ในบรรดาทหารทั้งห้าสิบนายที่มารวมตัวกัน มีเพียงคนเดียวที่มีพลังยุทธ์สูงสุดอยู่ขอบเขตนภาขั้นหนึ่งซึ่งเหมือนจะเป็นหัวหน้ากอง ช่างไม่สมกับเป็นทหารลาดตระเวนที่มีกองกำลังเทียบเท่ากับกองทหารรักษาการณ์แห่งเมืองหยาดสายัณห์เอาเสียเลย เมืองหลันเยี่ยนมีประชากรห้าล้านคน กำลังทหารหนึ่งแสนแปดหมื่นนาย ในขณะที่เมืองหยาดสายัณห์มีประชากรสี่ล้านสองแสนคน แต่กลับมีกำลังทหารกว่าสองแสนห้าหมื่นนาย มากกว่าเมืองหลวงเสียอีก!
หลินมู่อวี่ที่สวมเกราะเทวะเอ่ยถาม “จากชุดที่ข้าใส่อยู่นี้ เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร?”
หัวหน้ากองมองอย่างพิจารณา ก่อนจะตกตะลึงและรีบคำนับด้วยความเคารพ “ข้าไม่คิดว่าจะเป็นผู้ทรงเกียรติแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์…เนื่องจากเราไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กันมาก แล้วท่านมีธุระสำคัญอันใดหรือไม่ขอรับ? โปรดแสดงใบอนุญาตมิเช่นนั้นข้าคงให้ท่านเข้าเมืองหยาดสายัณห์ไม่ได้”
“ข้าไม่มีใบอนุญาตที่เจ้าต้องการ…” หลินมู่อวี่ชะงัก เขาจำได้ว่าฉินจิ้นไม่เคยเอ่ยถึงใบผ่านทางนี้มาก่อน
“ท่านผู้ทรงเกียรติมาจากป่าล่ามังกรหรือขอรับ?” หัวหน้ากองเอ่ยถาม
“ใช่ เรามาตามเส้นทางต้าวเจียง”
“ต้าวเจียงอย่างนั้นหรือ?!” หัวหน้ากองมีสีหน้าตกใจอย่างยิ่ง “ท่านมาจากต้าวเจียงจริงๆ อย่างนั้นหรือ? พระเจ้า…เมื่อประมาณครึ่งปีก่อน ท่านหยุนกงได้มีคำสั่งให้ทำการปิดป่าล่ามังกรฝั่งต้าวเจียงให้เป็นเขตอภัยทาน เนื่องจากที่นั่น…มีอสูรน่ากลัวซ่อนตัวอยู่มาก ท่านคงไม่ได้รับอัตรายใดระหว่างทางมานะขอรับ?”
หลินมู่อวี่ไม่อยากพูดถึงมังกรเกราะน้ำแข็งที่เจอในแม่น้ำต้าวเจียง จึงพยายามพูดเลี่ยง “ถึงจะบอกว่ามาทางต้าวเจียง ทว่าเราเพียงผ่านจากไกลๆ เท่านั้น จึงไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นด้านในนั้นบ้าง และในตอนนี้ข้าต้องการเข้าพบท่านหยุนกง ข้าอยากจะรบกวนพวกเจ้าสักคนช่วยไปส่งข้าในเมืองหยาดสายัณห์หน่อยจะได้หรือไม่?”
“เข้าพบท่านหยุนกงอย่างนั้นหรือ?” หัวหน้ากองเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ข้าไม่เคยทราบมาก่อนว่าท่านหยุนกงติดต่อกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ หากท่านต้องการพบเขา…โปรดแสดงสถานะของท่านในวิหารศักดิ์สิทธิ์ว่าท่านเป็นใคร เผื่อข้าอาจรู้จัก หากท่านมีชื่อเสียงมากพอ…”
“ข้ามีนามว่าหลินมู่อวี่”
“หืม?”
เมื่อได้ฟังดังนั้นกองทหารลาดตระเวนแห่งเมืองหยาดสายัณห์ต่างพากันตกตะลึงและรีบทำความเคารพแก่หลินมู่อวี่ แม้แต่ทหารที่อยู่บนหลังม้ายังต้องรีบลงมาเพื่อให้เกียรติ เพราะหากชายตรงหน้าคือหลินมู่อวี่จริง พวกเขาจะทำเพิกเฉยไม่ได้ ชายผู้เป็นถึงหนึ่งในสามผู้บัญชาการองครักษ์อวี้หลิน หนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งหลันเยี่ยน และที่สำคัญคือบุตรบุญธรรมแห่งจักรพรรดิฉินจิ้น มิเช่นนั้นแล้วคงโดนโทษทัณฑ์อย่างมิอาจให้อภัยได้เป็นแน่
หัวหน้ากองมองหลินมู่อวี่ด้วยความหวั่นเกรงก่อนจะเอ่ยถาม “ท่าน…ท่านคือวีรบุรุษผู้ชนะงานประลองยุทธ์ แม่ทัพผู้บ้าบิ่นหลินมู่อวี่ใช่หรือไม่ขอรับ?”
