เสียงจากใต้ดินพลันหยุดกะทันหันราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดวงตาฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเบิกกว้างอย่างตื่นตัวเป็นเวลากว่าห้านาที ทว่ากลับไม่พบสิ่งใดเลย ฉินเหลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขณะที่เอื้อมมือแตะไหล่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน “อย่ากังวลไป มันไม่มีเสียงใดๆ เลย…”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพ…ฌานสัมผัสของข้าไม่เคยผิดพลาด”
“เยี่ยงนั้น…เตรียมตัว!”
“ขอรับ”
…
แสงจันทร์เพ็ญเย็นยะเยือกสาดส่องลงบนพื้นราวกับน้ำค้างแข็งสีเงิน บริเวณพื้นที่โล่งทางทิศตะวันออกของตำหนักกวางโศกา กลุ่มกองไฟปลิวไสวตามแรงลม ซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายทหารอวี้หลินกว่าพันนาย จากนั้นเสียงเท้าม้าดังขึ้นพร้อมทหารหนึ่งร้อยนายเข้ามายังค่าย
‘เปรี้ยง…’
เสียงชุดเกราะกระทบกันดังก้อง จากนั้นไป๋หลี่ก็ลุกขึ้นยืน ที่คอด้านข้างมีตราสัญลักษณ์สีทองซึ่งแสดงถึงตราผู้บัญชาการกองพันแห่งจักรวรรดิ เขาขมวดคิ้วขณะที่มองออกไปด้านนอก “ค่ำคืนนี้ช่างเงียบงันผิดปกติ ไม่มีสัตว์วิญญาณปรากฏออกมาแม้แต่ตัวเดียว นี่มันแปลกประหลาดเกินไป…”
ผู้บัญชาการกองร้อยด้านข้างพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านเป็นกังวลมากเกินไปกับความปลอดภัยของฝ่าบาทในการประพาสล่าสัตว์ครานี้ วางใจเถิด ที่นี่มีทหารรักษาการณ์กว่าหกพันนาย อีกทั้งมีเหล่าองครักษ์อวี้หลินเฝ้าระวังทุกทิศ เช่นนั้นจะมีใครหน้าไหนกล้าหาญเยี่ยงเสือดาวโจมตีพวกเรากัน?”
ไป๋หลี่พยักหน้า “อืม แม้ว่าเจ้าจะพูดถูก…ทว่าทุกคนยังต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ ห้ามหลับลึกเกินไปในค่ำคืนนี้และเตรียมพร้อมรบได้ทุกเมื่อ”
“ขอรับ!”
ขณะเดียวกันทางทิศตะวันออกปรากฏริ้วเปลวไฟเป็นทาง ทว่าก็หายไปอย่างรวดเร็ว แสงเหล่านั้นมาจากกลุ่มสำนักอัศวินราวสองพันนายบนเนินเขาสูงกว่าร้อยเมตร พวกเขากำลังใช้ประโยชน์จากความมืดและผืนป่าในการพรางตัว
จีหยางดึงบังเหียนม้าเคลื่นตัวออกไปช้าๆ ก่อนจะตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อีกไม่นานพวกเราจะเข้าสู่พื้นที่ลาดตระเวนของกองทัพทหารรักษาพระองค์ ดังนั้นทหารเหรียญเงินทุกนายเตรียมตัวบุก! เราจะลอบสังหารทหารลาดตระเวนกว่าร้อยนายภายในหนึ่งชั่วโมงโดยมิให้เกิดเสียงใดๆ จากนั้นก็บุกเข้าไปในค่ายทหารอวี้หลิน จริงสิ…หลินหยานอยู่ไหน?”
ทหารชำนาญการนายหนึ่งประสานมือรายงาน “ท่านราชทูตใหญ่ ราชทูตหลินหยานกล่าวว่าเขาต้องการเข้าห้องน้ำก่อนจะเดินออกไป ทว่าเขายังไม่กลับมา ซึ่งก็เป็นเวลากว่าชั่วโมงแล้วขอรับ”
“เขาหายตัวไปรึ?”
จีหยางพลันแสดงท่าทีเย็นชา “ไอ้สารเลว ดันหายตัวไปในช่วงเวลานี้…”
หลี่เฉียนซุนหัวเราะเยือกเย็น “ข้าคิดไว้แล้วว่าหลินหยานไม่ได้อยู่ข้างเรา การเก็บเขาไว้ในสำนักอัศวินเป็นหายนะชัดๆ พี่ใหญ่…เราควรยกเลิกภารกิจวันนี้หรือไม่?”
“ไม่!”
