หลัวอวี่เดินถืออัญมณีสีแดงสดเข้ากองบัญชาการมาอย่างช้าๆ เขามองไปยังฝูงชนก่อนกล่าวว่า “หลินหยาน นำซากสัตว์ออกมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”
หลินมู่อวี่แหวกตัวจากฝูงชนทันทีพร้อมนำซากสัตว์วิญญาณทั้งสองวางลงบนพื้นและกล่าวว่า “นี่ขอรับ…ราชทูตหลัวอวี่”
“เจ้าเป็นผู้ลงมือสังหารพวกมันเหรอ?” หลัวอวี่เอ่ยถามเสียงแผ่วเบา
“ขอรับ”
“ดีมาก” หลัวอวี่หยิบอัญมณีขึ้นมาช้าๆ “รวบรวมพลังปราณไว้ที่อัญมณีนี้ ข้าต้องการเห็นพลังของเจ้า”
หลินมู่อวี่ไม่ได้ตอบอะไรขณะที่เดินไปด้านหน้าและวางฝ่ามือลงบนอัญมณี เขาส่งเสียงทุ้มต่ำออกมาพร้อมปลดปล่อยปราณยุทธ์ราวสิบเปอร์เซ็นต์ใส่อัญมณี หลินมู่อวี่ไม่สามารถรวบรวมได้มากกว่านี้เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย พลังที่พบได้ทั่วไปคือปราณยุทธ์ ทว่าร่างกายของหลินมู่อวี่ได้รับการหลอมกระดูกมังกรซึ่งเปลี่ยนปราณยุทธ์ให้กลายเป็นเพลิงมังกร กระนั้นเมื่อมองจากภายนอกก็ไม่แตกต่างกับปราณยุทธ์ทั่วไป
‘วิ้ง วิ้ง วิ้ง…’
อัญมณีสีแดงเริ่มกะพริบพร้อมปรากฏแสงขึ้นเป็นเส้นยาวสี่เส้นและเส้นสั้นสามเส้น หลินมู่อวี่ใช้ทักษะควบคุมพลังเพื่อปรับสมดุล
“หืม?”
หลัวอวี่เลิกคิ้วประหลาดใจขณะที่กล่าวว่า “เจ้าเป็นปราชญ์สงครามระดับสี่สิบสาม ไม่ธรรมดาเลย…เอาล่ะหลินหยาน เจ้าปรารถนาจะเป็นสมาชิกที่แท้จริงของสำนักอัศวินหรือไม่?”
หลินมู่อวี่เป็นคนฉลาด จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วข้าจะได้สิ่งใดบ้าง?”
หลัวอวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ตราบใดที่เจ้าเป็นคนของสำนักอัศวิน ก็จะได้รับความมั่งคั่งและการสรรเสริญ อีกทั้งมีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นถึงขุนนางใหญ่โต ข้าผู้มีฐานะเป็นราชทูตจะแต่งตั้งเจ้าเป็นทหารเหรียญเงิน และหวังว่าเจ้าจะทำงานอย่างดีที่สุดเพื่อความรุ่งโรจน์ของสำนักอัศวิน เอาล่ะตามมา…ข้าจะพาไปพบท่านราชทูตใหญ่!”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่เดินเข้าไปในกองบัญชาการซึ่งมีเปลวไฟพลิ้วไหวบางๆ ตามผนัง ราชทูตใหญ่จีหยางและราชทูตหลี่เฉียนซุนนั่งอยู่ด้านในพร้อมนางบำเรอหลายนางเต้นรำอยู่บนเวที แม้จะเป็นช่วงฤดูหนาวทว่าพวกนางใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นและมีเพียงผ้าสีขาวปกปิดพื้นที่สงวนไว้เท่านั้น เผยให้เห็นร่างกายอ้อนแอ้นที่งดงามเกินพรรณนา
ถึงกระนั้นหลินมู่อวี่ไม่มีเวลามาชื่นชมสาวงามตรงหน้า เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อนึกถึงอากาศหนาวเย็นที่แม้แต่ตัวเขาเองก็หยุดสั่นไม่ได้ อาอวี่พลันรู้สึกว่ามันโหดร้ายที่บังคับเหล่าเด็กสาวมาทำเช่นนี้
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบราชทูตใหญ่นั่งอยู่ตรงกลาง มีอักขระขนาดใหญ่ ‘ชอบธรรม’ อยู่เหนือศีรษะเขา
“หลินหยาน”
ริมฝีปากจีหยางยกขึ้น ก่อนจะเอ่ยถามเสียงคม “เจ้ามาจากที่ใด!?”
