The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา – ตอนที่ 204 เงินนั้นสำคัญไฉน

ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปราย กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าเพลิงคว้าอาวุธและควบม้าออกจากเมืองฉิงอี้ ซึ่งหมายความว่าการเจรจาของหลินมู่อวี่เป็นผลสำเร็จ เขาเอาชนะเฟิงสี่ที่มีกองกำลังเกือบสองร้อยคนได้โดยไม่เสียเลือดสักหยด แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทว่าชัยชนะอันเล็กน้อยนี้ก็ทำให้เขาภูมิใจไม่น้อย

หลินมู่อวี่สวมผ้าคลุมกันฝนและควบม้าไปพร้อมกับเฟิงสี่ด้วย ด้านหลังมีทหารรับจ้างหมาป่าเพลิงทั้งหมดกำลังขนสัมภาระต่างๆ ตามไป ทหารรับจ้างกลุ่มนี้ช่างยากไร้นัก แม่กระทั่งโต๊ะและเก้าอี้ยังต้องเอาติดตัวไปด้วย หลินมู่อวี่ไม่ได้ต่อว่าอันใด ถือเสียว่าเป็นการเก็บกวาดพื้นที่ให้เรียบร้อยก่อนออก

“ข้าได้ยินมาว่าท่านหัวหน้าเกิดมาในครอบครัวธรรมดาใช่หรือไม่ขอรับ?” เฟิงสี่ดึงผ้าคลุมมาสวมปิดหน้าไว้ หัวหน้ากลุ่มหมาป่าเพลิงนั้นเกรงกลัวหลินมู่อวี่ จึงพูดอย่างระมัดระวัง

“อืม”

หลินมู่อวี่พยักหน้ายิ้ม “ถึงอย่างนั้นท่านเฟิงสี่ก็มั่นใจได้เลยว่าข้าไม่เหมือนคนในเมืองหลวงแน่นอน สำหรับข้าแล้วจะจนหรือรวยก็คือคนเหมือนกัน”

เฟิงสี่ตกตะลึงในคำพูดของหลินมู่อวี่ “ข้าเคยได้ยินมาว่าท่านช่วยชีวิตองค์จักรพรรดิและองค์หญิงฉินอินที่ตำหนักกวางโศกา ก่อนจะได้รับการอุปการะ ด้วยตำแหน่งชื่อเสียงที่มีอยู่ตอนนี้ เหตุใดท่านจึงอยากเป็นทหารรับจ้างเล่า?”

“ตำแหน่งที่มีมันไม่ยั่งยืน จะถูกริบคืนเมื่อไรก็ได้” หลินมู่อวี่กล่าวพร้อมสะบัดน้ำฝนออก

เฟิงสี่ยิ้ม “กลุ่มมังกรผงาดของเราเป็นกลุ่มที่มีเกียรติและยุติธรรมใช่หรือไม่ขอรับ?”

หลินมู่อวี่มองหน้าเฟิงสี่ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าต้องถามตัวเอง…เฟิงสี่ หากเจ้ามีคุณธรรมในใจกลุ่มมังกรผงาดก็จะเป็นกลุ่มที่ชอบธรรม และหากสมาชิกทุกคนมีสิ่งนั้นเช่นเดียวกัน รับรองว่ากลุ่มของเราจะไม่เหมือนทหารรับจ้างขยะที่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์เป็นแน่”

“ขอรับ”

เฟิงสี่พยักหน้าแววตาเปี่ยมด้วยความหวัง “ข้าเข้าใจแล้วนายท่าน”

“ต่อเมื่อไปถึงภูเขาผามังกรแล้ว เจ้าต้องช่วยข้าคัดสมาชิกใจทรามที่เห็นการฆ่าคนเป็นเรื่องสนุกออก เราจะให้เงินพวกนั้นจำนวนหนึ่งแล้วค่อยไล่ไป กลุ่มมังกรผงาดเราไม่ต้อนรับคนชั่ว”

“รับทราบแล้วขอรับ!”

