ลมหนาวพัดผ่านชุดรบและหางม้าที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมัดไว้ปลิวไสวไปตามสายลม กระบี่ยังคงอยู่ที่หลังราวกับว่ามิได้วางแผนจะสู้ มือขวาห้อยลงพร้อมปราณยุทธ์ล้อมรอบนิ้ว ทั่วทั้งร่างกายปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วงจางๆ ทันใดนั้นวิญญาณยุทธ์เตียวม่วงก็ปรากฏขึ้น
เจิ้งฟางถือกระบี่เล่มเรียวยาว ดวงตาคมกริบขณะที่กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ยอมแพ้ซะฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน แม้เจ้าจะเป็นองครักษ์รักษาพระองค์ ก็ต้องสำเหนียกถึงความแตกต่างทางสถานะระหว่างเจ้ากับพี่สาวข้าบ้าง เจ้าเป็นเพียงขุนนางชั้นต่ำ มิได้มียศถาบรรดาศักดิ์ แล้วจะคู่ควรกับท่านพี่ได้อย่างไร? เจ้าควรหยุดตัวเองจากการกระทำผิดพลาดครั้งใหญ่ซะ!”
ดวงตาฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเรียบเฉยดั่งสายน้ำ และน้ำเสียงยังคงสงบนิ่ง “ผู้คนต่างมีสถานะแตกต่างกันมาตั้งแต่กำเนิด ทว่าคุณลักษณะของผู้คนมิสามารถจำแนกได้โดยสถานะ ท่านอ๋องน้อย…แม้ว่าเจิ้งเซียงจะมาจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็มั่นใจว่ามีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะมอบชีวิตดีๆ แก่นาง ข้าจะปกป้องนางด้วยชีวิตและมอบความสุขให้นางเอง”
“ถุย!”
เจิ้งฟางพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าจะมอบความสุขแก่นางด้วยตนเองได้อย่างนั้นรึ? ฮึ! เหตุใดไม่ส่องดูตัวเองในกระจกบ้าง? ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนไอ้ขยะชั้นต่ำ! หากยังดันทุรังเช่นนี้ก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานี! มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตกลับออกไปจากลานประลอง!!”
“เช่นนั้นหรือ?”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเผยยิ้มจางๆ “เช่นนั้นท่านอ๋องน้อยโปรดชี้แนะ!”
…
‘ชิ้ง!’
เจิ้งฟางตวัดดาบและชิงโจมตีจากระยะไกลด้วยวิญญาณยุทธ์ประจำตระกูลเจดีย์กระจกสี ทั่วทั้งใบดาบปกคลุมไปด้วยปราณกระบี่แหลมคม เหล่าจอมยุทธ์สามารถบอกได้ทันทีว่าเจิ้งฟางเชี่ยวชาญด้านการใช้กระบี่ การโจมตีของเขาทำให้ปราณกระบี่แตกกระจายราวกับดอกไม้นับหมื่นพุ่งปะทะจุดลมปราณสำคัญของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนอย่างรวดเร็ว!
การโจมตีของเจิ้งฟางแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจากเจดีย์กระจกสีจนไม่สามารถมองข้ามได้ และแทบไม่ต้องพูดถึงการที่เจิ้งฟางอยู่ขอบเขตนภาชั้นที่สอง ซึ่งทำให้จินตนาการได้เลยว่าการโจมตีนี้ต้องรุนแรงมากเพียงใด
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนถอยกลับอย่างรวดเร็วขณะที่พื้นถูกปกคลุมไปด้วยร่องรอยดอกหลีฮวา เมื่อถึงขอบลานประลองก็กระโดดออกจากระยะโจมตีของเจิ้งฟางทันที จากนั้นปราณยุทธ์ของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะกางฝ่ามือปลดปล่อยดวงดารานับหมื่นส่องแสงระยิบระยับราวกับดาวตกจากฟากฟ้า เป็นการโจมตีที่แสนงดงามและหาชมได้ยาก!
“โล่ระฆังทอง!”
เจิ้งฟางยังคงยืนอยู่ที่เดิม ขณะที่วิญญาณยุทธ์ปรากฏขึ้นเป็นกำแพงสีทองล้อมรอบตัวทันที คัดสรรดวงดาราของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตกลงโล่ระฆังทองอย่างรุนแรงเกิดระลอกคลื่นสีทอง ขณะที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกำลังร่วงลงพื้น ทันใดนั้น! เจิ้งฟางก็ฉวยโอกาสพุ่งไปพร้อมตวัดกระบี่ขึ้นไปบนฟ้าอย่างรวดเร็ว
‘ฉัวะ!’