หัวใจหลินมู่อวี่หล่นวูบแต่ไม่ได้แสดงอาการออกมา ก่อนจะกล่าวว่า “ท่านราชทูตใหญ่ ข้าเป็นทหารรับจ้างของกลุ่มทหารรับจ้างนกกระจอกคราม ทว่าถูกรองหัวหน้าตั้งข้อสงสัยก่อนจะถูกไล่ออกมา พื้นเพของข้ามาจากครอบครัวพรานล่าสัตว์ซึ่งอาศัยอยู่เขตชานเมืองหลันเยี่ยน ข้าทำสิ่งใดผิดจนทำให้ราชทูตใหญ่สงสัยในตัวข้าหรือขอรับ? หากเป็นเช่นนั้นหลินหยานจะไปจากที่นี่และไม่กลับมาสำนักอัศวินอีกขอรับ”
น้ำเสียงหลินมู่อวี่ราบเรียบปราศจากความเกรงกลัว
จีหยางพลันลุกขึ้นหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่ ข้าชอบความกล้าหาญของเจ้าเสียจริง! ในเมื่อเจ้าต้องการเข้าร่วมสำนักอัศวินและกลายเป็นพี่น้อง เยี่ยงนั้นเจ้าต้องสาบานว่าจะไม่ทำร้ายคนของสำนักอัศวิน ทำได้หรือไม่?”
“ได้ขอรับ”
หลินมู่อวี่แอบขำในใจ เนื่องจากเขาใช้ชื่อหลินหยานซึ่งเป็นของพี่ชายที่อยู่อีกโลก ดังนั้นมันจึงไม่ได้สลักสำคัญหากจะผิดคำสาบาน เพราะเขาไม่ใช่หลินหยานตัวจริง
“เอาล่ะ กล่าวคำสาบานตามข้า”
จีหยางยืนขึ้นและหลับตาลงด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “มนุษย์ผู้เมตตาธรรม สรรพชีวิตเท่าเทียม พันธมิตรภูผาขาว ผูกมัดด้วยความเป็นความตาย ภายใต้สรวงสวรรค์แห่งนี้ สัญญาเลือดบังเกิดบนพื้นปฐพี ผู้ฝ่าฝืนจักต้องม้วยมรณา!”
แม้หลินมู่อวี่จะไม่เข้าใจทว่าก็กล่าวตาม “มนุษย์ผู้เมตตาธรรม สรรพชีวิตเท่าเทียม พันธมิตรภูผาขาว ผูกมัดด้วยความเป็นความตาย ภายใต้สรวงสวรรค์แห่งนี้ สัญญาเลือดบังเกิดบนพื้นปฐพี ผู้ฝ่าฝืนจักต้องม้วยมรณา!”
หลัวอวี่ผู้ยืนอยู่ด้านข้างพลันปรบมือพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ตอนนี้ท่านหลินหยานก็เป็นทหารเหรียญเงินของสำนักอัศวินแล้ว เมื่อใดที่สามารถบรรลุภารกิจสังหารได้ก็จะเลื่อนระดับเป็นทหารเหรียญทอง”
“ภารกิจสังหาร?” หลินมู่อวี่ตกตะลึง
จีหยางพยักหน้า “ถูกต้อง การจะเลื่อนเป็นทหารเหรียญทองเจ้าต้องสังหารผู้นำศัตรู มิเช่นนั้นจะไม่สามารถพิสูจน์ความจริงใจของเจ้าได้ ราชทูตหลัวอวี่ลองพิจารณาดูสิ…ภารกิจใดเหมาะสมกับหลินหยานบ้าง?”
หลัวอวี่ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ภูเขาทางเหนือมีค่ายของเราที่ถูกทหารรับจ้างยึดไป พวกมันต่อต้านเรามาเป็นเวลานานและปล้นสะดมชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบ จนทำให้เกิดการประท้วง ข้าคิดว่า…อาจถึงเวลาต้องจัดการทหารรับจ้างเหล่านี้แล้วหรืออย่างไร?”