หลินมู่อวี่กลับมาถึงภูเขาผามังกรในช่วงบ่าย หลัวอวี่ที่ทราบข่าวเรื่องหลินมู่อวี่จึงลงไปต้อนรับที่ตีนเขา

เฟิงสี่นำขบวนขึ้นเขาด้วยท่าทีจริงจัง เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นลั่วเจี้ยนก็หัวเราะและเอ่ยขึ้น “ได้สวมชุดของมังกรผงาดแล้วเช่นนี้ แสดงว่าชีวิตคงสุขสบายไม่น้อยสิท่ารองหัวหน้าลั่วเจี้ยน?”

ลั่วเจี้ยนหน้าซีด “หัวหน้า…ข้า…ข้าไม่มีทางเลือก…”

“อย่างนั้นรึ?”

เฟิงสี่ควบม้าต่อไปและไม่สนใจลั่วเจี้ยนอีก

หลินมู่อวี่และหลัวอวี่มองหน้ากัน ดูเหมือนว่าการรวมกลุ่มมังกรผงาดกับหมาป่าเพลิงเข้าด้วยกันจะเป็นปัญหาใหญ่เสียแล้ว หากไม่จัดการให้ดีหมาป่าเพลิงอาจก่อจลาจลได้ในภายหลัง

อาหารถูกจัดสำรับให้ในยามบ่ายเหมือนเช่นเคย เป็นสำรับง่ายๆ ไม่ต่างจากของทหารทั่วไป ทว่ามันกลับพิเศษสำหรับหลินมู่อวี่ ในแต่ละมื้อจะประกอบไปด้วยพายสองสามชิ้นและซุปเนื้อซึ่งทุกคนจะได้ทานเนื้อทุกสามวัน หลินมู่อวี่ถือชามซุปนั่งทานข้างหลัวอวี่ที่กำลังเพลิดเพลินกับพายรสดี

เฟิงสี่ถือชามซุปมานั่งข้างหลินมู่อวี่ด้วย พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี “ท่าน…นี่เราต้องทานแบบนี้กันทุกมื้อเลยหรือขอรับ? กลุ่มมังกรผงาดกำลังขัดสนหรือ? เหตุใดอาหารจึงร่อยหรอเช่นนี้?”

หลินมู่อวี่ยิ้มตอบ “เฟิงสี่ นี่เป็นอาหารทั่วไปที่องครักษ์อวี้หลินแห่งเมืองหลันเยี่ยนทาน กลุ่มมังกรผงาดเองก็ทานเช่นเดียวกัน กลุ่มของเราไม่ใช่โจรที่จะได้ปล้นฆ่าเพื่อสิ่งที่ต้องการ คิดเสียว่ายอมอดในวันนี้แล้วจะได้สบายในวันหน้า ยิ่งเจอความทรหดมากเท่าไร เราก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น””

“ขอรับ”

เฟิงสี่มองหลินมู่อวี่อย่างนับถือ หลังจากซดซุปเนื้อจนหมดจึงเอ่ยขึ้น “พอได้ฟังท่านพูดเช่นนี้แล้ว ซุปนี่ก็รสชาติไม่เลวเลยขอรับ”

หลินมู่อวี่กับหลัวอวี่หัวเราะลั่น

เฟิงสี่เอ่ยถามทั้งที่ปากยังเคี้ยวอยู่ “วรยุทธ์ท่านอยู่ระดับเท่าไรหรือท่านหลัวอวี่?”

“ขอบเขตนภาระดับหกสิบ” หลัวอวี่วางพายในมือก่อนจะตอบ

“ขอบเขตนภา…”

เฟิงสี่กล่าวด้วยสีหน้าหดหู่ “ท่านหลัวอวี่ผู้เป็นหนึ่งในรองผู้บัญชาการทั้งยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตนภา ส่วนข้า…เฟิงสี่ผู้ต่ำต้อย ฝีมือยังไม่บรรลุขอบเขตปฐพีด้วยซ้ำ เห้อ…ข้าไม่คู่ควรกับตำแหน่งรองผู้บัญชาการจริงๆ”

หลัวอวี่ยิ้มและตบบ่าเฟิงสี่ “เฟิงสี่สหายข้าอย่าได้โศกเศร้าไป คนเราไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นได้ในวันสองวัน การที่เจ้าได้เป็นรองผู้บัญชาการก็เพราะความน่ายกย่องของเจ้า หากไม่มีเจ้าสักคน…ทหารรับจ้างหมาป่าเพลิงกว่าสองพันคนจะยอมเชื่อฟังและทำตามคำสั่งเราเช่นนี้หรือ?”