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนรวบรวมลมปราณกลางฝ่ามือก่อนจะเกิดเป็นเกลียวล้อมรอบตัว ปะทะปราณกระบี่ของเจิ้งฟางกระเด็นลงพื้น เขาพลันคำรามลั่น “เกลียวอสรพิษทองคำ!”
มันเป็นทักษะที่ลึกลับอย่างแท้จริง เหมือนกับที่เฟิงจี้สิงเคยกล่าวไว้ ไม่มีใครล่วงรู้ว่าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนร่ำเรียนวิชามาจากที่แห่งใด ทว่าทักษะเหล่านี้ทำให้เขาเป็นหนึ่งในใต้หล้าอย่างภาคภูมิใจ เฟิงจี้สิงยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เขาขอเผชิญหน้ากับฉินเหลยเสียดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับทักษะที่สวยงามและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เป็นการยืนยันได้ว่าพลังยุทธ์ของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนนั้นไม่ธรรมดา
เมื่อฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนลงมาถึงพื้นพร้อมเกลียวอสรพิษทองคำ เจิ้งฟางก็โจมตีอีกครั้ง! กระบี่ของเขาเคลื่อนผ่านอากาศก่อนที่ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนจะร่วงหล่นลงมาที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนทันที!
เคล็ดหมื่นกระบี่!
นี่เป็นหนึ่งในจิตควบคุมกระบี่ซึ่งมีอยู่ทั่วไป ทว่าการโจมตีของเจิ้งฟางนั้นทรงพลังมากราวกับสายฟ้าและรวดเร็วดั่งสายลม อีกทั้งเป็นการโจมตีอย่างถูกจังหวะ เนื่องจากขณะที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนลงสู่พื้น เขาต้องการเวลาครึ่งวินาทีก่อนจะเรียกปราณยุทธ์ออกมาได้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด!
‘ฟู่!’
เลือดพุ่งกระจายออกจากไหล่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนอย่างต่อเนื่อง และมีบาดแผลราวห้ารูบนหน้าอกซึ่งไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง ทว่าภายนอกดูค่อนข้างสาหัส
“อา…”
เจิ้งเซียงลุกขึ้นยืนทันที ดวงตาคู่งามเผยแววตกใจและเป็นกังวล “ท่านฉู่…”
“เซียงเซียง!”
เจิ้งอี้ฝานขมวดคิ้วแน่น “นั่งลง อย่าลืมว่านั่นคือศัตรูน้องชายเล็กของเจ้า และเจ้าเป็นหนึ่งในตระกูลเจิ้ง ควรแสดงกิริยาให้สมเกียรติตระกูลด้วย จะแสดงกิริยาหยาบคายเช่นนั้นเพื่อองครักษ์อวี้หลินผู้ต่ำต้อยไปทำไม?”
“ท่านพ่อ ข้า…” เจิ้งเซียงนั่งลงช้าๆ ทว่าสายตายังจับจ้องอยู่ที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน นางกัดริมฝีปากแน่น เผยร่องรอยความปวดร้าวบนใบหน้า “ตราบใดที่ท่านพ่อมีความอนุเคราะห์แก่เรา นอกจากฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนแล้ว…เซียงเซียงจะไม่รักชายใดอีก”
“เช่นนั้นหรือ?”
เจิ้งอี้ฝานเผยรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะเงยหน้ามอง “ความรักและความเกลียดชัง รวบรวมและกระจัดกระจาย สิ่งใดที่มีค่าอยู่ในกระแสแห่งความเป็นนิรันดร์? สักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจ”
เจิ้งเซียงพลันก้มมองพื้น “เช่นนั้นข้าก็ขอไม่เข้าใจมัน”
“เจ้า…”
เจิ้งอี้ฝานมองลูกสาวอย่างเคืองโกรธ แต่ก็ถอนหายใจทันที “พ่อตามใจเจ้ามาตลอด อยากได้สิ่งใดก็หามาให้ ทว่าเรื่องนี้พ่อให้เจ้าไม่ได้ หากเป็นคนอื่นพ่อจะไม่พูดอะไรสักคำ แม้จะมาจากครอบครัวต่ำต้อยก็ไม่เป็นไร ตราบที่เจ้าชอบพวกเขา แต่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้นี้…เป็นคนของเฟิงจี้สิงและฉินเหยียนซึ่งมีเรื่องบาดหมางกับจวนเสินโหว อีกทั้งฉินเหลยต้องการตัดหัวพ่อของเจ้า เช่นนั้นเจ้าจะก็ยังบังคับพ่อไปสู่ความตายจริงๆ หรือ?”
