ฉินอินหลับตาปล่อยโซ่เทวะพันรอบตัวเหมือนชุดคลุมยาว ใช้พลังเชื่องเชื่อมต่อตนเองกับหมาป่าวาโยสีทอง
“บรู้ว…”
ในครั้งแรกหมาป่าวาโยพยายามแยกเขี้ยวขัดขืน ทว่าหลังจากสิบนาทีผ่านไป มันเริ่มกระดกหางและติดตามนางหญิงผู้เลอโฉมอย่างว่าง่าย
“ไอ้หมาตัวนี้…” หลินมู่อวี่หัวเราะ
ฉินอินลืมตาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปล่อยเถาวัลย์ได้แล้วเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าทำพันธสัญญาเรียบร้อยแล้ว!”
“เข้าใจแล้ว”
หลินมู่อวี่วาดมือไปในอากาศทำให้เถาวัลย์น้ำเต้าทองหายไปทันที
หมาป่าวาโยสีทองกระดิกหางโผเข้ากอดฉินอินพลางแลบลิ้นเลียหน้าผู้เป็นนายอย่างมีความสุข หลินมู่อวี่ไม่พอใจนักกับภาพที่เห็น ก่อนจะเดินเข้าไปดึงหัวมันออกจากฉินอินพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอิจฉา “เจ้าอสูร ถอยให้ห่างจากฉินอินของข้า”
ฉินอินหัวเราพร้อมกับริ้วแดงที่ปรากฏบนแก้มนวล
หมาป่าวาโยรู้สึกไม่ชอบใจอย่างมากและแยกเขี้ยวงับมือชายตรงข้ามทันที หลินมู่อวี่กางฝ่ามือที่ถูกงับเรียกวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าออกมาจากปากของมัน จนหมาป่าวาโยปลิวออกไป “หงิง…” มันทำเสียงออดอ้อนกระดิกหางต่ำเดินเข้าไปหาฉินอินผู้เป็นนาย
แม้มันจะมีรูปร่างน่ากลัวและดุร้ายแค่ไหน แต่ตอนนี้มันก็เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงน่าเอ็นดูทำให้หัวใจฉินอินยิ่งอ่อนระทวยเมื่อได้เห็น “ท่านพี่หยุดทะเลาะกับหมาป่าน้อยเดี๋ยวนี้นะเจ้าคะ!”
“ข้าไม่ชอบที่มันเลียหน้าเจ้า…” หลินมู่อวี่ทำเสียงน้อยใจ “ข้าไม่อยากให้มัน…”
“ไม่อยากให้อะไรเจ้าคะ?” ฉินอินจ้องหน้าหลินมู่อวี่และยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
อันที่จริงหลินมู่อวี่อยากจะพูดออกไปว่า ‘ข้าไม่อยากให้หมาป่านั่นเลียซ้ำรอยเดิมกับข้า’ ทว่าเขาไม่อยากดูเป็นคนหยาบคาย จึงเลี่ยงตอบความในใจให้คนเบื้องหน้าได้รับรู้ “ข้าไม่อยากให้เสี่ยวอินติดโรคร้ายจากสัตว์ป่า…”
ฉินอินทำท่าผิดหวัง “อ๋อ…เท่านั้นเองหรือเจ้าคะ?”
“แล้วเจ้าอยากให้ข้าตอบว่ากระไรเล่า?” หลินมู่วี่ย้อนถาม
ฉินอินทำหน้าบึ้งตึง “เก็บของและไปจากตรงนี้กันเถิดเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นคงไม่ถึงเมืองหยาดสายัณห์กันเสียที ป่านนี้ท่านปู่คงรอจนเป็นห่วงแล้ว”
“เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าจะไปหา…”
“ช่างเถิดเจ้าค่ะ!”
…
กลุ่มเดินทางเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย จากที่มีสองคนและม้าสองตัว ตอนนี้ได้เพิ่มเติมหมาป่าวาโยสีทองที่ตามหลังฉินอินเข้าไปอีก ดูเหมือนหลังจากที่เชื่อพันธสัญญากับมันแล้ว ฉินอินจะสามารถรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของมันได้ นางจึงเอ่ยปากถามหลินมู่อวี่ “ท่านพี่รู้หรือไม่เจ้าคะหมาป่าน้อยคิดสิ่งใดอยู่ตอนนี้?”
“สิ่งใดหรือ?”
