The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา – ตอนที่ 247 แด่ราชาของข้า

ระหว่างที่บรรเลงกู่ฉินอยู่นั้น จู่ๆ บทบรรเลงอันเรียบง่ายก็เปลี่ยนเป็นท่วงทำนองแห่งสงคราม หลินมู่อวี่เมื่อได้ยินก็ปรับเปลี่ยนท่วงท่าของตนด้วยไหวพริบ สะบัดข้อมือวาดดาบตัดสายลมตามวิชาดาบสายลมจักรวรรดิ ดาบสนิมเขรอะดูเหมือนอาวุธสังหารอันคมกริบที่สะท้อนกับแสงไฟจนเปล่งประกายวิบวับในทันที

 เมื่อได้ชมฝีมือของทั้งคู่เหล่านักเดินทางและทหารรับจ้างในโรงเตี๊ยมต่างส่งเสียงให้กำลังใจกันกึกก้อง แม้จะเป็นเพียงนักแสดงเร่ร่อน ทว่าท่ารำดาบของเด็กหนุ่มผู้นี้ช่างงดงามยิ่ง

แท้จริงแล้วจุดมุ่งหมายของการตั้งใจรำดาบของหลินมู่อวี่นั้น เพียงเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่จดจ้องไปยังฉินอินเท่านั้น พวกเจ้าต้องผ่านคมดาบนี้ไปให้ได้ก่อน…มิเช่นนั้นอย่าแม้แต่จะคิด!

เมื่อบทบรรเลงจบลงบรรดาผู้ชมต่างโยนเหรียญขึ้นไปบนเวที ทั้งเหรียญเงิน เหรียญทองแดง มีกระทั่งเหรียญทองกระจัดกระจายทั่วพื้น หลินมู่อวี่รู้สึกเหมือนคนรวยขึ้นมาทันตา

ถุงผ้าขาวถูกหยิบออกมาใส่เงินที่ร่วงหล่นตามพื้นโดยหลินมู่อวี่ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าฉินอินยืนยิ้มให้ตนด้วยสายอันอ่อนโยนอยู่ก่อนแล้ว

“เจ้าจะเอ่ยสิ่งใดหรือไม่?” หลินมู่อวี่ถาม

ฉินอินยิ้มตอบ “ไม่มีสิ่งใดเจ้าค่ะ…ข้าเพียงรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ข้ามีความสุขที่สุดในชีวิต…”

“อย่างนั้นรึ?”

หลินมู่อวี่เลิกคิ้วขึ้นพลางคลี่ยิ้ม “หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็จะเป็นเช่นต่อไปในวันข้างหน้า”

“จริงหรือเจ้าคะ?”

“อืม”

“หากเป็นดังท่านพี่ว่าคงจะดีมากเลยเจ้าค่ะ”

ฉินอินขยับเข้าไปใกล้หลินมู่อวี่ด้วยท่าทีของเด็กสาว บรรดาทหารรับจ้างเลือดร้อนต่างระทวยไปตามกัน บางทีหากฉินอินล้างเครื่องหน้าออกแล้วเผยใบหน้าที่แท้จริงคนพวกนี้คงตายไปแล้วเสียกระมัง เพราะฉายาความงามอันดับหนึ่งแห่งหลันเยี่ยนมิใช่ได้มาเพราะโชคช่วย

เมื่อหลินมู่อวี่และฉินอินกลับไปยังที่นั่ง ประตูโรงเตี๊ยมก็ถูกเปิดพร้อมกับเสียงเอียดอาดทันใด ลมหนาวที่พรั่งพรูเข้ามาพร้อมกับใครคนหนึ่งในชุดคลุมสีดำ ชายคนนั้นเปิดผ้าคลุมเผยใบหน้าเปื้อนยิ้มพลางกล่าว “ท่านเจ้าของโรงเตี๊ยม…ที่นี่ยังอยากได้การแสดงเพิ่มอีกหรือไม่?”