หลินมู่อวี่กล่าวเสริม “หลัวอวี่พูดถูก เราจำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าเพื่อสร้างความสามัคคีในวันข้างหน้านะเฟิงสี่!”

เฟิงสี่วางชามซุปลงก่อนจะประสานกำปั้นคำนับด้วยแววตาเป็นประกาย “ข้าน้อยจะทำตามอย่างไม่กังขาเลยขอรับ!”

“เราค่อยมาคุยกันต่อหลังจากที่เจ้าคัดเลือกคนแล้วเสร็จบ่ายนี้เถิด”

“ขอรับ!”

เมื่อเสร็จสิ้นอาหารกลางวัน เฟิงสี่ได้ทำการคัดสมาชิกหนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบสองคนไว้ ที่เหลือกว่าพันเก้าร้อยคนจะถูกคัดออกเนื่องจากเป็นพวกมือเปื้อนเลือดเคยฆ่าคนบริสุทธิ์มาก่อน โดยจะได้รับเงินคนละยี่สิบเหรียญทองและถูกขับไล่ออกจากค่ายไป หลินมู่อวี่ไม่ต้องการให้คนพวกนี้อยู่ในกลุ่ม เขาถือว่าคนคนนั้นได้สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้วเมื่อหยิบอาวุธขึ้นมาสังหารคนด้วยกันเอง

ทว่าเป็นเฟิงสี่ที่ต้องแบกรับความกดดันมหาศาลเนื่องจากหลายคนติดตามเขามานาน แม้จะเป็นฆาตกรแต่ก็เป็นพรรคพวก เมื่อต้องจากลากันจึงมีบางคนร้องไห้ออกมาอย่างอาลัย

ด้วยเหตุนี้สมาชิกทหารรับจ้างหมาป่าเพลิงที่มือสะอาดทั้งหนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบสองคนจึงถูกรวบเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มมังกรผงาด รวมทั้งหมดจากที่มีอยู่ตอนนี้จึงเท่ากับสองพันสี่ร้อยห้าสิบแปดคน ถือได้ว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก ยิ่งได้หลัวอวี่และเฟิงสี่ช่วยฝึกสอนรับรองว่ากลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาลเป็นแน่

เมื่อแล้วเสร็จภารกิจคัดเลือกคนในช่วงบ่าย ป้ายขนาดใหญ่ก็ได้ถูกตั้งขึ้น ณ โถงกลาง ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการ โถงแห่งนี้เคยเป็นศูนย์บัญชาการของสำนักอัศวิน แต่ของมีค่าต่างๆ ถูกขนออกไปจนหมด และแทนที่ด้วยของศูนย์บัญชาการทหาร โคมไฟโดยรอบถูกเปิด มีทหารยามสิบคนคอยเฝ้าป้ายใหญ่ที่สลักด้วยคำว่า “ศูนย์บังคับการ”

หลัวอวี่เป็นคนตั้งชื่อศูนย์แห่งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ในการควบคุมกฎระเบียบทางทหาร ทั้งยังมีความหมายที่สะท้อนถึงการจัดลำดับขึ้นตามแบบอักษรจีนอยู่ด้วย

“ท่านหลินมู่อวี่ ข้าได้ลองวางตำแหน่งและลำดับขั้นต่างๆ ของกลุ่มมังกรผงาดของเราเรียบร้อยแล้วขอรับ”

