ในช่วงเย็น ณ โถงตำหนักเจ๋อเทียนได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองให้ซูฉิน หลินมู่อวี่ และคนอื่นๆ ในขณะที่หัวของกบฏหูเถี่ยหนิงถูกปักประจานบนไม้ไผ่สูงเหนือจัตุรัส
เซี่ยงอวี้ยืนถือดาบของเขาอย่างเงียบงันบนทางเดินขณะที่เงยหน้ามองหัวของหูเถี่ยหนิงด้วยสายตาอาฆาต
เสินโหวเจิ้งอี้ฝานด้านข้างกล่าวแผ่วเบา “ท่านหูเถี่ยหนิงเป็นคนซื่อตรงมาทั้งชีวิต เขาคงไม่คาดคิดว่าบั้นปลายชีวิตจะลงเอยเช่นนี้…ฟอกเหรียญทองไว้ใช้เอง ช่างโง่เง่ายิ่งนัก กระนั้นเขาก็เป็นถึงขุนนางแต่กลับถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรม อา…ช่างน่าเศร้าใจ ท่านเซี่ยงอวี้ข้าเสียใจด้วยอย่างแท้จริง!”
เซี้ยงอวี้เผยรอยยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “คำพูดของเสินโหวยอดเยี่ยมมาก…แม้ว่าหูเถี่ยหนิงจะเป็นลุงของข้าและยังเป็นขุนนางชั้นสูงแห่งจักรวรรดิ เขารู้เรื่องกฎดีและอย่างฝ่าฝืนเช่นนี้ มันจึงเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง ไม่สามารถโทษใครได้…แต่หลานอย่างข้าควรตักเตือนเขา”
เจิ้งอี้ฝานยิ้มเล็กน้อย “เป็นเรื่องดีที่ท่านเซี่ยงอวี้คิดเช่นนั้น หากสามารถแยกแยะเรื่องส่วนตัวและส่วนรวมได้อย่างท่านเซี่ยงอวี้ แผ่นดินนี้คงสงบสุข!”
ดวงตาเจิ้งอี้ฝานเย็นชาขณะที่กล่าวต่อ “กระนั้นข้าได้ยินมาว่า…แม่ของท่านเซี่ยงอวี้ก็อยู่ในเมืองห้าหุบเขาด้วยในคืนนั้นและเสียชีวิตท่ามกลางศึกโกลาหลที่เกิดขึ้น ข้าไม่ทราบว่าเรื่องจริงหรือไม่?”
เซี้ยงอวี้ปากกระตุกก่อนจะตอบว่า “ใช่!”
“ฮะ?”
เจิ้งอี้ฝานตื่นตะหนก “มันเป็นเรื่องจริง…โอ้ พระเจ้า มันช่าง…น่าแค้นเคืองยิ่งนัก หญิงชราได้อุทิศตนเพื่อจักรวรรดิ แล้วซูฉินทำเช่นนี้ลงได้อย่างไร! ท่านเซี้ยงอวี้ข้าเสียใจด้วยจริงๆ”
ฝ่ามือเซี้ยงอวี้เลื่อนไปบนด้ามดาบอย่างแผ่วเบา “ข้าจะไปหาท่านแม่ในวันรุ่งขึ้น ขอบคุณท่านเสินโหวสำหรับความห่วงใย ข้าสบายดี และรู้ว่า…นี่เป็นความผิดของท่านลุงหูเถี่ยหนิง มิใช่แม่ทัพซูฉิน”
“ท่านเซี้ยงอวี้และแม่ทัพซูฉินต่างก็เป็นเสาหลักของจักรวรรดิ เป็นเมล็ดพันธุ์ของชาติ หากเกิดความขัดแย้งระหว่างท่านทั้งสองคงไม่ดีแน่…”
“ฮ่าๆ เสินโหวมิต้องกังวล ข้าทำงานเพื่อจักรวรรดิร่วมกับแม่ทัพซูฉินได้โดยไม่มีความขุ่นเคืองใจ”
“ดี เช่นนั้นเข้าไปในงานเลี้ยงฉลองของแม่ทัพซูฉินกันเถิด”
“อืม เข้าไปกัน!”
“ท่านเซี่ยงอวี้เชิญขอรับ!”
…
คืนนี้มีแขกมาร่วมงานเกือบสามร้อยคน จักรพรรดิฉินจิ้นประทับบนบัลลังก์ของตำหนักเจ่อเทียน ด้านข้างมีโต๊ะของผู้บัญชาการฉินเหลยและเฟิงจี้เสิง ซึ่งมิได้หมายความว่าสถานะพวกเขาสูงมากเพียงใด ทว่าพวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องจักรพรรดิ และเพื่อความปลอดภัย โต๊ะของฉินอินและเสี่ยวซีถูกจัดไว้ที่ด้านซ้ายของหลินมู่อวี่ เพื่อที่เขาจะสามารถปกป้องพวกนางได้
ไกลออกไปคือโต๊ะของฉู่ฮว่ายเหมี่ยน จางเหว่ย เว่ยโฉว และคนอื่นๆ เหล่าทหารอวี้หลินที่เข้าสู่ขอบเขตนภาถูกจัดที่นั่งไว้ให้แล้วพร้อมอาวุธพวกเขา สำหรับคนนอกอย่างเหล่าแม่ทัพต่างเมืองและเสนาบดีจำเป็นต้องปลดอาวุธก่อนเข้าไปในตำหนักเจ๋อเทียน แม้แต่ซูฉิน ซูอวี่ เจิ้งอี้ฝาน และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้รับยกเว้น ซึ่งมันเป็นกฎที่ไม่มีใครสามารถฝ่าฝืนได้
หลังจากนั้นไม่นานงานเลี้ยงฉลองก็เริ่มขึ้น เหล่าขุนนางกลุ่มหนึ่งเต้นรำอยู่กลางโถงขณะที่นักดนตรีบรรเลงเพลง ฉินจิ้นยกจอกสุราและกล่าวว่า “หูเถี่ยหนิงแห่งมณฑลชางหนานทางใต้แอบฟอกเงินอย่างลับๆ องค์หญิงอิน แม่ทัพซูฉิน แม่ทัพหลินมู่อวี่ และคนอื่นๆ ประสบความสำเร็จในการปราบกบฏ ทุกคนโปรดยกจอกขึ้นมาแสดงความยินดีให้แก่พวกเขา!”
ทุกคนพลันยกจอกสุราและดื่มมันลงไป
หลินมู่อวี่ยกขึ้นดื่มอย่างเชื่องช้าขณะที่สายตาจับจ้องไปที่เซี่ยงอวี้ แม้ว่าเซี่ยงอวี้จะยิ้ม ทว่าจิตสังหารที่ส่งออกมาเมื่อมองซูฉินก็ไม่รอดพ้นสายตาหลินมู่อวี่
งานเลี้ยงเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาพร้อมอาหารอันโอชะถูกยกมาที่โต๊ะ ด้านหน้าหลินมู่อวี่มีอาหารอยู่หกจาน มันดูน่าอร่อยมาก เขาเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของผู้คนในงานเลี้ยงเป็นเวลานาน ทุกคนต่างรับประทานอาหารอย่างสนุกสนาน แม้แต่สุราในตำหนักก็เป็นของชั้นดีที่มีรสชาติกลมกล่อมมาก
ถังเสี่ยวซีและฉินอินพูดคุยกันอย่างมีความสุข เมื่อเห็นดังนั้นหลินมู่อวี่เริ่มวางใจ ก่อนจะลงมือทานอาหารตรงหน้า
เฟิงจี้สิง ฉู่ฮว่ายเหมี่ยน และคนอื่นๆ ไม่ดื่มสุราในคืนนี้ ดวงตาพยัคฆ์จ้องมองดูทุกสิ่งรอบตัว ทว่าจางเหว่ยเป็นคนหยาบกระด้าง เขาดื่มสุราไปกว่าครึ่งไห ก่อนจะเรอออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ดื่มต่อ
ไม่ไกลกันนักที่นั่งของชวีฉู่และเหล่ยหงถูกจัดไว้ถัดจากที่นั่งของซูมู่หยุน ทหารผ่านศึกทั้งสามคุยกันอย่างออกรสขณะที่มองมายังหลินมู่อวี่ ฉินอิน และถังเสี่ยวซีเป็นครั้งคราว ดูเหมือนว่ากำลังพูดถึงทั้งสามคนนี้ ทว่างานเลี้ยงเสียงดังเกินไป หลินมู่อวี่จึงไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด และแม้ว่าจะใช้ทักษะชีพจรวิญญาณแล้วก็ตาม
หลังจากนั้นไม่นานเหล่ยหงก็เดินมาหาหลินมู่อวี่พร้อมจอกสุรา ก่อนจะเอื้อมมือไปฉีกขากระต่ายและกัดเข้าไปคำใหญ่ “อืม อาหารในตำหนักอร่อยใช้ได้!”
หลินมู่อวี่เอ่ยขึ้นมาเบาๆ “นั่นมันของข้า…บนโต๊ะของผู้ดูแลก็มีอาหารจานนี้แท้ๆ…”
“อาหารของคนอื่นอร่อยกว่าน่ะ!” เหล่ยหงกัดอีกคำและกล่าวว่า “อาอวี่ มาดื่มกับปู่สิ!”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่ยกจอกและพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอให้ท่านปู่เหล่ยหงอายุยิ่งยืนยาวและเป็นอมตะ!”
“ฮ่าๆ ดี…”
เหล่ยหงดื่มอย่างมีความสุข เขาพลันเงยหน้ามองหลินมู่อวี่และพูดว่า “ช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิค่ายรังอินทรีจะไม่มีภารกิจใดๆ อาอวี่เจ้าจะกลับมาที่วิหารหรือไม่? สมาชิกใหม่ในวิหารต่างตั้งหน้าตั้งตารอพบเจ้าซึ่งเป็นหนึ่งในวีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน!”
“เป็นเช่นนั้นเอง…”
หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย “อืม ข้าจะให้เว่ยโฉวดูแลค่ายรังอินทรี จากนั้นข้าจะกลับไปอยู่ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหนึ่งเดือน ใต้เท้าคิดว่าดีหรือไม่ขอรับ?”
“ดีสิ!”
เหล่ยหงตบไหล่เขาและพูดว่า “เช่นนั้นปู่จะกลับไปที่วิหารหลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น และรวบรวมทุกคนเพื่อรอการกลับมาของเจ้า”
“ขอรับ!”
…
งานเลี้ยงกินเวลานานกว่าสองชั่วโมงและหลายคนก็ดื่มกันจนเมามาย ฉินจิ้นออกจากงานเลี้ยงไปก่อนเนื่องจากปัญหาสุขภาพ ฉินอินจึงอยู่ดูแลสถานการณ์ในงาน ถึงเวลาแล้วที่รัชทายาทจะต้องทำคะแนนกับเหล่าเสนาบดีเหล่านี้ มิเช่นนั้นหลังจากขึ้นครองบัลลังก์ ใครกันเล่าจะยอมจำนนให้สาวงามผู้นี้?
ในตอนท้ายของงานเลี้ยง หลินมู่อวี่ปล่อยพวกเว่ยโฉวไว้ที่ตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อรับผิดชอบความปลอดภัยขององค์จักรพรรดิและองค์หญิง ขณะที่หลินมู่อวี่พาถังเสี่ยวซีไปส่งที่จวนเจ้าเมือง
กลุ่มคนจำนวนหนึ่งขี่ม้าเคียงข้างกันบนทางเดินนอกตำหนักเจ๋อเทียน หลินมู่อวี่ ถังเสี่ยวซี ซูฉิน และซูอวี่อยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น ขณะที่หยุนกงนั่งอยู่บนรถม้าซึ่งเขาชรามากและอ่อนแอเกินกว่าจะทนต่อแรงโยกบนหลังม้า
“ท่านลุงและท่านป้าจะพักที่โรงเตี๊ยมคืนนี้จริงๆ หรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
ซูอวี่หัวเราะเล็กน้อย “เมืองหยาดสายัณห์ไม่มีจวนเจ้าเมืองในเมืองหลันเยี่ยน ดังนั้นข้าจึงต้องอาศัยในโรงเตี๊ยมเท่านั้น”
ถังเสี่ยวซีหัวเราะ “หากท่านป้าไม่ว่าสิ่งใด ก็สามารถมาพักที่จวนเจ้าเมืองชีไห่กับข้าได้เจ้าค่ะ จวนของเรามีห้องมากมาย และเพียงพอต่อคนรับใช้ด้วย”
ซูอวี่หัวเราะเบาๆ “คงมิรบกวนองค์หญิงซี เราจะออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่จึงต้องพักที่โรงเตี๊ยม จริงสิอาอวี่ เจ้าต้องพาองค์หญิงซีกลับจวนเจ้าเมือง องค์หญิงนำองครักษ์มาด้วยสี่นายเท่านั้นซึ่งมันไม่เพียงพอ เจ้าไปส่งนางแล้วค่อยกลับวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้วกัน”
หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ “ขอรับ”
…
หลังจากส่งมู่หยุนกง ซูฉิน และซูอวี่กลับโรงเตี๊ยม หลินมู่อวี่ก็พาถังเสี่ยวซีกลับจวนเจ้าเมืองชีไห่ จากนั้นก็กลับวิหารศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมาถึงวิหารหลินมู่อวี่หันมองสมาพันธ์โอสถและอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฉู่เหยา ขณะที่นึกถึงใบหน้างามและความอบอุ่นของฉู่เหยา พลันเกิดคลื่นประหลาดในใจของหลินมู่อวี่ ทว่านั่นก็ไม่สำคัญ…เขายังมีเวลามาเยี่ยมฉู่เหยาในครั้งหน้า
เมื่อมาถึงประตูวิหารเขาก็กล่าวอย่างเคารพ “ข้ากลับมาแล้ว เปิดประตูให้ข้าเข้าไป”
ทหารรักษาการณ์จำหลินมู่อวี่ได้ทันทีและรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง “ใต้เท้าหลินมู่อวี่กลับมาแล้วหรือขอรับ? เปิดประตู ให้ใต้เท้าเข้าไป!”
หลังจากเข้ามาในวิหารผู้ดูแลเกอหยางก็รออยู่ที่นั่นด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาที่วิหารศักดิ์สิทธิ์แล้วหรือ? ไปเถิด เข้าไปในโถง ผู้ดูแลและทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่!”
“ขอบคุณขอรับผู้ดูแลเกอหยาง”
เกอหยางเดินนำเข้ามาถึงโถงหลักของวิหารก่อนจะพบว่ามีผู้คนมากมายอยู่ที่นั่น เหล่าผู้ดูแล ครูฝึก และผู้ช่วยฝึกเกือบทั้งหมดมารวมตัวกัน พวกเขาดูเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืนเพื่อรอการกลับมาของหลินมู่อวี่
“พี่หลินมู่อวี่!”
ฉินเหยียนยิ้มทักทายมาจากระยะไกล
หลินมู่อวี่ยิ้มและพยักหน้ารับ จากนั้นก็เดินตามเกอหยางตรงไปทางเหล่ยหงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนกำลังรอบางสิ่งอย่างใจจดใจจ่อซึ่งทำให้หัวใจหลินมู่อวี่เต้นแรง นี่ดูไม่เหมือนการต้อนรับครูฝึก แต่เป็นพิธีการมากกว่า
ทว่านี่จะเป็นพิธีการอะไร?
ขณะเดียวกันเหล่ยหงพลันลุกขึ้นยืนและหัวเราะเสียงดัง “อย่างที่เราทราบกันดี ว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์มีสาขาอยู่ในทุกมณฑล และสาขาเมืองหลวงคือสาขาหลัก มีผู้ดูแลอาวุโสสองคนจากผู้ดูแลทั้งสิบสองคน ผู้ดูแลอาวุโสอีกคนออกไปท่องยุทธภพและหายไป ในบรรดาผู้ดูแลทั้งสิบสอง แปดคนกระจายออกไปดูแลสาขาวิหารศักดิ์สิทธิ์ในมณฑลหลักต่างๆ สำนักงานใหญ่ในเมืองหลวงมีเพียงแห่งเดียว ผู้ดูแลสี่คนจึงเพียงพอ ผู้ดูแลเจิ้งฟางลาออกเนื่องจากทะเลปราณแตกสลาย ทำให้ผู้ดูแลของวิหารขาดไปหนึ่งคน ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจแต่งตั้งหลินมู่อวี่ขึ้นเป็นหนึ่งในสี่ผู้ดูแลของวิหารศักดิ์สิทธิ์จากนี้เป็นต้นไป!”
หลินมู่อวี่ตกตะลึง “ผู้ดูแลอาวุโส ข้ามีเวลาไม่มากในวันธรรมดา ซึ่งมัน…จะดีหรือขอรับ?”
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร”
เหล่ยหงตบไหล่หลินมู่อวี่พร้อมหัวเราะ “นับจากนี้ไปหลินมู่อวี่มิใช่ครูฝึกระดับดาวสีทองอีกแล้ว แต่เป็นหนึ่งในสี่ผู้ดูแลวิหารศักดิ์สิทธิ์ หน้าที่หลักคือสอนครูฝึกในเรื่องทักษะการต่อสู้ต่างๆ เจ้าจะขัดข้องหรือไม่?”
ในฐานะครูฝึก ฉินเหยียนประสานมือทันทีและกล่าวว่า “ความแข็งแกร่งของพี่หลินมู่อวี่นั้นสูงกว่าพี่ฉินเหลย ซึ่งสามารถเอาชนะโซ่เทวะระดับหนึ่งได้ด้วยวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าระดับสิบ เขาสมควรได้เป็นผู้ดูแล ฉินเหยียนจะเป็นคนแรกที่เชื่อมั่นอย่างจริงใจ!”
ครูฝึกอีกคนพลันประสานมือกล่าว “ใต้เท้าหลินมู่อวี่สมควรได้ขึ้นเป็นผู้ดูแลขอรับ!”
จากนั้นทุกคนต่างให้การยอมรับ
เหล่ยหงหันกลับมาและยิ้ม “ดูสิ ทุกคนต่างคาดหวังให้เจ้าได้เป็นผู้ดูแล”
หลินมู่อวี่ทำอะไรไม่ถูก จึงเพียงพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะลองดูก่อน”
“จริงสิ เข้ามาเอาชุดใหม่ของผู้ดูแลวิหารไปด้วย”
“ขอรับ!”
………………….