พนักงานบริการเข้ามารับหน้าและมองอย่างเย้ยหยันก่อนจะถามกลับ “แล้วท่านจะแสดงอะไรหรือ?”

ชายปริศนายิ้ม “ข้ามีสัตว์เลี้ยงแสนเชื่องมาแสดงให้แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายได้รับชม”

“หึ! ก็แค่ลิงกับหมามาเล่นกลเท่านั้น อย่าทำให้ตัวเองอับอายไปเลย”

“ไม่…ข้าฝึกอย่างอื่นต่างหากเล่า”

“เช่นนั้นให้ข้าดูหน่อยเถิด…ว่ามันคือสิ่งใด”

“ไม่มีปัญหา”

ชายปริศนาผิวปากสองสามครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เจ้านภาน้อย ออกมาได้แล้ว!”

“โฮก…”

ทันใดนั้นมังกรน้อยก็ปรากฏตัว มันคือมังกรนภาขนาดสามเมตร! ดวงตาคู่ทองของมันจ้องมองผู้คนในโรงเตี๊ยมอย่างหวาดกลัว

ทุกคนต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น

“มังกรนภา!”

“พระเจ้า…มังกรนภาอายุสองร้อยปี!”

“ไอ้บ้านี่เป็นใครถึงฝึกมังกรนภาได้!”

“หรือจะเป็น…นักขี่มังกรในตำนาน!?”

“ไม่จริง เจ้าเคยเห็นนักขี่มังกรนภาด้วยงั้นรึ?”

“ข้า…”

นักฝึกสัตว์เดินเข้ามาพลางยิ้ม “ข้าคือตู้ยี่หมิงเป็นนักแสดงเร่ร่อน นี่เป็นมังกรนาน้อยที่ข้าฝึกได้โดยบังเอิญ และอยากพามาแสดงให้ทุกท่านได้รับชม หากพวกท่านพอมีเงินโปรดช่วยบริจาคให้ข้าหรือหากไม่มีก็ไม่เป็นไร ถึงกระนั้นข้าก็ขอบพระคุณทุกท่านมาก!”

ตู้ยี่หมิงยกมือซ้ายขึ้นอย่างสง่างาม ทันใดนั้นมังกรนภาก็ส่งเสียงครางและแตะงับมือเขาเดินผ่านหน้าทุกคนไป ครีบคล้ายร่มกระพือออก พลางกวาดสายตาแห่งความสงสัยมองโดยรอบ ช่างน่ารักน่าเอ็นดู

ฉินอินหัวเราะออกมา “มังกรนภาตัวนี้ช่างสนใจจริงๆ เจ้าค่ะท่านพี่”

หลินมู่อวี่ทำได้เพียงยิ้มและพยักหน้าโดยไม่กล่าวอื่นใด สิ่งที่เขาสนใจคือตู้ยี่หมิงที่มีพลังยุทธ์เพียงแค่ระดับปฐพีขั้นหนึ่ง ทำอย่างไรถึงฝึกมังกรนภาอายุสองร้อยปีได้? มังกรนภาไม่ใช่อสูรวิญญาณทั่วไป แม้จะอยู่ระดับต่ำทว่าก็ยังเป็นมังกร!

บนเวที มังกรนภาน้อยทั้งกลิ้งม้วนตัวและวิ่งไปมา ทำให้ผู้ชมโดยรอบต่างหัวเราะด้วยความชอบใจ เหรียญเงินและเหรียญทองแดงมากมายถูกโยนให้แก่นักฝึกสัตว์ปริศนา

ขณะที่ตู้ยี่หมิงก้มลงเก็บเหรียญสายตาก็เหลือบไปเห็นฉินอินตรงมุมหนึ่งของโรงเตี๊ยมโดยบังเอิญ หัวใจเขาสั่นระรัว…เด็กสาวคนนี้ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นคำพูด กิริยา หรือแม้แต่รูปร่างล้วนอยู่ในระดับยอดหญิง หากไม่เป็นเพราะรอยกระบนใบหน้า นางคือคนที่งดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!

