ผ่านไปสามวันกองทหารของหลินมู่อวี่ก็เดินทางมาถึงเมืองหลันเยี่ยน เขามอบเหรียญพยัคฆ์ให้แก่ฉีหยิงเพื่อนำกลับไปเมืองหน้าด่านฉีไห่ ก่อนจะให้หลัวอวี่และเฝิงสี่นำกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดกลับภูเขาหลงหยานพร้อมทหารใหม่กว่าสี่พันนาย ดังนั้นกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดก็จะมีทหารเก้าพันหกร้อยสี่สิบแปดนายแล้ว การที่หลินมู่อวี่มีกองทหารเกือบหมื่นนายนั้น นับได้ว่าเขากลายเป็นผู้มีอำนาจคนหนึ่ง!
ทว่าหลินมู่อวี่ต้องมอบเงินอีกห้าแสนเหรียญแก่หลัวอวี่สำหรับอาวุธ อาหาร และม้า ค่าใช้จ่ายในการดูแลทหารรับจ้างโดยมิให้พวกเขาไปปล้นสะดมชาวบ้านนั้นค่อนข้างแพงมาก แต่โชคดีที่หลินมู่อวี่มีเงินมากพอ
…
ค่ำคืนนั้นฉินจิ้นและองค์หญิงอินจัดงานเลี้ยงฉลองแก่คุณงามความดีของกลุ่มทหารหลินมู่อวี่จากการปราบปรามสำนักอัศวินในมณฑลชางหนาน และสำนักอัศวินคงไม่กลับมาแข็งแกร่งเช่นเดิมได้อีกแม้จะมีการก่อตั้งขึ้นมาใหม่!
ด้วยสุราที่มีอย่างไม่จำกัดในงานทำให้ทุกคนเริ่มเมาเล็กน้อย ฉินจิ้นยืนขึ้นก่อนกล่าวว่า “อาอวี่ เป็นเวลานานแล้วที่เจ้ามิได้กลับมาตำหนักเจ๋อเทียน พ่อมีบางสิ่งจะคุยกับเจ้า มาด้านหลังตำหนักพร้อมเสี่ยวอินสิ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
หลินมู่อวี่โค้งคำนับด้วยความเคารพ ขณะที่ฉินอินเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มและสวมเสื้อคลุมให้เขา ก่อนจะเดินไปด้านหลังตำหนักพร้อมกัน
ด้านหลังตำหนักไม่มีคนอยู่ ทว่าก็สว่างไสว ฉินจิ้นสั่งให้สาวใช้และขันทีออกไปจากบริเวณนั้น ภายใต้แสงจันทร์ฉินจิ้นสวมชุดคลุมมังกรสีทองหันหลังให้หลินมู่อวี่ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “อาอวี่ มณฑลชางหนานเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินมู่อวี่ตกตะลึง จู่ๆ เหตุใดฉินจิ้นจึงถามเรื่องนี้ เขาพลันประสานมือกล่าว “แข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองพ่ะย่ะค่ะ”
“แค่นั้นหรือ?” ฉินจิ้นหันกลับมาพร้อมเลิกคิ้ว “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้ต่อสู้กับหลงเซียนหลินผู้เป็นแม่ทัพเกรียงไกรแห่งเมืองห้าหุบเขา เจ้าคิดว่าเขาเป็นอย่างไร?”
หลินมู่อวี่ตอบกล่าวอย่างสงบนิ่ง “หลงเซียนหลินเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถและพรสวรรค์ในการควบคุมกองทัพ เหล่าทหารของหลงเซียนหลินจากค่ายเขาเหินเป็นทหารที่แข็งแกร่งมากท่ามกลางทหารฝีมือดีทั่วปฐพี กระหม่อมต้องยอมรับว่า หากเจอหลงเซียนหลินในศึกที่แท้จริง กระหม่อมคงมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นนั้นหรือ?”
ฉินจิ้นเผยยิ้มจางๆ “แต่ข้าก็ได้ยินมาว่าหลงเซียนหลินนำทหารค่ายเขาเหินมาโจมตีภูเขา ทว่าทำอะไรเจ้าไม่ได้ อืม…พูดให้ถูก หลงเซียนหลินเสียท่าให้แก่กลยุทธ์ของเจ้า!”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ…” หลินมู่อวี่ตอบอย่างถ่อมตน “เขามิได้แพ้ในด้านกลยุทธ์ แต่เป็นด้านอาวุธและกำลังพล กระหม่อมได้นำทหารม้าหนักฝีมือดีแห่งกองทัพทะลวงนภาไป พร้อมองครักษ์อวี้หลินหกสิบนาย และเหล่าพลธนูหนึ่งในใต้หล้าของเว่ยโฉว มิเช่นนั้นทหารค่ายเขาเหินคงยึดภูเขาขวานไฟสำเร็จ”
“อย่าพูดเช่นนั้นเลย”
ฉินจิ้นพลันเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาทันใด “อาอวี่ทราบเรื่องที่หูเถี่ยหนิงแอบเก็บเหรียญทองอย่างลับๆ หรือไม่?”