จีหยางโบกมือกล่าวเสียงแผ่วเบา “เราไม่อาจเสียโอกาสในรอบพันปีนี้ และมันจะไม่มีครั้งหน้าอีกต่อไป รวมทั้ง…ชางไป๋เฮ่อก็อยู่ที่นี่พร้อมกับ ‘สมบัติ’ ของเขา แม้ว่าติ่งอัคนีชวีฉู่จะอยู่ในค่าย แต่เราก็จะจัดการทุกคนที่ขวางหน้าและบุกเข้าไปในตำหนักกวางโศกาเพื่อชิงศีรษะจักรพรรดิให้ได้ เพ่งสมาธิและเตรียมตัวโจมตี!”
“ขอรับ!”
ในยามค่ำคืน เหล่าทหารลาดตระเวนแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม กลุ่มละหนึ่งร้อยนาย ขณะนี้มีทหารม้าหนึ่งร้อยนายลาดตระเวนอยู่ในป่า และทุกนายต่างถือคบเพลิงสอดส่องไปรอบบริเวณ อาจเป็นเพราะเสียงเท้าม้าที่ดังมากเกินไป พวกเขาจึงไม่พบสิ่งปกติใดๆ
‘ฟิ้ว!’
‘ฟุ่บ!’ ลูกธนูเยือกเย็นพุ่งออกมาจากความมืดเข้าที่ซอกคอผู้บัญชาการกองร้อยอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมีลูกธนูอีกหลายดอกพุ่งตามมาราวกับห่าฝน
“ระวัง! มีคนลอบโจมตี! ส่งสัญญาณเตือนภัยเดี๋ยวนี้!”
ในความอลหม่านที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ตะโกน ทว่าทหารอวี้หลินก็รีบควักแตรออกจากเอวอย่างรวดเร็ว และกำลังจะเอาเข้าปาก ทันใดนั้น! เขาก็เห็นเงาดำทะมึนพุ่งเข้าใส่พร้อมปราณยุทธ์สีขาวขุ่น!
‘ตุบ!’
เกิดเสียงทุ้มหนัก หน้าผากทหารอวี้หลินนายนั้นถูกทุบจนแหลก จากนั้นเหล่าผู้ชำนาญการที่มีพลังยุทธ์อย่างท่วมท้นพุ่งออกจากป่า พวกเขาคือทหารเหรียญทองและทหารเหรียญเงินแห่งสำนักอัศวิน ทว่าทหารอวี้หลินเหล่านี้เป็นเพียงคนธรรมดาที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตมนุษย์เสียอีก แล้วจะเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมได้เยี่ยงไร…ทหารอวี้หลินทั้งหนึ่งร้อยนายจึงถูกสังหารภายในพริบตา
ฝ่ามือจีหยางโชกไปด้วยเลือดพร้อมใบหน้าปกคลุมไปด้วยความเกลียดชัง เขามองออกไปด้านนอกและกล่าวว่า “ทำไมสัญญาณยังไม่ส่งมาอีก? ชางไป๋เฮ่อมัวทำสิ่งใดอยู่?”
หลี่เฉียนซุนกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “รอสักครู่ เดี๋ยวคงมี…”
…
ภายในลานกว้างของตำหนักกวางโศกา ฉินเหลย ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และคนอื่นๆ ต่างถือกระบี่ประจำตัวเฝ้าระวังอยู่ด้านนอก พร้อมทั้งองครักษ์มังกรสามสิบนาย ทันใดนั้น! เสียง ‘ครืน ครืน’ ดังขึ้นอีกครั้ง ฉู่ฮว๋ายป้องหูพร้อมตะโกนกึกก้อง “มันมาแล้ว! ระวังจากทางใต้ดิน!”
องครักษ์มังกรต่างหวาดหวั่น
‘ตูม!’
มีระเบิดขนาดใหญ่จนทำให้ดินและหินพุ่งกระจายออกจากพื้นดิน งูมังกรทะลวงดินพลันเขมือบองครักษ์มังกรทันทีที่ปรากฏตัว องครักษ์นายนั้นหน้าซีดเผือดขณะที่โคจรปราณยุทธ์อย่างรวดเร็ว เขาส่งเสียงทุ้มต่ำก่อนที่วิญญาณยุทธ์เคียวโลหิตจะควบแน่นอยู่บนหน้าอกแล้วตะโกนว่า “ทำลาย!”
‘วิ้ง!’
เสียงจากวิญญาณยุทธ์ดังขึ้น เคียวโลหิตพลันหมุนควงด้วยความเร็วสูงไปที่ปากของงูมังกร ทว่าไม่สามารถตัดเกล็ดแข็งกล้าราวกับโลหะของมันได้ ‘กร้วม!’ สัตว์วิญญาณปิดปากลงพร้อมทั้งองครักษ์มังกรที่น่าเวทนาผู้นั้นถูกกัดขาดเป็นสองท่อน เลือดสีแดงสดสาดกระจาย ขณะเดียวกันชางไป๋เฮ่อก้าวขึ้นไปบนหัวของสัตว์ร้ายและปลดปล่อยรัศมีพลัง “เจ้าคิดจะหยุดข้าด้วยตัวคนเดียวรึ?”