“ข้า…”
เจิ้งเซียงพูดไม่ออกก่อนจะหันกลับไปยังลานประลอง ร่างฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกำลังโจมตีกลับขณะที่ปราณยุทธ์กลายเป็นแสงดาวล้อมรอบตัว นิ้วของเขากลายเป็นผีเสื้อโบยบินก่อนจะเปลี่ยนเป็นแสงดาว คัดสรรดวงดาราเป็นการโจมตีดั่งชื่อเรียก โดยการเลือกดวงดาวเพื่อโจมตีศัตรู…ริ้วแสงดาวเหล่านี้ไม่เปิดโอกาสให้เจิ้งฟางได้เข้าใกล้ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนแม้แต่น้อย
…
หลังจากต่อสู้มายาวนานเจิ้งฟางก็เริ่มเสียเปรียบ แม้ว่าบาดแผลของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจะดูลึก แต่เขารู้ดีว่าจุดลมปราณส่วนใหญ่ของเจิ้งฟางถูกผนึกโดยคัดสรรดวงดาราแล้ว และเกือบไม่เหลือพลังพอที่จะใช้กระบี่อีก แทบไม่ต้องพูดถึงการเพิ่มพลังปราณยุทธ์มากมายที่ใช้ไปกับจิตควบคุมกระบี่
‘ฟู่…’
คัดสรรดวงดาราอีกสายถูกส่งโจมตีทะลุชุดศึกวิหารของเจิ้งฟางจนทำให้เหรียญตราผู้ดูแลวิหารหลุดกลิ้งลงกับพื้นทันที
“อา…”
เจิ้งฟางมิได้หันมองเหรียญตราวิหาร เขาเพิ่มปราณแท้ขึ้นอีก ก่อนจะกระโจนขึ้นพร้อมโจมตีด้วยกระบี่ซึ่งพุ่งตรงไปที่แกนกลางพลังของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนราวกับงูพิษ หรือว่าเจิ้งฟางต้องการ…ทำลายทะเลปราณของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน?
สำหรับจอมยุทธ์…ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าทะเลปราณอีกแล้ว
“เจ้า!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนรู้สึกโกรธเล็กน้อย เขายกมือซ้ายขึ้นพร้อมโจมตีออกไปและคำรามลั่น “หัตถ์ผนึกจันทรา!”
‘ตูม!’
คลื่นพลังทะยานสู่ท้องฟ้าก่อนจะตกลงมาปะทะหลังเจิ้งฟาง ส่งผลให้เจิ้งฟางล้มลงไปพร้อมกระบี่และใบหน้าฟาดกับพื้นหินอย่างแรง เลือดเริ่มไหลนองอย่างน่าเวทนา
“พอได้แล้ว!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อ๋องน้อย เจ้าแพ้แล้ว อย่าดิ้นรนอีกต่อไปเลย แค่ยอมแพ้ไปซะ”
“ขะ…ข้า…”
เจิ้งฟางสีหน้าโศกเศร้าขณะที่น้ำตาเอ่อล้น ในฐานะอ๋องน้อยแห่งจวนเสินโหวและหนึ่งในผู้ดูแลวิหารศักดิ์สิทธิ์ เขาต้องพ่ายแพ้อย่างน่าเจ็บปวดที่สุด และมิได้ถูกจัดการด้วยน้ำมือจอมยุทธ์อย่างเฟิงจี้สิงหรือฉินเหลย ทว่ากลับพ่ายแพ้ให้กับองครักษ์อวี้หลินผู้ต่ำต้อยไร้บรรดาศักดิ์ แล้วจะให้เขายอมรับความอัปยศเช่นนี้ได้อย่างไร…
“ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ข้า…” เจิ้งฟางเงยหน้าขึ้นมองฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและพูดเสียงแผ่วเบาราวกับยุง “หากเจ้าต้องการแต่งงานกับพี่สาวข้าจริงก็ฟังที่ข้าพูด”
“หืม?”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตกใจเล็กน้อย เจิ้งเซียงเป็นจุดอ่อนเดียวของเขานอกเหนือจากฉู่เหยา เมื่อได้ยินว่าจะได้มีโอกาสใช้ชีวิตกับคนรัก เขาก็ลดการป้องกันลงทันที ก่อนจะเอนตัวไปถาม “ท่านอ๋องน้อยมีวิธีดีๆ หรือ?”