หลินมู่อวี่ประหลาดใจพร้อมเหงื่อไหลเย็นจนผ้าคลุมเปียกชุ่ม เขารีบประสานมือกล่าว “กะ…กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ…”
“ดีแล้วที่เจ้าไม่ทราบ”
ฉินจิ้นเผยรอยยิ้มจางๆ ขณะที่เดินมาตบไหล่หลินมู่อวี่ “หากรู้และไม่รายงานจะทำให้ทางจักรวรรดิเข้าใจผิดว่าเจ้าก่ออาชญากรรมได้ เข้าใจหรือไม่?”
“กระหม่อมเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” หลินมู่อวี่ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองฉินจิ้น
หากใครกล้าพูดว่าฉินจิ้นเป็นผู้ปกครองที่โง่เขลา หลินมู่อวี่คงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เนื่องจากฉินจิ้นขณะนี้เต็มไปด้วยความชาญฉลาด ที่แม้แต่หลินมู่อวี่ก็รู้สึกเกรงกลัว
“ฝ่าบาท” หลินมู่อวี่หยุดเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “ในเมื่อฝ่าบาททรงทราบถึงการกระทำของหูเถี่ยหนิงแล้ว เหตุใดจึงไม่ส่งทหารไปลงทัณฑ์เขาพ่ะย่ะค่ะ?”
“ลงทัณฑ์?”
ฉินจิ้นอดไม่ที่จะหัวเราะ “แม้ว่าข้าจะรู้ ทว่าทำได้เพียงส่งทหารเข้าไปตรวจสอบเท่านั้น เจ้าสามารถลงโทษผู้กระทำผิดในเขตของเขาอย่างไม่มีหลักฐานหรือ? อีกทั้ง…หลงเซียนหลินเป็นลูกเขยของหูเถี่ยหนิงและเป็นแม่ทัพควบคุมกองทหารกว่าสองแสนนายของมณฑลชางหนาน หากเราส่งทหารเข้าไปจริงๆ…อาจสร้างปัญหาให้แก่เมืองหลันเยี่ยนได้ อาอวี่ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้”
หลินมู่อวี่เงยหน้ามองก็เห็นสายตาที่มองเขาอย่างรักใคร่ “เสด็จพ่อ…รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมมณฑลชางหนานได้หรือขอรับ?”
“ใช่…”
ฉินจิ้นพยักหน้ารับก่อนจะถอนหายใจ “หูเถี่ยหนิงเคยเป็นทหารของเสินโหวเจิ้งอี้ฝาน และยังเป็นทหารที่เก่งกล้าจึงมีชื่อเสียงในกองทัพไม่น้อย ส่วนหลงเซียนหลินลูกเขยของเขามีกองทัพขนาดใหญ่ ในขณะที่หลานชายอย่างเซี่ยงอวี้ก็ควบคุมสารวัตรทหารและเหล่านายพลระดับสูงของกองทัพ หากข้าต่อต้านหูเถี่ยหนิงเมื่อใด มณฑลชางหนานต้องก่อกบฏเป็นแน่!”
“…”
หลินมู่อวี่นิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดว่า “ทว่าหากปล่อยไว้นาน อาจเกิดปัญหาอื่นตามมาในภายหลังได้”
ฉินจิ้นเผยยิ้มจางๆ “อืม ข้าจึงมีภารกิจสำคัญให้เจ้า ทั้งเมืองหลวงมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เหมาะสม ดังนั้น…”
“โอ้ ภารกิจอันใดหรือขอรับ?” หลินมู่อวี่ประหลาดใจ
ใบหน้าฉินอินที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย
ฉินจิ้นลูบเคราก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากให้เจ้ากับเสี่ยวอินไปบ้านของท่านปู่…”
“เมืองหยาดสายัณห์?”
“ถูกต้อง!” ฉินจิ้นพยักหน้ารับ “เจ้าต้องไปเขตอวิ้นจงและทำบางอย่างที่สำคัญให้ข้า!”