“แล้วเหตุใดข้าต้องโป้ปดด้วยเล่า?”
“เช่นนั้นได้โปรดให้อภัยที่ข้าล่วงเกินด้วยขอรับ ท่านอยากให้ข้าชดใช้ด้วยสิ่งใดหรือไม่?”
หลินมู่อวี่ไม่โต้ตอบอันใด
เป็นเวลาเดียวกับฉินอินที่เปิดผ้าคลุมหัว เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามจนผู้ได้เห็นตกตะลึงก่อนจะเอ่ย “ให้ข้าลองคุยดูได้หรือไม่?”
ทุกคนอ้าปากค้าง หัวหน้ากองกลืนน้ำลายเฮือกเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้า…ข้าเคยพบท่าน…องค์หญิงฉินอิน!”
ฉินอินพยักหน้า “หากเจ้ารู้จักข้าอยู่แล้วก็ดีเลย…”
กองทหารลาดตระเวนคุกเข่าลงโดยพลัน แม้แต่ทหารม้าที่ผ่านไปมาบริเวณนั้นเมื่อได้ยินชื่อฉินอินก็พร้อมใจกันคุกเข่าจนเต็มสองฝั่งถนน
หลินมู่อวี่ที่ยืนอยู่ข้างฉินอินปลาบปลื้มใจอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกของการมีอำนาจเป็นเช่นนี้นี่เอง…
…
“ลุกขึ้นเถิด…”
ฉินอินยิ้มพลางยกมือขึ้นเป็นเชิงบอกให้ลุกก่อนจะกล่าวต่อ
“สาเหตุที่ข้าปลอมตัวเข้าเมืองหยาดสายัณห์ครั้งนี้ เพราะข้ามีเรื่องสำคัญอยากปรึกษาท่านปู่ พวกเจ้ากลับขึ้นม้าและอย่าได้เอ่ยสิ่งใด พาข้าเข้าเมืองไปพบท่านก็พอ”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ!” หัวหน้ากองตอบรับก่อนจะจูงบังเหียนม้าของฉินอินไป “ข้าน้อยจะจูงม้าให้เองพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินอินยิ้มรับ “อย่าเลย ทำเสมือนข้าเป็นหนึ่งในกองทหาร อย่าให้ใครรู้ว่าเป็นข้า”
“ตามบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านพี่ขึ้นม้าเถิดเจ้าค่ะ เราจะเข้าเมืองกันแล้ว” ฉินอินหันไปหาหลินมู่อวี่
หลินมู่อวี่รู้สึกปลอดภัยออย่างมากจากการคุ้มกันของทหารม้าโดยรอบ และเดินทางเข้าเมืองไปอย่างช้าๆ
เมืองหยาดสายัณห์เป็นหนึ่งในสามเมืองหลักที่อยู่ทางเหนือของอาณาจักร ซึ่งประกอบไปด้วยเมืองชีไห่และเมืองทงเทียน ภูมิอากาศอันหนาวเย็นกว่าเมืองหลันเยี่ยนมาก จึงทำให้กองทัพอวี้หลินที่ประจำอยู่เมืองแถบนี้มีร่างกายที่ทนทานเป็นพิเศษ เมื่อครั้งฉินจิ้นขึ้นครองราชย์โลกกำลังตกอยู่ในความโกลาหล ทะเลทรายทางเหนือถูกรุกรานโดยคนเถื่อนที่มาจากทางใต้ ในตอนนั้นฉินจิ้นได้ทำการอภิเษกกับซูหยุนบุตรตรีแห่งซูมู่หยุน ผู้เป็นแม่ของฉินอิน ด้วยความความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นนี้จึงทำให้เมืองหยาดสายัณห์และเมืองหลันเยี่ยนเป็นดั่งเมืองพี่เมืองน้องกัน
เมื่อเข้าสู่ตัวเมืองหลินมู่อวี่หันมองโดยรอบ เมืองนี้มีการจัดการเป็นระบบอย่างดี การอารักขาแน่นหนากว่าเมืองหลันเยี่ยนมาก ประชาชนก็อยู่กันอย่างมีความสุขซึ่งสังเกตได้จากรอยยิ้มบนใบหน้า หลินมู่อวี่ประทับใจกับภาพที่ได้เห็นเป็นอย่างมาก มันแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์การปกครองของมู่หยุนกงเป็นอย่างดี
ระหว่างทางที่เดินอยู่บนถนนกว่ายี่สิบนาที กลุ่มม้าสวมเกราะเหล็กกว่าพันคนก็ปรากฏตัวขึ้น ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบห้าปีคนหนึ่งลงจากม้า เขาสวมชุดเกราะพร้อมผ้าคลุมหรูหราและสง่างาม ในมือมีหอกยาวสะท้อนแสงแวววาว เดินเข้าหากลุ่มหลินมู่อวี่ด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดซูฉินผู้นี้ก็ได้พบท่าน เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงอิน! “
ฉินอินยิ้มให้แก่ชายเบื้องหน้าก่อนจะลงจากม้าและเข้าไปจับมือ “ท่านลุงกำลังทำให้ข้าอายนะเจ้าคะ!”