“มันกำลังคิดว่าม้าสองตัวนี้รสชาติแย่มาก ด้วยเนื้อเพียงนิดมีแต่กระดูกไม่พอเคี้ยวให้หายอยาก”
“อย่างนั้นหรือ?” หลินมู่อวี่หันหน้ามองหมาป่าวาโย “คิดจะกินม้าของเราหรือเจ้าอสูร? หึ! หากเจ้ากล้าแตะม้าสองตัวนี้แม่แต่ปลายขน ข้ารับรองว่าเจ้าได้ตายคามือข้าแน่”
หมาป่าวาโยมองหน้าหลินมู่อวี่ด้วยความกลัวก่อนจะหดหางและส่งเสียงออดอ้อนเข้าไปหาฉินอิน
ฉินอินหัวเราะ “แล้วท่านอยากรู้หรือไม่ว่ามันคิดอะไรอีก?”
“ต้องไม่ใช่สิ่งดีแน่นอน”
“ใช่เจ้าค่ะ มันกำลังคิดในหัวว่า…แม้ชายผู้นี้จะแข็งแกร่งมากทว่ากลับหน้าตาอัปลักษณ์ ท้องก็แฟบแบน ไม่เหมาะกับฝูงหมาป่าผู้สง่างามเลยสักนิด”
“ท้องอันอวบแน่นไม่ใช่ความงามของเหยื่อเจ้าเองหรอกหรือ?” หลินมู่อวี่กล่าว “กล้ามท้องเก้าชั้นของข้านั้นเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว จะปล่อยให้มีไขมันเกาะกุมได้อย่างไร?”
“พอเถิดเจ้าค่ะ…” ฉินอินเริ่มมีอาการเขินอาย แม่นางจะไม่เคยเห็นเรือนร่างของหลินมู่อวี่ ทว่าเพียงแค่ได้ฟังจากที่พูดก็พาให้ความคิดของหญิงสาวเตลิดไปไกลจนหัวใจแทบหยุดเต้นแล้ว หากยังสลัดเรื่องนี้ออกจากหัวต้องแย่แน่ๆ
ด้วยเหตุนี้ทำให้มนุษย์สองคนกับหมาหนึ่งตัวเดินทางข้ามภูเขาด้วยอารมณ์ริษยากันตลอดทาง กระทั่งราตรีเข้าปกคลุม พวกเขามองดูแผนที่ก่อนจะพบว่าอีกไปเกินหกวันคงถึงเมืองหยาดสายัณห์ ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อยและค่อยเดินทางอย่างปลอดภัยจะดีกว่า
พวกเขาจำเป็นต้องหยุดเดินทางในช่วงกลางคืนเพราะอันตรายรอบด้าน อีกทั้งหมาป่าวาโยจากป่าอาเข้าโจมตีเมื่อไรก็ได้ หากจำนวนไม่เกินร้อยคงพอรับมือไหว ทว่ามากันเป็นพันคงยากจะเอาชีวิตรอด แม้พลังยุทธ์ของหลินมู่อวี่และฉินอินจะอยู่ขั้นสูงสูงในขอบเขตของแต่ละคนแล้ว แต่ร่างกายและพลังนั้นมีขีดจำกัด
หม้อเหล็กถูกวางบนกองไฟเพื่อประกอบอาหารโดยมีฉินอินเป็นผู้ปรุงแต่ง นางหยิบผักจำนวนหนึ่งใส่เข้าไปในซุปเนื้อเพื่อเพิ่มรสชาติ ขณะที่หลินมู่อวี่เพิ่งกลับมาจากการหาฟืน
ทันใดนั้นก็มีเสียงแว่วมาสักทิศใดทิศหนึ่ง เป็นเสียงเหมือนมีบางสิ่งเหยียบกิ่งไม้!
“มีคนกำลังมา…”
หลินมู่อวี่วางฟืนลงพลางกระซิบบอก “เหมือนจะมาอย่างไม่เป็นมิตรด้วย”
“เป็นคนหรือเจ้าคะ?” ฉินอินไม่เห็นสิ่งใดทว่าเตรียมปลดปล่อยปราณยุทธ์ สร้างโซ่เทวะขึ้นมารอตั้งรับ
“ข้าก็ไม่รู้ ต้องรอให้พวกมันเคลื่อนไหวก่อน…เตรียมพลังป้องกันไว้ให้ดี”
“เจ้าค่ะ…” ฉินอินยิ้มให้หลินมู่อวี่ “อย่าได้ห่วงข้า ข้าดูแลตัวเองได้เจ้าค่ะท่านพี่”
ได้ยินดังนั้นหลินมู่อวี่ก็วางใจ เขาสัมผัสได้ถึงรัศมีพลังของคนยี่สิบสี่คน ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ขอบเขตปฐพีขั้นหนึ่ง ทว่ายังเทียบกับตนหรือฉินอินไม่ได้ เหตุผลที่พวกมันไม่โจมตีโดยตรง คงคิดจะจู่โจมด้วยธนูจากระยะไกลก่อนแน่นอน
จุดสูงสุดของยอดเขาอยู่ห่างออกไปราวสองร้อยเมตร กำลังแขนของพวกมันคงไม่สามารถยิงใครตายจากระยะนั้นได้กระมัง?