“แน่นอน ฮ่าๆ”
เมื่อฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเข้าไปใกล้มากขึ้น เจิ้งฟางก็รีบคว้าคอเสื้อฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนทันที ก่อนจะใช้มือขวาแทงกระบี่เข้าไปที่แกนกลางพลังของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า!
‘ฟู่!’
เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ทว่าเป็นเพียงบาดแผลบนกายเนื้อเท่านั้น มิได้ทะลวงเกราะปราณยุทธ์ของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนแต่อย่างใด กระนั้นก็โดนเฉือนหน้าท้องเป็นแผลยาวจนเลือดไหลริน
“เจ้า!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเลือดขึ้นหน้าก่อนจะส่งฝ่ามือไปที่หน้าท้องของเจิ้งฟางซึ่งเป็นจุดของทะเลปราณ และเป็นจุดที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนโจมตีด้วยหัตถ์ผนึกจันทรา!
‘ตูม!’
แกนกลางพลังของเจิ้งฟางแตกกระจายพร้อมเลือดสาดไปทั่วทุกทิศราวกับระเบิด ทันใดนั้นทะเลปราณก็ถูกทำลายทันที!
…
“ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เจ้าบังอาจทำเช่นนี้รึ!?”
เจิ้งอี้ฝานลุกขึ้นก่อนจะหายตัวไปอยู่บนลานประลองอย่างรวดเร็วราวกับเหยี่ยว เขาพลันยกฝ่ามือปล่อยพลังโจมตีใส่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจากด้านบนทันที! เช่นนั้นฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจะสกัดกั้นการโจมตีของขอบเขตปราชญ์อย่างเจิ้งอี้ฝานได้เยี่ยงไร…เขายอมแพ้ที่จะป้องกันก่อนจะหลับตากล่าวทั้งรอยยิ้ม “ข้าน้อยฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเป็นผู้บริสุทธิ์!”
ขณะเดียวกันก็ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เกิดเปลวไฟทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมติ่งอัคนีด้านหน้าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เขาคือติ่งอัคนีชวีฉู่!
‘ตูม!’
เปลวไฟระเบิดขึ้นจนทำให้ชวีฉู่ถอยหลังไปหลายก้าว ขณะที่เจิ้งอี้ฝานร่วงหล่นจากท้องฟ้าลงมาข้างๆ เจิ้งฟาง
“ท่านเสินโหว การประลองยุทธ์มีการตกลงเรื่องความเป็นความตาย อ๋องน้อยลอบโจมตีก่อนทว่าก็ไม่สามารถเอาชนะฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนได้ ข้าหวังว่าท่านเสินโหวจะเข้าใจและไม่ถือโทษโกรธฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน” ชวีฉู่ประสานมือกล่าวอย่างเคารพ “ทะเลปราณของท่านอ๋องน้อยถูกทำลายแล้วซึ่งเป็นเจตจำนงของสวรรค์ ท่านเสินโหวควรยอมรับมัน”
“เจ้า!”
เจิ้งอี้ฝานคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมถลึงตาใส่ชวีฉู่ ทว่าก็มิได้เริ่มโจมตีแต่อย่างใด เขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะชวีฉู่ได้
“ฟางเอ๋อร์…”
เจิ้งอี้ฝานหันไปประคองเจิ้งฟางและมองดูบาดแผลบนร่าง ก่อนจะพบว่าทะเลปราณของเจิ้งฟางสลายไปอย่างสมบูรณ์ และพลังยุทธ์ของเจิ้งฟางถูกทำลายจนหมดสิ้น เนื่องจากปราณทั้งหมดไหลคืนสู่สรวงสวรรค์และผืนโลก
ดวงตาทั้งคู่ของเจิ้งฟางปิดสนิทจากการหมดสติและมิได้รับรู้สิ่งใด
“เหตุใดกัน…”
ร่างกายของเจิ้งอี้ฝานสั่นสะท้านพร้อมคำรามออกมาอย่างแค้นเคือง “โลกนี้ไม่ยุติธรรม! ทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร?!”
…………………
Related