หลัวอวี่กางม้วนกระดาษที่มีรายชื่อตำแหน่งที่กล่าวถึงเขียนไว้อยู่

ขั้นที่หนึ่ง ‘ผู้บัญชาการ’ ผู้บัญชาการสูงสุด

ขั้นที่สอง ‘รองผู้บัญชาการ’ ผู้บัญชาการสูงสุดระดับสอง

ขั้นที่สาม ‘หัวหน้าหน่วยมังกร’ มีสิทธิ์ควบคุมทหารได้หนึ่งพันนาย

ขั้นที่สี่ ‘หัวหน้าหน่วยพยัคฆ์’ ควบคุมทหารได้ห้าร้อยนาย

ขั้นที่ห้า ‘หัวหน้าหน่วยหมาป่า’ ควบคุมได้หนึ่งร้อยนาย

ขั้นที่หก ‘ผู้นำ’ ควบคุมได้สิบนาย

ขั้นที่เจ็ด ‘หัวหน้าเล็ก’ ควบคุมได้ห้านาย

ขั้นที่แปด ‘ทหารชำนาญการ’

ขั้นที่เก้า ‘พลทหาร’

หลินมู่อวี่มองดูรายการทั้งหมดแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “อืม…ชัดเจนดี แล้วจะใช้เกณฑ์ใดเป็นตัวชี้วัดเล่า?”

หลัวอวี่คำนับ “ในการเลื่อนขั้นเราจะวัดจากคุณความดีที่ทำขอรับ การให้รางวัลและการลงโทษที่เห็นได้อย่างชัดเจนนี้จะช่วยกระตุ้นทุกคนได้ ซึ่งในตอนนี้จากการคัดเลือกของข้าแล้วเฟิงสี่ เราได้หัวหน้าหน่วยมังกรมาสองคนแล้วขอรับ เมื่อทหารทำผลงานได้เราก็จะมอบตำแหน่งให้…จากนี้แค่รอให้ใครสักคนได้เลื่อนขั้นมาเป็นหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์และหมาป่าขอรับ!”

“ข้าเห็นเห็นด้วย…เริ่มใช้การได้เลย” หลินมู่อวี่พยักหน้า

เฟิงสี่มองหน้าหลัวอวี่ด้วยแววตาแห่งความนับถือ “ท่านหลัวอวี่เองก็ไม่ได้เติบใหญ่มาในตระกูลทหารใด แต่ดูท่านช่ำชองกับการบัญชาการกองทพอย่างมาก ข้าชักสงสัยเสียแล้วว่าท่านไปเรียนรู้เรื่องเหล่านี้มาจากที่ใด?”

หลัวอวี่ตอบกลับด้วยสีหน้าขวยเขิน “ข้ามิได้จะปกปิดอันใด อันที่จริงแม้ข้าจะไม่ได้โตมาในตระกูลใหญ่ และครอบครัวข้าก็อบจนมาก ถึงกระนั้นบรรพบุรุษข้าก็เคยเป็นถึงนายพลรุ่นที่สองแห่งจวนบัลลังก์เมฆอันเลื่องชื่อ!”

“จวนบัลลังก์เมฆหรือ?!”

เฟิงสี่ตกใจ “บรรพบุรุษที่ว่าคือ…อันดับสองจากหกสิบสี่ยอดนักรบแห่งบัลลังก์เมฆ หลัวทงไห๋?!”

“ถูกต้อง”

หลัวอวี่พยักหน้าตอบ “ทว่าช่างน่าเสียดาย…นอกจากลูกหลานอย่างเราจะไม่มีพรสวรรค์สร้างชื่อแล้ว ยังจะสร้างความเสื่อมเสียให้แก่บรรพบุรุษอีก ยิ่งพูดยิ่งน่าละอาย”

หลินมู่อวี่เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้วจึงยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องกังวลไป คนเรามีโอกาสให้แก้ตัวเสมอ!”

หลัวอวี่เอ่ยถามหลินมู่อวี่ด้วยแววตาแห่งความหวัง “ท่านขอรับ ข้ามีเรื่องอยากจะถามท่านสักข้อ”

“ว่ามาเถิด”

“กลุ่มมังกรผงาดของเราจะเป็นเพียงทหารรับจ้างเช่นนี้ต่อไป…หรือเราจะได้มีโอกาสต่อสู้เพื่อราชวงศ์ฉินด้วยขอรับ?”