ทว่าทันใดนั้นกลุ่มคนที่ซ่อนอยู่ในป่าก็บุกเข้าโจมตี!
“ฟิ้ว!”
ลูกธนูเคลือบปราณยุทธ์แหวกสายลมมาอย่างรวดเร็ว แม้จะอยู่ห่างจากหลินมู่อวี่และฉินอินกว่าสิบเมตรทว่ายังรุนแรงและทรงพลังเช่นนี้ แสดงว่าศัตรูเป็นคนมีฝีมืออย่างที่คาด!
หลินมู่อวี่เมื่อเห็นทิศทางของการยิงก็รีบก้าวไปยืนบังฉินอินพร้อมกับใช้มือควบปราณยุทธ์ขึ้นปัดป้อง “เปรี้ยง!” ลูกธนูยาวแตกเป็นเสี่ยงอย่างรวดเร็ว หลินมู่อวี่ป้องกันมันได้อย่างฉิวเฉียด
เสียงชักดาบดังระงมไปทั่วภูเขา กลุ่มศัตรูโผล่ออกมาจากที่ซ่อนลักษณะพวกมันคล้ายทหารรับจ้าง หนึ่งในนั้นคำรามลั่นออกมา “บุกได้! ฆ่าพวกมันทั้งสองและนำหัวมันกลับไป ค่าหัวคนละห้าพันทองจะทำให้เรารวยเป็นเทน้ำเทท่า ฆ่ามัน!”
ฉินอินก้มลงล้างผักใส่หม้อตามเดิมพลางเอ่ยถาม”ท่านพี่อยากให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่เป็นไร”
หลินมู่อวี่หัวเราะอย่างเลือดเย็น “แค่พวกทหารรับจ้างที่เห็นเงินสำคัญกว่าชีวิต น่ารำคาญเสียจริง”
ฉินอินยิ้ม “โลกนี้ช่างยุ่งเหยิง เหรียญทองเพียงเหรียญเดียวก็สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้ มันจึงน่าหลงใหลนัก คนพวกนี้ปล้นฆ่าเพื่อเงินเท่านั้น บางที…ท่านพี่อาจไม่ต้องรุนแรงมากก็ได้เจ้าค่ะ แค่ทำให้พวกมันไม่กล้าไปทำเช่นนี้กับคนอื่นอีกก็พอ”
หลินมู่อวี่ชักกระบี่วิญญาณมังกรพลางกล่าว “เช่นนั้นข้าจะทำลายทะเลจิตของพวกมันให้ใช้พลังยุทธ์ไม่ได้อีก อย่างน้อยก็ยังเหลือแรงไว้ปลูกผักขาย เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
“ข้าเห็นด้วยเจ้าค่ะ แล้วอย่าลืมเหลือไว้คนหนึ่งเพื่อถามถึงผู้จ้างวานนะเจ้าคะ”
“รับทราบ!”
ทันใดนั้นหมาป่าวาโยสีทองก็ครางออกมาอยากเกรี้ยวกราด ขนสีทองของมันตั้งชันพร้อมกัดกระชากคนได้ทุกเมื่อ
ฉินอินเอื้อมมือไปลูบหัวหมาป่าวาโย “เจ้าอยู่ตรงนี้กับข้า ปล่อยให้ท่านพี่จัดการเถิด”
หมาป่าวาโยจึงหยุดเห่าหอนและเปลี่ยนมากระดิกหางให้ฉินอินแทน มันเอาหัวถูไปมาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้เป็นนาย
เป็นเวลาเดียวกับที่หลินมู่อวี่พุ่งกระโจนไปพร้อมกับกำแพงน้ำเต้าทองป้องกันธนูหลายสิบดอกที่พุ่งมา ตามด้วยกระโดดเข้าฟาดฟันศัตรูจากกลางอากาศ! โล่ทหารรับจ้างถูกผ่าครึ่งในทีเดียว! จากนั้นหลินมู่อวี่ก็ตวัดกระบี่แทงทะลุทะเลจิตของฝ่ายตรงข้ามทีละคน
ทหารรับจ้างกลิ้งไปบนพื้นพร้อมกับร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด เพราะพลังปราณถูกทำลายทำให้ปราณยุทธ์ที่มีอยู่ค่อยๆ สลายไป
ทักษะการเคลื่อนไหวของหลินมู่อวี่นั้นคล่องแคล่วอย่างมาก เข้าจู่โจมทีละคนด้วยกระบี่อย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวทหารรับจ้างนับร้อยก็ถูกทำลายทะเลจิตจนสิ้น หลินมู่อวี่เก็บกระบี่เข้าฝักอย่างสบายใจราวกับไม่เสียแรงสักนิด “พลังยุทธ์ของพวกเจ้าถูกทำลายสิ้นแล้ว กลับบ้านไปทำสวนเสีย อย่าได้ออกทำร้ายใครอีก”
เมื่อพูดจบหลินมู่อวี่ก็เดินไปหารทหารรับจ้างนายหนึ่งพร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บอกข้ามา…ว่าใครจ้างสังหารเรา?”