แท่งเหล็กร่วงหล่นจากท้องฟ้าพุ่งตรงไปที่หัวฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเงยหน้ามอง ทว่าไม่สามารถขยับตัวได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากขอบเขตปราชญ์ เขากัดฟันแน่นขณะที่ปลดปล่อยแสงดาวออกจากร่างกาย ปราณยุทธ์พลันระเบิดขึ้น “เกราะทองลวงตา!”
‘ตูม!’
แท่งโลหะของชางไป๋เฮ่อตกลงมาที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ทว่ามันกลับเป็นเพียงภาพลวงตา! ความเย็นยะเยือกพลันวาบผ่านด้านหลังพร้อมเสียง ‘พรึบ!’ ทันใดนั้น! ฉู่ฮว่ายเหมี่ยนปรากฏตัวขึ้นพร้อมปล่อยหมัดใส่เกราะปราณยุทธ์ของชางไป๋เฮ่อ แม้ว่าจะไม่สามารถทะลวงเกราะได้ แต่ก็ทำให้รัศมีพลังของชางไป๋เฮ่อเกิดความอลหม่าน ซึ่งเปิดโอกาสให้ฉินเหลยและคนอื่นๆ หลบหนีจากเขตแดนพลังสำเร็จ เหล่าองครักษ์มังกรพลันชักกระบี่แปรทัพล้อมรอบชางไป๋เฮ่อและงูมงกรทะลวงดิน
‘โฮก โฮก โฮก…’
งูมังกรทะลวงดินเป็นสัตว์วิญญาณอายุหนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยปีและมีร่างกายแข็งแกร่งดั่งโลหะ มันคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวพร้อมเปลี่ยนพื้นที่โดยรอบเป็นฝุ่นผง ทันใดนั้น! มันสะบัดหางอย่างรวดเร็วใส่องครักษ์มังกรสองนายลอยกระเด็นไปจนบาดเจ็บสาหัส จากนั้นเหล่าองครักษ์คนอื่นๆ พลันโจมตีกลับ ทว่าพลังไม่มากพอที่จะสร้างความเสียหายได้ ลูกศรพวกเขากระเด้งออกทันทีที่กระทบเกล็ดของมัน
“สายฟ้าคลั่ง!”
สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนผ่าลงมารอบตัวฉินเหลยราวกับห่าฝนพร้อมทั้งพันธะเทวาหกอันปรากฏขึ้น เขาพลันชักดาบอัสนีทลายทะยานขึ้นเหนือชางไป๋เฮ่อ ทันใดนั้น! ฉินเหลยคำรามออกมาและฟันลงไปถึงสามครา! เหตุผลที่พันธะเทวาได้ชื่อว่าเป็นวิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่งเป็นเพราะพลังโจมตีอันมหาศาลของมัน การโจมตีทั้งสามปะทะลงบนแท่งเหล็กก่อเกิดแรงกระแทกอย่างรุนแรงจนทำให้ชางไป๋เฮ่อต้องก้าวถอยหลัง
“แม่ง!”
ดวงตาฉินเหลยดุดันขณะที่ตะโกนว่า “ส่งสัญญาณขอกำลังเสริม และให้องครักษ์อวี้หลินที่อยู่รอบๆ นำ ‘น้ำกรด’ มาด้วย เกล็ดของงูมังกรแข็งแกร่งเกินไป มีเพียงน้ำกรดเท่านั้นที่ทะลุผ่านได้!”
สิ้นเสียงฉินเหลย ก็มีเสียง ‘ฟู่’ ดังขึ้น แสงสีแดงจากมือองครักษ์มังกรลอยขึ้นบนท้องฟ้า มันคือไฟสัญญาณขององครักษ์อวี้หลิน ขณะเดียวกันชางไป๋เฮ่อก็ยกไม้เท้ายาวขึ้นพร้อมปลดปล่อยปราณยุทธ์สงครามสีขาวขุ่นขึ้นสู่ท้องฟ้า ‘วิ้ง’ เกิดแสงสว่างวาบขึ้นราวกับว่าชางไป๋เฮ่อกำลังส่งสัญญาณเช่นกัน
“ท่าไม่ดีแล้ว…”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกำกระบี่ในมือแน่น “ท่านแม่ทัพ พวกมันมีกำลังเสริมด้วย แล้วเราจะทำอย่างไรดีขอรับ?”
