังคมแก่องค์หญิงฉินอิน “องค์หญิง ข…ข้า…”

ฉินอินเลิกคิ้วขึ้น “มีเรื่องอะไรกัน? ท่านซ่งฮั่นหยวน”

หลินมู่อวี่มองไปยังซ่งฮั่นหยวน สังเกตเห็นเหรียญผู้บัญชาการ เขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกององครักษ์อวี้หลิน น่าจะตำแหน่งสูงกว่าฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนด้วยซ้ำ ถังเสี่ยวซีที่ยืนอยู่ข้างๆ กระซิบ “มู่มู่ ท่านซ่งฮั่นหยวนเป็นทหารมีฝีมือของพี่ใหญ่ฉินเหลย ถือได้ว่าเป็นอันดับสองในกององครักษ์อวี้หลิน…”

“ข้าเข้าใจแล้ว…” หลินมู่อวี่พยักหน้า

ซ่งฮั่นหยวนถอนหายใจหนักก่อนจะเงยหน้ามองฉินอินและกล่าว “องค์หญิงขอรับ ข้าน้อยถูกกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรม ได้โปรดองค์หญิงทรงช่วยตัดสินด้วย”

“เจ้าถูกกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรมหรือ?”

ไม่ทันที่ฉินอินจะได้กล่าวสิ่งใดต่อ จู่ๆ ก็มีเสียงดังแทรกขึ้น เสียงหนักแน่นที่ใครได้ฟังต่างก็ต้องจำนน เสียงนี้เป็นเสียงที่คุ้นเคยยิ่งนัก…หลินมู่อวี่หันไปมองต้นเสียง ก่อนจะพบว่าชายแก่สวมเสื้อคลุมสีดำบนบ่าเป็นคนพูดขึ้น เจิงอี้ฝาน!

“เป็นท่านเองรึ ท่านเจิ้งอี้ฝาน!” ฉินอินยิ้ม “คนอย่างท่านเวลาว่างเยอะเสียจริง แล้วเพราะเหตุใดท่านจึงไม่แจ้งแก่เราก่อนที่จะนำกองทหารเข้ามาในตำหนักแห่งนี้?”

เจิ้งอี้ฝานทำหน้าหยิ่งผยอง “จับโจร อย่าห่วงกฎ เป็นราชดำรัสที่จักรพรรดิองค์ก่อนตรัสไว้ และเสนาบดีแก่อย่างข้า จะทำตามพระดำรัสนี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่!”

เจิ้งอี้ฝานไม่พูดเปล่า เขาหยิบคัมภีร์ม้วนหนึ่งออกมา “ผู้บัญชาการระดับสูงของกององครักษ์อวี้หลิน ขุนนางระดับสอง ซ่งฮั่นหยวน มีที่ดินครอบครองไว้หนึ่งพันหน่วยทางตะวันตกของเมือง กฎของกองทัพ…ผู้บัญชาการระดับกองพันสามารถมีที่ดินในครอบครองสูงสุดเพียงสิบหน่วย ซึ่งซ่งฮั่นหยวนได้ฝ่าฝืนกฎอย่างชัดเจนและยังไม่นับเรื่องฝ่าฝืนอีกนับร้อย!”

ซ่งฮั่นหยวนหน้าซีดเผือดรีบแก้ตัว “ที่ดินผืนนั้นถูกซื้อมาด้วยเงินของเหล่าทหารเก่า พวกข้าตกลงกันว่าจะกลับไปใช้ชีวิตกันที่นั่นหลังเกษียณ เพียงแต่ใช้ชื่อซ่งเป็นตัวแทนซื้อเท่านั้น องค์หญิงโปรดพิจารณาเห็นชอบด้วยเถิดพะยะค่ะ”

“หลักฐานคามือขนาดนี้ เจ้ายังกล้าปฏิเสธอีกรึ?”

เจิ้งอี้ฝานตะโกนเสียงดังลั่น แค่พริบตา เขาใช้มือซ้ายพุ่งไปหาซ่งฮั่นหยวน

“ตายซะ!”

ศีรษะของซ่งฮั่นหยวนผู้น่าสงสารถูกกระชากออกโดยเจิ้งอี้ฝาน เลือดสดๆ พุ่งกระฉูดกลางอากาศกระเซ็นไปทั่วทุกสารทิศ…

 

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา หลินมู่อวี่ บุตรชายมหาเศรษฐีพันล้านที่ชีวิตสมบูรณ์แบบสุดๆ คนทั้งโลกต่างพากันอิจฉา เขามีโลกอีกใบคือการเป็นเซียนเกมที่ไต่ไปถึงระดับเทพยุทธ์ แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่าง และหันหลังให้โลกที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะพ่อต้องการให้เขาไปช่วยสืบทอดกิจการ ในวันที่เขาตัดสินใจหันหลังให้โลกใบนี้ หลินมู่อวี่ตัดสินใจลบแอคเคาน์ เพื่อจะได้ไม่ต้องโหยหาโลกใบนี้อีกต่อไป ในระหว่างที่เขาลบแอคเคาน์และรีเซ็ทระบบเพื่อออฟไลน์นั้น จู่ๆ รอบตัวก็เต็มไปด้วยความมืดมิด เขาถูกฉุดกระชากลงไปสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย มีเพียงเสียงชายชราผู้หนึ่ง ที่บอกว่าเส้นทางของเขายังไม่จบง่ายๆ หลินมู่อวี่ต้องเอาตัวรอดในโลกใหม่พร้อมปริศนาว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้เขาติดอยู่ในเกมและไม่สามารถออฟไลน์ออกไปได้ การผจญภัยในโลกแฟนตาซีสุดล้ำของหลินมู่อวี่จึงต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง…

Options

not work with dark mode
Reset