ทหารรับจ้างมองหน้าหลินมู่อวี่อย่างโกรธแค้น “ไอ้สวะ เจ้าเพิ่งจะทำลายทะเลจิตของข้าคิดว่าข้าจะตอบคำถามเจ้างั้นรึ? หึ! ฝันเอาเถิด กลุ่มทหารรับจ้างพยัคฆ์ร้ายไม่มีทางปล่อยข้อมูลของผู้จ้างวาน!”
“อย่างนั้นหรือ?”
หลินมู่อวี่หยิบเหรียญเพชรออกจากถุงสรรพสิ่งมาล่อซื้อ เหรียญเพชรแวววาวสะท้อนกับแสงจันทร์อย่างน่าหลงใหล “บอกข้ามาแล้วเหรียญนี้จะเป็นของเจ้า…”
อย่างที่คาด…คุณธรรมของผู้นำกลุ่มพยัคฆ์ร้ายมีค่าหนึ่งพันเหรียญทอง ใบหน้าถมึงทึงมองเหรียญในมือราวกับกำลังชั่งใจ
หลินมู่อวี่จึงพูดจูงใจเพิ่ม “ไหนๆ พลังยุทธ์เจ้าก็ไม่มีแล้ว หากเจ้ารับเหรียญนี้ไปก็คงพอเอาไปต่อยอดได้บ้าง ในฐานะผู้นำเจ้าไม่คิดหัวอกลูกน้องบ้างเลยรึ?”
ในที่สุดผู้นำทหารรับจ้างก็ยอมปริปาก “เศรษฐีคนหนึ่งชื่อหลิวจุนเป็นผู้จ้างวานให้เรามาสังหารสองพี่น้อง หลินอวี่และหลินอิน…เพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับตู้ยี่หมิง หากมีปัญหาข้องใจใดจงไปลงที่หลิวจุนผู้นั้นอย่ามายุ่งเกี่ยวกับเรา”
“เช่นนั้นก็รีบไสหัวไป”
หลินมู่อวี่โยนเหรียญเพชรลงบนพื้นให้ตามที่ตั้งใจไว้ มิเช่นนั้นหากคนพวกนี้กลับบ้านไปคงไม่มีแม้แต่เงินสักแดงไปซื้อวัวมาเลี้ยง
กระทั่งทหารรับจ้างหนีไปจนพ้นระยะสายตาแล้ว หลินมู่อวี่ก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดก่อนจะกลับไปหาฉินอิน “เสี่ยวอิน ข้าว่าเราไม่ควรอยู่บริเวณนี้นานเกินไป หลังจากทานมื้อค่ำเสร็จเราคงต้องรีบเดินทางคืนนี้ไปอย่างน้อยห้าสิบไมล์จนกว่าจะถึงลำธารข้างนาข้าว จากนั้นจึงค่อยพักแรมกันที่นั่นจนรุ่งสาง”
ฉินอินพยักหน้ารับ “ตามท่านพี่เห็นสมควรเจ้าค่ะ ลองชิมซุปดูก่อนเถิด เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
หลินมู่อวี่ชิมซุปเนื้อของฉินอินก่อนจะทำหน้าพะอืดพะอม
“รสชาติถูกปากหรือไม่เจ้าคะ?”
“อืม…”
“แล้วเหตุใดจึงตอบเสียงเยี่ยงม้าเช่นนี้เล่า?”
“ข้าอยากถามว่า…เจ้าใส่เกลือไปเท่าไร?”
“มันเค็มถึงเพียงนั้นเชียวหรือเจ้าคะ?”
“ไม่…ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เป็นความผิดของเกลือต่างหาก…”
………………