ซูฉินหัวเราะพลางมองหน้าฉินอิน “ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน เสี่ยวอินเพิ่งอายุสิบห้าเองแท้ๆ ดูเจ้าตอนนี้สิ…หุ่นผอมเพรียวน่ามอง สมกับที่ลือกันไปทั่วอาณาจักรว่าเสี่ยวอินผู้นี้คือหญิงที่งามที่สุดในโลก!”
ฉินอินยิ้มอย่างขวยเขิน “ท่านลุงข้าขอแนะนำเจ้าค่ะ คนผู้นี้คือหลินมู่อวี่ เป็นบุตรชายอีกคนของท่านพ่อและเป็นพี่ของเสี่ยวอินเจ้าค่ะ”
หลินมู่อวี่ลงจากม้าและก้าวเข้าไปหาซูฉินพลางคำนับ “ยินดีที่ได้พบขอรับ ท่านซูฉินผู้ยิ่งใหญ่!”
ซูฉิน…บุตรชายเพียงคนเดียวของมู่หยุนกง เป็นแม่ทัพแห่งกองกำลังเขี้ยวกระบี่หนึ่งแสนคน จากที่ได้ยินมาในวงทหารมีน้อยคนนักจะได้เข้าร่วม
“ยินดีที่ได้พบเช่นกัน!”
ทันใดนั้นซูฉินก็ชกหมัดออกไปด้วยจิตสังหาร! กำปั้นเขาห่างจากหลินมู่อวี่เพียงสิบเซนติเมตรเท่านั้น หลินมู่อวี่ไม่ยอมแพ้พร้อมจิตสังหารของตนเข้าปะทะเช่นกัน ตาแก่นี่อยากทดสอบพลังอย่างนั้นรึ?
หลินมู่อวี่แผ่รัศมีพลังออกมาด้วยความไม่พอใจจนซูฉินต้องรีบถอยไปหลายก้าว คลื่นพลังที่ขยายออกจากตัวหลินมู่อวี่แสดงให้เห็นแล้วว่าใครเป็นผู้ชนะ พลังยุทธ์ของซูฉินอยู่เพียงขอบเขตนภาขั้นหนึ่ง ในขณะที่หลินมู่อวี่บรรลุสู่ขั้นสองแล้ว หากคิดจะเทียบกันแล้วเขายังช้าไปหนึ่งก้าว!
“พอแล้วล่ะ พ่อยอดฝีมือ!”
ซูฉินหัวเราะลั่น “หลินมู่อวี่ วีรบุรุษอันดับสองแห่งเมืองหลันเยี่ยนช่างน่าชื่มชมยิ่งนัก ตามข้ามาเถิดอาอวี่…เสี่ยวอิน ข้าเตรียมอาหารเช้ากับไวน์ชั้นดีไว้รอแล้ว!”
“ขอบพระคุณขอรับ!”
หลินมู่อวี่ยังคงความเคารพกฎเหล็กของโลกนี้ที่ตนได้เรียนรู้เสมอ จงซ่อนเร้นพลังเพื่อไม่ให้เป็นภัยต่อตัวเอง เพราะต่อให้มีพลังมาแค่ไหนก็มิอาจรับรองได้ว่าจะชนะ ดังเช่นราชาปีศาจเจ็ดประทีปผู้อวดอ้างตนเป็นที่หนึ่งของโลก ทว่าท้ายที่สุดกลับพ่ายแพ้เพราะความหยิ่งผยองของตน
ขณะกำลังคิดอยู่ภายในใจ ราชาปีศาจเจ็ดประทีปก็ตื่นขึ้นใจทะเลจิต “ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้ากำลังกล่าวหาราชาอย่างข้าอยู่รึ? ไอ้คนอ่อนแอบังอาจนินทาข้าลับหลัง ไอ้เด็กอกตัญญู!”
หลินมู่อวี่ไม่ตอบโต้อันใดนอกจากตั้งสมาธิกดปีศาจให้กลับเข้าไปยังส่วนลึกของทะเลจิต เพื่อไม่ต้องทนฟังเสียงน่ารำคาญ
…
แม้เมืองหยาดสายัณห์จะถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองที่โด่งดังที่สุด…ทว่ากลับไม่มีตำหนักสักหลัง มีเพียงจวนหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง หลินมู่อวี่และฉินอินเข้าไปด้านในจวนที่มีทหารองครักษ์แน่นหนาอยู่ ไม่ไกลนักมีชายชราคนหนึ่งสวมผ้าคลุมลายงูเหลือมสีทองอ่อนถือไม้เท้าเดินออกมา “เสี่ยวอินหลานรัก ในที่สุดก็อยากเจอตาแล้วหรือ?”
ฉินอินรวบกระโปรงแล้ววิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของซูมู่หยุนทันที “ท่านตา!”
ซูมู่หยุนยิ้มแก้มปริก่อนสวมกอดฉินอินพลางกล่าว “เสี่ยวอินของตาโตถึงเพียงนี้เชียวหรือ? โอ้…เบาหน่อย เดี๋ยวตาก็หอบหืดกำเริบกันพอดี”
ฉินอินหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผละออกจากซูมู่หยุน “ท่านตาไม่ไปเยี่ยมข้าที่เมืองหลวงนามากแล้ว ท่านตาไม่คิดถึงข้าบ้างเลยหรือเจ้าคะ?
“เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้นเล่า?”
ซูมู่หยุนจับมือหลานสาวของตนก่อนจะมองหน้าพลางกล่าว “เสี่ยวอิน…เจ้าช่างหน้าตาเหมือนแม่เสียจริง การมองหน้าเจ้าเช่นนี้เหมือนได้เห็นลูกสาวตัวเอง เพียงพริบตาข้าเกือบจะคิดว่าอาหยุนยังมีชีวิตอยู่เสียแล้ว…”
ฉินอินตาแดงก่ำพยายามกลั้นอารมณ์เอาไว้ “อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ มาเถิด…ข้าจะแนะนำใครบางคนให้รู้จัก!”
ซูมู่หยุนเหลือบมองหลินมู่อวี่ที่อยู่ด้านหลัง “ไม่ต้องแนะนำข้าหรอก ชายผู้นี้คือหลินมู่อวี่…หนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งหลันเยี่ยนใช่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่ทำการคำนับด้วยความเคารพ “ข้าน้อยหลินมู่อวี่ ยินดีที่ได้พบท่านหยุนกงขอรับ!”
“อืม…ข้าก็เช่นกัน”
ซูมู่หยุนประคองหลินมู่อวี่ขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เข้าไปด้านในก่อนเถิด ข้ารู้ว่าเจ้ากับเสี่ยวอินต้องปลอมตัวเข้ามณฑลอวิ้นจงเพื่อความปลอดภัย ระหว่างเดินทางคงเหนื่อยมากใช่หรือไม่? ข้าเตรียมอาหารและเครื่องดื่มรสดีไว้ให้แล้ว ค่อยกินและคุยไปพลางเถิด…”
“เจ้าค่ะ” ฉินอินพยักหน้ายิ้ม
ด้านหลังจวนหยุนกง โต๊ะใหญ่พร้อมอาหารและไวน์ชั้นดีถูกจัดเตรียมไว้ก่อนแล้ว เพราะการมาของฉินอินทำให้ผู้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่ามิอาจร่วมโต๊ะอาหารค่ำด้วยได้ จึงมีเพียงสี่คนคือซูมู่หยุน ซูฉิน ฉินอิน และหลินมู่อวี่ ทว่าสำหรับหลินมู่อวี่เขาคิดว่าคนเท่านี้ก็พอแล้ว จะได้กินกันให้อิ่มหนำ…
…
หลังจากรับประทานอาหารกันเรียบร้อย ซูมู่หยุนและซูฉินก็มองหน้ากันก่อนจะลุกขึ้นถอยหลังและทำการคุกเข่าถวายบังคมลงกับพื้นพลันเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียง “ข้าซูมู่หยุน…ข้าซูฉิน น้อมรับฟังคำบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”
…………………