เมื่อการแสดงจบลง ตู้ยี่หมิงขอซุปหนึ่งชามและขนมปังธรรมดาสองก้อนก่อนจะพามังกรนภาเดินเข้าไปหาฉินอิน “สหายหนุ่มและคุณผู้หญิง โต๊ะนี้ยังพอมีที่นั่งเหลืออยู่ไม่ทราบว่าข้าจะขอนั่งด้วยได้หรือไม่?”

หลินมู่อวี่พยักหน้ายิ้ม “เชิญตามสบายเลย”

“ขอบใจมาก”

มังกรนภาที่ตามมาด้วยคุกเขาลงนั่งข้างฉินอิน ตาโตกะพริบปริบๆ ครีบร่มที่อยู่รอบหัวของมันกระพือเข้าออกอย่างน่าเอ็นดู

ฉินอินใจอ่อนระทวยเมื่อเห็นมังกรน้อยอ้อน นางลูบหัวของมันโดยปราศจากความกลัวใดๆ ก่อนจะยิ้มและเอ่ยขึ้น “ช่างเป็นมังกรน้อยที่ว่าง่ายอะไรเช่นนี้…”

ตู้ยี่หมิงเอ่ยขึ้นทั้งที่ขนมปังยังเต็มปาก “ดูเหมือนคุณผู้หญิงจะชอบมังกรนภาน้อยของข้ามากสินะขอรับ?”

“อืม” ฉินอินไม่ปฏิเสธ

ตู้ยี่หมิงเอ่ยถาม “ข้าชักสงสัยว่าท่านทั้งสองมาจากที่ใดและจะไปแห่งใดกันหรือ?”

หลินมู่อวี่ตอบ “ข้ามีนามว่าหลินอวี่ ส่วนคนนี้คือน้องสาวข้านามหลินอิน เราเป็นนักแสดงเร่ร่อน เดินทางครานี้เราตั้งใจจะไปเมืองหาดสายัณห์ กล่าวกันว่าศิลปินหลายคนที่นั่นมีชีวิตที่ดีกันทั้งสิ้น”

“เป็นเช่นนี้เอง…”

ตู้ยี่หมิงยิ้ม “ข้าก็กำลังมุ่งหน้าไปเมืองหยาดสายัณห์เช่นเดียวกัน อย่างนั้นทำไมเราถึงไม่ไปด้วยกันเลยเล่า? จะได้ช่วยดูแลกันระหว่างทาง”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วด้วยท่าทีอึดอัด

ตู้ยี่หมิงผู้มีไหวพริบหันไปหาฉินอินด้วยรอยยิ้มพลางกล่าว “แม่หญิงหลินอวี่ดูเหมือนจะชอบมังกรนภาของข้ามาก หากร่วมทางกันไปเจ้าจะได้เล่นกับมันมากกว่านี้นะ…”

“ไม่เจ้าค่ะ”

ฉินอินเผยแววตารู้ทัน “ท่านพี่กับข้าคุ้นชินกับการเดินทางกันเอง จึงต้องขอปฏิเสธน้ำใจของท่านเจ้าค่ะ”

“อย่างนั้นเองหรือ…”

ตู้ยี่หมิงผิดหวังเล็กน้อย ทว่ายังคงยิ้มและกล่าวต่อ “ข้าเห็นว่าแม่นางฉินอินชอบมังกรน้อยตัวนี้นัก เช่นนั้นข้าจะสอนวิธีฝึกอสูรให้สักอย่างสองอย่าง!”

“วิธีฝึกอสูรหรือ?”

หลินมู่อวี่หัวใจแทบหยุดเต้น เขารู้ซึ้งถึงวิชาควบคุมอสูรที่ชางไป๋เฮ่อใช้เพื่อลอบสังหารองค์จักรพรรดิ หากฉินอินสามารถเรียนวิชานี้ได้ต้องเป็นประโยชน์อย่างมากแน่!