หลินมู่อวี่หัวใจหล่นวูบ ก่อนจะเดาบางอย่างได้ “เกี่ยวกับมณฑลชางหนานหรือขอรับ?”
ฉินจิ้นเผยยิ้ม “อาอวี่ฉลาดมาก เจ้าคงเดาได้ถึงข้อเท็จจริงแล้ว จดหมายส่วนใหญ่ที่ส่งไปเขตอวิ้นจงถูกขัดขวางจนหมด เจิ้งอี้ฝานแข็งแกร่งอย่างแท้จริง หากข้าส่งจดหมายถึงชางมู่หยุนผู้เป็นปู่ของเสี่ยวอินเพื่อขอให้เกณฑ์ทหารไปปราบปรามเมืองห้าหุบเขา มันอาจถูกขัดขวางระหว่างทางได้ และคนธรรมดาคงไม่สามารถเข้าถึงชางมู่หยุนได้อย่างแน่นอน เจ้าจึงต้องไปกับเสี่ยวอิน อีกทั้งผู้อาวุโสฉู่กล่าวไว้ว่าเสี่ยวอินต้องการประสบการณ์จริง ดังนั้นพวกเจ้าจะได้รับประสบการณ์จากการเดินทางไปหาชางมู่หยุนครานี้ เมื่อเจอเขาแล้วเจ้าเพียงบอกคำสั่งของข้าไป เช่นนั้นชางมู่หยุนจะเข้าใจได้เองว่าข้าหมายถึงสิ่งใด”
“ฝ่าบาท มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลินมู่อวี่ประหลาดใจ “หากมีเพียงข้าผู้เดียว เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เสี่ยวอินปลอดภัยอย่างสมบูรณ์!”
“อาอวี่ เจ้าไม่มั่นใจในตัวเองหรือ?”
ฉินจิ้นมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน “ในการประลองยุทธ์ เจ้าและเฟิงจี้สิงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจากสี่แม่ทัพ และข้าแลเห็นว่าพลังยุทธ์ของเจ้าอาจเหนือกว่าเฟิงจี้สิง ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเหมาะสมไปกว่าเจ้าในการพาเสี่ยวอินไปเขตอวิ้นจง แทบไม่ต้องพูดถึงการที่อาวุโสฉู่เล่นหมากรุกกับเสินโหวเจิ้งอี้ฝานทุกวันซึ่งเป็นการกักตัวเขาไว้ในเมืองหลวง หากไม่มีเจิ้งอี้ฝานแล้ว ด้วยพลังยุทธ์ของเจ้าและเสี่ยวอิน มีสิ่งใดที่ต้องกังวลอีกหรือ?”
หลินมู่อวี่ตะลึง เป็นดังที่ฉินจิ้นกล่าว เขาแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว และเมื่อเพิ่มฉินอินผู้มีโซ่เทวะและความแข็งแกร่งขอบเขตนภา จะยังมีผู้ใดกล้ามาข่มเหงทั้งคู่อีก?!
บางทีอาจมีเพียงเซี่ยงอวี้เท่านั้นที่ทำได้ ทว่าเซี่ยงอวี้ไม่มีทางต่อต้านฉินอิน เนื่องจากเขาต้องปกป้ององค์หญิงอินเพื่อยศตำแหน่งและความมั่งคั่ง หากแผ่นดินตกอยู่ในความโกลาหล เซี่ยงอวี้อาจไม่สามารถขึ้นเป็นผู้บัญชาการเช่นนี้
หลังจากที่หลินมู่อวี่ได้รับสี่ประทีปมาก็ทำให้แข็งแกร่งขึ้นมาก และหากเซี่ยงอวี้เข้าจู่โจม หลินมู่อวี่ก็ไม่มีทางแพ้เมื่อร่วมมือกับฉินอิน สิ่งสำคัญที่สุดคือ…การปลอมตัว ซึ่งจะช่วยไม่ให้ศัตรูตามตัวเจอ
…
‘แปะ…แปะ…’
ฉินจิ้นพลันปรบมือและพูดด้วยรอยยิ้ม “นำของเข้ามา!”
ทันใดนั้นขันทีสองคนก็เดินเข้ามาพร้อมถาดที่มีเสื้อผ้าสองชุด ชุดหนึ่งสำหรับผู้ชาย และอีกชุดสำหรับผู้หญิง ซึ่งดูราวกับว่านำมาจากขอทานข้างถนน ชุดของผู้หญิงมาพร้อมกู่ฉินที่ชำรุด ส่วนชุดผู้ชายมาพร้อมดาบเหล็กขึ้นสนิม
“นี่คือ…” หลินมู่อวี่รู้สึกสับสน
ฉินจิ้นลูบเคราและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาวุโสฉู่เตรียมตัวตนให้พวกเจ้าซึ่งเป็นพี่น้องที่ท่องยุทธภพไปทั่วหล้า น้องสาวคนเล็กเล่นกู่ฉินเพื่อหาเลี้ยงชีพ ขณะที่พี่ใหญ่ร่ายรำดาบและเล่นกล เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ฉินจิ้นแสดงท่าทางภูมิใจในตนเอง
เช่นนั้นแล้วหลินมู่อวี่จะพูดสิ่งใดได้? เขาประสานมือกล่าว “ตามที่ฝ่าบาทประสงค์พ่ะย่ะค่ะ…”
ใบหน้าฉินอินเต็มไปด้วยความสุข “พี่อาอวี่ นั่นหมายความว่าท่านเต็มใจไปเดินเล่นกับข้า…อ๊ะ! ไม่ใช่ ข้าหมายถึงเต็มใจไปหาประสบการณ์ด้วยกันใช่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่มองไปที่ฉินอินอย่างหมดหนทาง “อืม เจ้าคงต้องเตรียมตัวรับมือกับความยากลำบาก โลกภายนอกนั้นแตกต่างจากตำหนักเจ๋อเทียนอย่างสิ้นเชิงและเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้”
“ข้ารู้”
ฉินจิ้นพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าให้ทหารเตรียมม้าแก่สองตัวไว้ให้แล้ว เจ้ามิจำเป็นต้องรีบร้อนกับการเดินทางครานี้ อีกทั้งต้องหาเงินเลี้ยงชีพระหว่างทางด้วย แล้วข้าจะให้คนมาช่วยเรื่องการแต่งตัว มิเช่นนั้นคงเป็นการยากที่จะไม่ให้ใครสังเกตเห็นเจ้า…”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ตามดังกล่าว ฉินจิ้นให้สาวใช้สองนางมาแต่งหน้าหลินมู่อวี่และฉินอิน หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมง บนใบหน้าหลินมู่อวี่ก็มีรอยบากยาวสองรอย ส่วนฉินอินก็มีกระเต็มใบหน้างาม ซึ่งทำให้หญิงงามอันดับหนึ่งกลายเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดา ทว่าใบหน้าที่โดดเด่นของฉินอินยังปรากฏให้เห็น
และตามคำสั่งของฉินจิ้น พวกเขาทั้งสองมิได้พูดคุยกับใครเลยขณะที่ขี่ม้าแก่ออกจากเมืองหลันเยี่ยนในค่ำคืนนั้นอย่างเงียบเชียบ
ลมหนาวยามดึกสงัดพัดผ่าน หลินมู่อวี่มีเพียงเสื้อคลุมธรรมดาและห่อผ้าสีดำด้านหลังซึ่งห่อกระบี่วิญญาณมังกรและดาบเหล็กขึ้นสนิม เมื่อหันไปมองฉินอินก็เห็นว่านางแบกกู่ฉินไว้ที่หลัง ขณะที่กุมบังเหียนแน่นพร้อมมองออกไปบริเวณโดยรอบอย่างตื่นเต้น ราวกับนกน้อยที่เพิ่งออกจากกรง
“เจ้ามีความสุขไหม?” หลินมู่อวี่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ฉินอินเผยยิ้ม “การออกมาสั่งสมประสบการณ์กับท่านพี่อาอวี่ทำให้ข้ามีความสุขอยู่แล้ว! แล้วพี่อาอวี่ล่ะ มีความสุขหรือไม่ที่ออกมากับเสี่ยวอิน?”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้ารับและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเกรงว่าเจ้าจะตัดหัวข้า หากตอบว่าไม่…”
ฉินอินหัวเราะ “หยุดหยอกล้อเพื่อให้ข้าหัวเราะได้แล้ว เสี่ยวซีเคยบอกว่าหากหัวเราะมากๆ จะเกิดริ้วรอยขึ้นได้”
“ฮ่าๆ เอาล่ะ ข้าจะไม่หยอกล้อเจ้าแล้ว เดินทางให้เร็วขึ้นเถิด แล้วหาโรงเตี๊ยมนอกเมืองเพื่อพักผ่อนกัน”
“อื้ม”
……………………