จีหยางขมวดคิ้ว “ภูเขาทางเหนือ…นั่นใช่เขตแดนของกลุ่มทหารรับจ้างเทียนจิงหรือไม่? การส่งหลินหยานไปทำภารกิจสังหารที่นั่นมันดูเหมือนว่า…ไม่สมควรเท่าไหร่ เท่าที่ข้าทราบมา ผู้นำทหารรับจ้างเทียนจิงอยู่ขอบเขตปฐพีระดับที่สาม มันคงเป็นการง่ายที่จะขึ้นเขาไป ทว่าคงยากที่จะมีชีวิตรอดกลับลงมา”
หลัวอวี่เผยรอยยิ้มบางๆ “มิจำเป็นต้องขึ้นไปบนภูเขาหรอก ตามสายข่าวที่ข้าได้รับมา บ่ายวันพรุ่งนี้ทหารรับจ้างเทียนจิงจะลงเขาเพื่อ ‘ลาดตระเวน’ พวกมันวางแผนปล้นหมู่บ้านทะเลคราม และผู้นำลำดับที่สามนามว่าเนียหยาจะลงมาคุมด้วยตัวเอง อีกทั้งราชทูตหลี่เฉียนซุนและข้าจะไปกับหลินหยาน เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น”
จีหยางเผยยิ้ม “เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลินหยาน…เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
หลินมู่อวี่แอบกำหมัดและสาปแช่งจีหยางในใจ ศัตรูอยู่ขอบเขตปฐพีระดับสามซึ่งแข็งแกร่งกว่าเขา เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นการจงใจส่งหลินมู่อวี่ไปตาย สำนักอัศวินช่างเป็นสถานที่ที่โหดเหี้ยมจริงๆ การเลื่อนขั้นไปสู่ทหารเหรียญทองเขาอาจต้องแลกด้วยชีวิต
ถึงกระนั้นหลินมู่อวี่จำเป็นต้องทำตามราชโองการของฉินจิ้นให้เสร็จสิ้น จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากสวมบทบาทนี้ต่อไป
“ขอรับ ทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่ท่านวางไว้” เขาประสานมือพร้อมตอบกลับไป
หลี่เฉียนซุนระเบิดหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆ ดีมาก เจ้าไปพักผ่อนเถิด เราจะออกเดินทางเวลาเที่ยงคืนเพื่อให้ถึงหมู่บ้านทะเลครามก่อนเวลา จากนั้นก็รอจู่โจมพวกมันได้เลย!”
“ขอรับ”
ในช่วงบ่าย หลินมู่อวี่ได้รับห้องใหม่จากการเลื่อนระดับเป็นทหารเหรียญเงิน เป็นห้องผนังสีขาวและกระเบื้องสีดำซึ่งค่อนข้างเงียบสงบ จากนั้นเขาปิดประตูก่อนจะโคจรกระดูกมังกรไปเจ็ดสิบสองรอบจนร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและปราณยุทธ์ไหลเวียนผ่านเส้นเลือดทั่วร่างกาย
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะมีเสียงเด็กสาวแทรกเข้ามา “ท่านหลินหยาน ข้ามาเพื่อรับใช้ท่าน โปรดเปิดประตูด้วยเจ้าค่ะ”
หลินมู่อวี่ตกตะลึงก่อนจะนึกถึงคำพูดของหลงหยาน ทหารเหรียญเงินมีโอกาสได้นางบำเรอทุกสามวัน…ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะรับโอกาสนั้น
“ไม่จำเป็น ข้าไม่ต้องการในตอนนี้” หลินมู่อวี่เอ่ยปฏิเสธ ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากความจริงที่ว่าหญิงสาวในสำนักอัศวินคงผ่านผู้ชายมานับไม่ถ้วน และอีกเหตุผลคือเขาไม่ต้องการ…
ไม่มีใครคาดคิดว่าเธอจะไม่ยอมแพ้ ทันใดนั้นเธอก็เปิดประตูเข้ามายืนด้วยท่าทางยั่วเสน่ห์ “ท่านหลินหยานกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร? บุรุษที่ไหนจะไม่ต้องการสาวงามเจ้าคะ?”
หญิงสาวผู้นี้สวมกระโปรงสีเหลืองอ่อน และมีรูปร่างที่น่าตกตะลึง…เธอเป็น ‘สาวงาม’ ทว่ามีน้ำหนักตัวกว่าร้อยกิโลกรัมและมีใบหน้าอัปลักษณ์ หลินมู่อวี่นับคางได้ถึงสี่ชั้น ร่างกายของหล่อนกระเพื่อมตามจังหวะการเดิน นี่เป็นขนาดตัวที่ไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป
“แม่ง…”
หลินมู่อวี่สาปแช่งอยู่ในใจ หนอย…จิ้งจอกเจ้าเล่ห์จีหยาง ส่งหญิงอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้มาให้ข้าเลยรึ? แม้จะสงสัยในตัวข้า ทว่าก็ไม่ควรวางกับดักด้วยน้ำผึ้งเน่าเยี่ยงนี้…แกไม่มีทางทำสำเร็จหรอก!
เขาสาปแช่งเป็นล้านครั้งจากก้นบึ้งของหัวใจ หลินมู่อวี่ไม่สามารถละสายตาจากใบหน้านั้นได้ขณะที่กล่าวว่า “เจ้ารีบออกไปซะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ปรานี”
‘ชิ้ง!’
กระบี่เหลียวหยวนถูกชักออกจากฝักครึ่งหนึ่งพร้อมเปลวเพลิงลุกโชนทั่วใบดาบปลดปล่อยไอสังหารอย่างรุนแรง
“ฮึ่ม!”
เธอส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ “ดูเจ้าสิ จากภายนอกข้าก็คิดว่าจะเป็นคนเจ้าคารม ที่ไหนได้…เจ้ามันก็แค่ไอ้คนงี่เง่า ในเมื่อไม่ต้องการก็ช่างแม่ง!”
เธอปิดประตูอย่างแรงด้วยความโกรธเกรี้ยว จากนั้นหลินมู่อวี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก นี่คงถือได้ว่าเขาพึ่งรอดพ้นจากนรก
เมื่อถึงยามอัสดงก็มีคนเคาะประตู เป็นราชทูตหลัวอวี่ที่มาเรียก “ท่านหลินหยานหลับอยู่หรือไม่? ข้าหลัวอวี่เอง”
“ข้าตื่นอยู่ เชิญเข้ามาขอรับท่านราชทูต!”
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นนั่งบนเตียง เมื่อหลัวอวี่เปิดประตูเข้ามาพร้อมทั้งลมหนาวพัดผ่านจนทำให้เปลวไฟในโคมสั่นไหว จากนั้นหลินมู่อวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านราชทูตมีธุระอะไรกับข้าหรือขอรับ?”
หลัวอวี่เผยยิ้มก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง “ข้ามีบางสิ่งจะมอบให้เจ้า”
“สิ่งใดหรือขอรับ?”
หลัวอวี่หยิบห่อผ้าสีดำขึ้นมาเปิดอย่างช้าๆ มันเป็นหน้าไม้เหล็กมันวาวน่าหลงใหล เขายิ้มและกล่าวว่า “นี่เป็นอาวุธจากดินแดนตะวันตกเรียกว่าหน้าไม้เหล็กทมิฬซึ่งทรงพลังมาก และข้าเตรียมลูกศรอาบยาพิษไว้ให้แล้ว พรุ่งนี้เจ้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง อาวุธชิ้นนี้อาจช่วยเจ้าได้”
“โอ้?”
หลินมู่อวี่รู้สึกซาบซึ้งก่อนจะรับหน้าไม้มาพร้อมกล่าวว่า “ขอบพระคุณมากขอรับท่านราชทูตหลัวอวี่ นี่เป็น…ของจากราชทูตใหญ่หรือขอรับ?”
หลัวอวี่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นก่อนจะส่ายหัวปฏิเสธ “เปล่า นี่มาจากข้าเอง ท่านหลินหยานเป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกลและมิควรเสี่ยงอันตรายเยี่ยงนี้ หลัวอวี่ไม่ต้องการเห็นท่านหลินหยานตายด้วยน้ำมือเนียหยา”
หลินมู่อวี่พลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจ แม้สำนักอัศวินจะมีบรรยากาศที่ไม่ดี ทว่า…ก็มีคนซื่อตรงอย่างหลัวอวี่ ซึ่งทำให้อาอวี่มีความหวังขึ้นเล็กน้อย
………………………………….