หลินมู่อวี่สูดหายใจลึก “หากมีใครต้องการความช่วยเหลือกลุ่มมังกรผงาดของเราก็จะยื่นมือเข้าไปช่วย นี่คือเหตุผลที่ข้าก่อตั้งกลุ่มขึ้นมา ทำใจให้สบายเถิดหลัวอวี่ ตราบที่เจ้ายังยึดมั่นต่อไป สักวันคงมีโอกาสได้รับใช้จักรวรรดิและตามรอยบรรพบุรุษเจ้า”

หลัวอวี่กลัวสั่นเทาด้วยความซาบซึ้งพลางคำนับหลินมู่อวี่ “ข้าจะขอติดตามท่านตลอดไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ขอรับ!”

หลินมู่อวี่พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ เขาเข้าใจกฎความเป็นไปของโลกนี้ดี และกำลังค่อยๆ เรียนรู้เส้นทางการไปสู่ผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่ ดังเช่นหลัวอวี่ที่ต้องการโอกาสเพื่อแสดงความสามารถและขึ้นเป็นนายพล กับเฟิงสี่ที่ต้องการคนที่เขาไว้ใจช่วยพาเขาไปสู่จุดหมายได้ ซึ่งหลินมู่อวี่เป็นคนช่วยเปิดทางให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้และไขว่คว้าในสิ่งที่โหยหาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากทั้งสองจะยอมถวายชีวิตให้

การประชุมยังมีต่อจนถึงกลางดึก หลัวอวี่เอ่ยขึ้น “ท่านขอรับ เราจำเป็นต้องซื้อม้าสองพันตัวจากทางตะวันตก ข้าได้เตรียมการกับคนขายม้าไว้แล้ว…ภายในเจ็ดวันนี้จะทำการส่งม้ามาให้เรา โดยม้าราคาตัวละแปดสิบเหรียญทอง ทั้งหมดที่ต้องจ่ายคือหนึ่งแสนหกพันเหรียญทอง ราคานี้รวมอานม้า เกือกม้าและอาหารแล้ว…ทว่าด้วยเงินสองร้อยเหรียญทองที่มีอยู่ตอนนี้ขาเกรงว่าจะไม่พอขอรับ…”

“เข้าใจแล้ว…”

หลินมู่อวี่ล้วงสามร้อยเหรียญเพชรออกมาจากถุงสรรพสิ่งให้หลัวอวี่อย่างเจ็บใจ เขาเหลือเงินติดตัวอีกเพียงหกเหรียญเพชรเท่านั้น…ความจนเริ่มกลับมาเยือน การจะก่อตั้งกองกำลังทหารให้มั่นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ณ วินาทีนี้ หลินมู่อวี่เริ่มนึกถึงโอสถฝันคืนสู่สูงสุดที่ฝากขายไว้กับร้านค้าแห่งจักรวรรดิ โดยได้แต่หวังว่าจะได้เงินมามากพอ…

…………………………………

Related

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา หลินมู่อวี่ บุตรชายมหาเศรษฐีพันล้านที่ชีวิตสมบูรณ์แบบสุดๆ คนทั้งโลกต่างพากันอิจฉา เขามีโลกอีกใบคือการเป็นเซียนเกมที่ไต่ไปถึงระดับเทพยุทธ์ แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่าง และหันหลังให้โลกที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะพ่อต้องการให้เขาไปช่วยสืบทอดกิจการ ในวันที่เขาตัดสินใจหันหลังให้โลกใบนี้ หลินมู่อวี่ตัดสินใจลบแอคเคาน์ เพื่อจะได้ไม่ต้องโหยหาโลกใบนี้อีกต่อไป ในระหว่างที่เขาลบแอคเคาน์และรีเซ็ทระบบเพื่อออฟไลน์นั้น จู่ๆ รอบตัวก็เต็มไปด้วยความมืดมิด เขาถูกฉุดกระชากลงไปสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย มีเพียงเสียงชายชราผู้หนึ่ง ที่บอกว่าเส้นทางของเขายังไม่จบง่ายๆ หลินมู่อวี่ต้องเอาตัวรอดในโลกใหม่พร้อมปริศนาว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้เขาติดอยู่ในเกมและไม่สามารถออฟไลน์ออกไปได้ การผจญภัยในโลกแฟนตาซีสุดล้ำของหลินมู่อวี่จึงต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง…

Options

not work with dark mode
Reset