“วางใจเถิด เรายังมีเฟิงจี้สิงเช่นกัน! ต้องสังหารไอ้แก่ชางไป๋เฮ่อเป็นอันดับแรก เราปล่อยให้มันเข้าไปในโถงหลักไม่ได้เด็ดขาด”
“ขอรับ!”
…
ขณะนั้นสัญญาณทั้งสองถูกส่งขึ้นบนท้องฟ้าซึ่งทุกคนเข้าใจถึงความหมายของมัน
กองทัพทหารอวี้หลินในค่ายฝั่งตะวันออกต่างตกตะลึง ทว่าผู้บัญชาการทหารกองพันไป๋หลี่ลุกขึ้นพร้อมชักกระบี่และควบม้าทันที “มีบางอย่างเกิดขึ้นด้านในตำหนัก ค่ายที่หนึ่ง และค่ายที่สอง ขี่ม้าตามข้ามาเพื่อเป็นกำลังเสริม ส่วนที่เหลือเฝ้าระวังที่ประตูตำหนักกวางโศกา”
“ขอรับ!”
ทหารทุกนายควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าเมื่อไป๋หลี่ออกไป ก็พลันมีเสียงม้าดังขึ้นมาจากความมืด เหล่าทหารของสำนักอัศวินบุกเข้ามาราวกับลมกรด ซึ่งนำทัพโดยจีหยางและหลี่เฉียนซุนผู้มีความแข็งแกร่งขอบเขตนภา และตามมาด้วยทหารเหรียญเงิน ทหารเหรียญทอง และทหารเหรียญทองแดงจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ทหารรักษาการณ์ไม่กี่ร้อยนายจะหยุดคนของสำนักอัศวินได้เยี่ยงไร?
“กางโล่! และยิงธนูออกไป!”
โล่ขนาดใหญ่ถูกยกขึ้นราวกับกำแพงพร้อมหอกยาวโผล่ออกมาจากด้านในโล่ ทหารรักษาการณ์ที่เหลือเริ่มโจมตีขณะที่พุ่งตัวไป หอกเหล่านั้นพุ่งแทงเข้าใส่ทหารฝึกหัดและทหารชำนาญการ เป็นเหตุให้สำนักอัศวินไม่สามารถโต้กลับได้ ซึ่งทำให้กองทัพจักรวรรดิเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“ธนูไฟ!”
ทหารอวี้หลินร้อยนายพลันยิงธนูไฟเข้าใส่กลุ่มสำนักอัศวินอย่างรวดเร็ว และสังหารศัตรูไปหลายสิบคนทันที
จากนั้นมีเสียงเคร่งขรึมดังขึ้น “หลีกไป! ข้าจัดการเอง!”
จีหยางตัดสินใจลงมือเอง ก่อนที่จะกระโจนพร้อมยกมือขึ้นกลางอากาศและรวบรวมปราณยุทธ์สงครามสีแดงเลือด เขาคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้พวกทหารแห่งจักรวรรดิเกะกะน่ารำคาญ จงหายไปซะ!”
‘ตูม!’
ฝ่ามือสีแดงเลือดขนาดมหึมาพลันกระแทกใส่โล่จนแตกเป็นเสี่ยงๆ เกิดลมพัดกรรโชกขึ้น จากนั้นจีหยางพุ่งตัวไปยังกลุ่มทหารรักษาการณ์ ทันใดนั้น! เขาร่ายรำฝ่ามือซึ่งปกคลุมไปด้วยปราณยุทธ์ไปรอบบริเวณ ก่อนจะสังหารทหารกว่าหลายสิบนายภายในพริบตาโดยที่พวกเขาไม่มีโอกาสโต้กลับ เนื่องจากปราณยุทธ์รอบตัวจีหยางหนาเกินกว่าจะแทงทะลุได้
ภายในเวลาไม่ถึงห้านาที เหล่าทหารรักษาการณ์ราวหกร้อยนายโดนจัดการไปแล้วกว่าครึ่ง! ทว่าส่วนที่เหลือยังคงตอบโต้กลับอย่างไม่หยุดหย่อน มันเป็นกฎเหล็กที่เฟิงจี้สิงปลูกฝังให้แก่พวกเขา…ว่าทหารแห่งกองทัพจักรวรรดิยอมตายเสียดีกว่ายอมจำนน!
จีหยางไม่รีรอก่อนจะนำคนของเขาบุกเข้าไปในตำหนักกวางโศกาทันที! ในคืนนี้ทหารกว่าสองพันนายของสำนักอัศวินเคลื่อนไหวเยี่ยงปีศาจร้ายหมายจองจำจิตวิญญาณของจักรพรรดิฉินจิ้นไปตลอดกาล!
………………………………….