เมื่อคิดได้ดังนั้นหลินมู่อวี่จึงรีบคำนับและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลินอินชอบสัตว์มาก หากท่านอาจารย์ตู้อยากสอนวิชาให้นาง ข้าจะยินดีอย่างยิ่ง!”

ตู้ยี่หมิงแววตาเป็นประกาย “ดีเลย เช่นนั้นข้าตกลง! พรุ่งนี้เราออกเดินทางกันแต่เช้าเถิด!”

“รับทราบ!”

กลางดึกฝนเริ่มตกแรงขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังสนั่นไปทั่วผืนฟ้า

ห้องของหลินมู่อวี่และฉินอินอยู่ริมสุด เสียงฟ้าผ่าดังลั่นราวกับมีคนใช้ขวานพังหน้าต่างเข้ามา ฉินอินที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงด้วยความหวาดกลัวชะโงกหัวมองหาหลินมู่อวี่ที่นอนบนพื้นพลางเอ่ยขึ้น “อากาศหนาวเช่นนี้บนพื้นคงเย็นไม่น้อย ท่านพี่อยากจะ…ขึ้นมานอนบนเตียงหรือไม่? ข้ากลัว…”

หลินมู่อวี่ซุกอยู่ใต้ผ้าคลุมผืนเดียวด้วยความหนาวสั่น

“เราเป็นพี่น้องกัน ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ” ฉินอินกล่าว

หลินมู่อวี่เถียงกับตัวเองในใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมผ้าคลุม

ฉินอินหัวเราะลั่น “ถอดผ้าคลุมออกก่อนเถิด หากท่านพี่คิดว่าชายหญิงมิควรนอนด้วยกันสองต่อสองจะเสื้อเสื้อผ้าที่เหลือไว้แบบนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”

“อืม”

หลินมู่อวี่ถอดผ้าคลุมออกขณะฉินอินเปิดผ้าห่มให้พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถิด เสด็จพ่อไม่มีทางรู้เรื่องนี้แน่ท่านพี่ไม่ต้องกลัว…”

คำพูดของฉินอินทำหลินมู่อวี่เขินอาย “ข้าไม่ได้กลัว…”

“แล้วท่านพี่จะลังเลด้วยเหตุใดเล่า? ดูสิหน้าซีดหมดแล้ว…”

“คือว่า…”

ขณะที่หลินมู่อวี่กำลังพูดติดขัด ฉินอินก็ดึงแขนเขาขึ้นไปบนเตียงและห่มผ้าให้ หลินมู่อวี่หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาและนอนนิ่งเหมือนคนตาย

ฉินอินเองก็เขินจนหน้าแดงก่อนจะหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง มองฟ้าแลบสว่างไสวด้านนอกทำให้ฉินอินเริ่มครุ่นคิด “อาอวี่ ท่านเป็นใครกันแน่?”

หลินมู่อวี่ชะงักกับคำถามเมื่อครู่ “ข้า…”

อันที่จริงหลินมู่อวี่รู้อยู่แล้วว่าตัวตนของเขานั้นเป็นปริศนา และแตกต่างจากผู้คนในโลกนี้ ฉินอินนั้นหลักแหลม มีหรือที่นางจะดูไม่ออก?

ฉินอินหลับตาลงด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “ข้าไม่สนหรอกว่าท่านจะเป็นใครแต่…กอดข้าได้หรือไม่? เสี่ยวอินผู้นี้ชอบท่านมาก…”

ฉินอินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใจเย็นอย่างน่าประหลาด

หลินมู่อวี่ทำตัวไม่ถูกในหัวสมองว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามคำสั่งขององค์หญิงตรงหน้า โดยไม่แตะต้องนางมากไปจนเกินเลย หลินมู่อวี่โอบแขนรอบเอวของฉินอินก่อนจะกระชับกอดนางอย่างผ่อนคลาย

“แล้วที่เจ้าบอกว่าชอบข้า…ชอบในแบบไหนอย่างนั้นหรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยปากถาม

ร่างบางของฉินอินสั่นเทิ้มพลางสอดประสานฝ่ามือนุ่มเข้ากับมือของหลินมู่อวี่ ขนตางอนกะพริบไหวนัยน์ตาบ่งบอกความรู้สึกที่ชัดเจนจากข้างใน นางเอ่ยกระซิบ “ชอบที่เราได้คอยปกป้องซึ่งกันและกันไปตลอดชีวิต”

หัวใจหลินมู่อวี่ของหลินมู่อวี่รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แม้จะแข็งแกร่งเพียงใดก็ย่อมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนี้ เขาชอบฉินอิน ชอบทุกอย่างที่เป็นนาง การได้รักคนที่รักเรานั้นนับเป็นพรที่ยิ่งใหญ่

ฝ่ามือของหลินมู่อวี่กระชับแน่น เขาโอบฉินอินไว้อย่างนั้นพลางเอ่ยขึ้น “เสียดายที่ข้าไม่ได้มาจากโลกนี้ เสี่ยวอิน ข้า…”

ฉินอินหันมาสบตากับหลินมู่อวี่โดยพลัน หลินมู่อวี่ไม่สามารถละสายตาจากนางได้เลย ดวงตาคู่โตเป็นประกายจดจ้องมายังเขา “ไม่สำคัญแล้วว่าอาอวี่เป็นใครหรือมาจากที่ใด ต่อให้ต้องเสียสิ่งใดไปก็มิอาจห้ามข้าไม่ให้รักท่าน ท่านเองก็คิดเช่นเดียวกับข้าใช่หรือไม่?”

หลินมู่อวี่ทราบซึ้งจนอยากร้องไห้ออกมา

ฉินอินเอ่ยกระซิบ “ท่านพี่…หากเสี่ยวอินได้ขึ้นครองราชย์ ท่านจะคอยอยู่เคียงข้างข้าหรือไม่?”

“แน่นอน…”

หลินมู่อวี่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าจะกินอะไรพรุ่งนี้เช้า หากเจ้าถามถึงอนาคตว่าข้าจะทำสิ่งใดต่อ ข้าคงตอบเจ้าไม่ได้…”

ฉินอินหัวเราะก่อนจะกางแขนเรียวยาวที่ขาวดุจหิมะของนางโอบรอบคอหลินมู่อวี่ไว้ “นอนเถิด”

“อืม”

แต่ข้าจะนอนทั้งแบบนี้ได้อย่างไรกัน?

…………………

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

The Alchemist God | ทะลุมิติเทพศาสตรา
Status: Ongoing
The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา หลินมู่อวี่ บุตรชายมหาเศรษฐีพันล้านที่ชีวิตสมบูรณ์แบบสุดๆ คนทั้งโลกต่างพากันอิจฉา เขามีโลกอีกใบคือการเป็นเซียนเกมที่ไต่ไปถึงระดับเทพยุทธ์ แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่าง และหันหลังให้โลกที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะพ่อต้องการให้เขาไปช่วยสืบทอดกิจการ ในวันที่เขาตัดสินใจหันหลังให้โลกใบนี้ หลินมู่อวี่ตัดสินใจลบแอคเคาน์ เพื่อจะได้ไม่ต้องโหยหาโลกใบนี้อีกต่อไป ในระหว่างที่เขาลบแอคเคาน์และรีเซ็ทระบบเพื่อออฟไลน์นั้น จู่ๆ รอบตัวก็เต็มไปด้วยความมืดมิด เขาถูกฉุดกระชากลงไปสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย มีเพียงเสียงชายชราผู้หนึ่ง ที่บอกว่าเส้นทางของเขายังไม่จบง่ายๆ หลินมู่อวี่ต้องเอาตัวรอดในโลกใหม่พร้อมปริศนาว่าใครคือต้นเหตุที่ทำให้เขาติดอยู่ในเกมและไม่สามารถออฟไลน์ออกไปได้ การผจญภัยในโลกแฟนตาซีสุดล้ำของหลินมู่อวี่จึงต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset