ตลอดทั้งคืนมีข่าวลือแพร่สะพัดในเมืองหลันเยี่ยน ว่าแม่ทัพซูฉินแห่งเมืองหยาดสายัณห์ถูกลอบสังหารและเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทุกคนพูดถึงสิ่งนี้และเริ่มจับตามองเซี่ยงอวี้ผู้บัญชาการสารวัตรทหาร ซึ่งรู้กันดีว่าเขาเป็นผู้กระทำการอุกอาจมากที่สุด หากมีหลักฐานเพียงพอก็คงจะจับเขาได้ ทว่าทหารรักษาการณ์ในค่ายสารวัตรทหารต่างยืนยันว่าเซี่ยงอวี้มิได้ก้าวออกจากค่ายในคืนนั้น คำพูดพวกเขาน่าเชื่อถือ และแม้กระทั่งนำสุนัขมาดมกลิ่นพิสูจน์
…
ในช่วงเช้าตรู่ภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์เงียบสงบ
หลังจากผ่านไปหนึ่งคืนอาการบาดเจ็บภายในของหลินมู่อวี่ก็ได้รับการรักษาไปกว่าครึ่ง เขาพลันเดินออกจากห้องและเดินตรงไปที่โรงอาหารของวิหาร คนทำอาหารเอ่ยถามหลินมู่อวี่อย่างเคารพ “ผู้ดูแลหลิน ต้องการผักหรือเนื้อเพิ่มหรือไม่ขอรับ?”
หลินมู่อวี่ยิ้มจางๆ “ไม่เป็นไร ข้าขอแบบทุกครั้ง”
“ขอรับ!”
ซุปผักหนึ่งถ้วย และซาลาเปาสองลูก นี่คืออาหารเช้าของหลินมู่อวี่ แม้จะเป็นอาหารที่เขากินตอนที่เป็นครูฝึกก็ตาม มันไม่สำคัญนัก หลินมู่อวี่หยิบอาหารขึ้นมา และกราดตามองทั่วบริเวณ ในที่สุดก็เดินไปนั่งที่โต๊ะไม้ผุผังที่มุมห้อง โต๊ะตัวนี้ถูกแมลงกัดกินจนขาโต๊ะทรุด ผู้ที่นั่งตรงข้ามคือครูฝึกดาวสีทองแดง ‘ฉินจื่อหลิง’ ซึ่งห่างหายไปเป็นเวลานาน
“จื่อหลิง ไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ” หลินมู่อวี่ทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส
ฉินจื่อหลิงผงะก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพ “ผู้ดูแลหลินมู่อวี่…”
“เหตุใดจึงต้องประหม่าเช่นนั้น?”
หลินมู่อวี่กัดซาลาเปาและเงยหน้ามอง “นั่งลงแล้วกินเถิด ไม่นานก็จะถึงเวลาฝึกช่วงเช้าแล้ว เจ้าจะเข้าร่วมการฝึกได้อย่างไรหากกินไม่เพียงพอ?”
ฉินจื่อหลิงตกใจและกล่าวอย่างระมัดระวัง “ตอนนี้ท่านได้เป็นผู้ดูแลแล้ว…ท่านมิควรมาสุงสิงกับครูฝึกดาวสีทองแดงเช่นข้า…มิใช่หรือขอรับ?”
หลินมู่อวี่เหลือบมองฉินจื่อหลิงขณะที่แบ่งซาลาเปาโยนใส่ถ้วยซุปผักและกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบใจที่จะได้ยินเช่นนี้ จื่อหลิง พวกเราทุกคนต่างก็เป็นคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์และเป็นเพื่อนร่วมงาน ในสายตาข้าไม่มีใครสูงหรือต่ำกว่ากัน กินเถิด อย่างไรข้าก็ยังเป็นข้า เพียงแต่ข้ากลับมายังวิหารหลังจากออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์โลกภายนอก”
ฉินจื่อหลิงพยักหน้ารับ “อื้อ!”
ดูเหมือนว่าในสายตาฉินจื่อหลิง การที่ผู้ดูแลของวิหารยอมร่วมโต๊ะอาหารด้วยนั้นจะเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ฉินจื่อหลิงคิดว่าตราสัญลักษณ์ใบไม้สีทองบนคอหลินมู่อวี่เป็นสิ่งสูงส่งอย่างที่เขาไม่มีทางเอื้อมถึงได้!
…
หลังจากทานอาหารเสร็จหลินมู่อวี่ก็เดินเคียงข้างฉินจื่อหลิงไปยังโถงฝึกซ้อม ขณะเดียวกันเกอหยางก็เดินเข้ามาจากระยะไกล “อาอวี่ เจ้าเริ่มคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในวิหารอีกครั้งแล้วหรือไม่?”
หลินมู่อวี่ประสานมือ “ขอรับ อรุณสวัสดิ์ผู้ดูแลเกอหยาง”
“ฮ่าๆ ดี”
เกอหยางหันมองฉินจื่อหลิงและกล่าวว่า “ครูฝึกฉิน ข้ามีบางสิ่งต้องคุยกับผู้ดูแลหลิน เจ้าเข้าไปในโถงฝึกซ้อมก่อนเถิด!”
ฉินจื่อหลิงประสานมือกล่าว “ขอรับผู้ดูแลเกอหยาง”
หลังจากฉินจื่อหลิงจากไป เกอหยางก็มองตรงเข้าไปในตาของหลินมู่อวี่ “ตามตรอกซอกซอยต่างมีข่าวลือหนาหูเกี่ยวกับจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง นักฆ่าลอบสังหารแม่ทัพซูฉินที่โรงเตี๊ยมแห่งจักรวรรดิ ทว่าล้มเหลวเนื่องจากถูกขัดขวางจากจอมยุทธ์ผู้หนึ่ง อาอวี่…มีบางคนกล่าวว่าพวกเขาเห็นจอมยุทธ์ผู้นั้นถือโล่น้ำเต้าทองต่อสู้อยู่กลางอากาศ เหตุการณ์คืนนั้น…เกี่ยวข้องกับเจ้าใช่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่ถูจมูกและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นไปตามที่ผู้ดูแลเกอหยางกล่าวขอรับ ข้าอยู่ที่นั่น กระนั้นซูฉินเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
เกอหยางตอบกลับ “กล่าวกันว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าไม่รู้สถานการณ์ในตอนนี้มาก…ทว่ามู่หยุนกงโกรธมากและจะนำทหารออกจากเมืองหลันเยี่ยนเช้านี้ อีกทั้งข้าได้ยินมาว่าเฟิงจี้สิงจะนำกองทัพองครักษ์ห้าพันนายไปคุ้มกัน!”
“เป็นเช่นนี้เอง…”
“อาอวี่บอกข้ามาตามตรง ผู้ที่ลอบสังหารซูฉินเมื่อคืนเป็นผู้บัญชาการเซี่ยงอวี้ใช่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่ยิ้มจางๆ “ในเมื่อผู้ดูแลเกอหยางสามารถเดามันได้ เหตุใดจึงถามข้าอีก”
“ข้าเพียงต้องการให้เจ้ายืนยันมัน”
“หากข้ายืนยันมัน ตราบใดที่เซี่ยงอวี้ปฏิเสธ มันก็จะเป็นเพียงคำพูดของข้าฝ่ายเดียว ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องการพูดสิ่งใดอีก ท่านปู่เกอหยางคิดอย่างไรขอรับ?”
เกอหยางยิ้มและตบไหล่เขา “อาอวี่ เจ้าเป็นคนฉลาดและรอบคอบ ไปกันเถิด วันนี้เป็นวันแรกของเจ้าในฐานะผู้ดูแล และเป็นวันแรกที่เจ้าจะได้สอนเหล่าครูฝึก”
“หืม ข้ายังต้องสอนอีกหรือ?”
“ใช่ เจ้าอยู่ขอบเขตสวรรค์ชั้นที่สอง และอยู่ระดับราชันสวรรค์ เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าขณะนี้เจ้าได้อยู่จุดที่สูงสุดของวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้ว? หากเจ้าไม่สอน แล้วใครจะสามารถสอนกันเล่า?”
“ขอรับ…”
หลินมู่อวี่รู้สึกจนปัญญา เขาไม่มีสิ่งใดจะนำไปสอน หมัดเสียงปีศาจและกระดองเต่าทมิฬเป็นทักษะพิเศษของชวีฉู่ เขาจึงไม่สามารถนำมาสอนได้ ส่วนจิตควบคุมกระบี่นั้นล้ำลึกเกินกว่าครูฝึกเหล่านี้จะสามารถเรียนรู้ ซึ่งเป็นทักษะที่หลินมู่อวี่เรียนรู้จากผู้เฒ่ากระบี่ หลินมู่อวี่คงไม่สามารถถ่ายทอดมันให้แก่ครูฝึก แทบไม่ต้องพูดถึงพลังเจ็ดประทีป หลินมู่อวี่ไม่มีทางสอนให้ได้อย่างแน่นอน และครูฝึกส่วนใหญ่ก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอ เช่นนั้นเขาคงต้องสอนวิชาดาบพื้นฐานให้!
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะในใจ เขาจำเกมเก่าแก่ที่เรียกว่า ‘เลเจนด์’ ซึ่งทักษะทั่วไปของนักรบเป็นวิชาดาบพื้นฐาน ทักษะแรกที่ต้องเรียนรู้คือการพัฒนาทักษะโจมตี วิชาดาบพื้นฐานนี้หลินมู่อวี่ได้รับการฝึกฝนจากลมควบคุมกระบี่และการต่อสู้จริง เขาเชื่อว่ามันจะต้องมีประโยชน์อย่างยิ่งแก่ครูฝึกเหล่านี้
เมื่อหลินมู่อวี่มาถึงโถงฝึกซ้อมก็พบว่าฉินเหยียน หลี่หมิงข่าย และเหล่าครูฝึกระดับดาวสีทอง ดาวสีเงิน ดาวสีทองแดง และดาวโลหะ กำลังรอยู่ที่นั่นอย่างตื่นเต้น
เกอหยางถือม้วนหนังสือในมือและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช้านี้ ผู้ดูแลหลินมู่อวี่จะสอนพวกเจ้าทุกคน เข้ามาสิอาอวี่ กล่าวทักทายและพูดถึงสิ่งที่เจ้าจะสอนในวันนี้”
หลินมู่อวี่เดินไปตรงกลางโถงฝึกซ้อมก่อนจะประสานหมัดเคารพทุกคนและพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “กล่าวตามสัตย์จริง ทุกคนที่สามารถเข้าร่วมกับวิหารศักดิ์สิทธิ์และขึ้นเป็นครูฝึกต่างก็มีวิทยายุทธ์กันมาพอสมควรแล้ว ข้าหลินมู่อวี่กังวลใจเป็นอย่างมากและคงสอนได้เพียงวิชาดาบพื้นฐานเท่านั้น หวังว่าพวกท่านจะไม่ขุ่นเคือง”
ฉินเหยียนยิ้ม “พี่ชายเป็นถึงผู้ชนะเลิศในการประลองยุทธ์ และมีฝีมือดาบที่ไม่มีใครเทียบได้ เหตุใดจึงถ่อมตัว!”
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ทว่าคำพูดของฉินเหยียนเป็นนั้นไม่เป็นความจริง หลังจากได้ต่อสู้กับนักฆ่าลึกลับที่แม่น้ำต้าวเจียง หลินมู่อวี่ก็ไม่มั่นใจในฝีมือดาบอีกต่อไป นักฆ่าผู้นั้นสามารถทำลายเพลงดาบเก้าวายุได้ด้วยดาบเดียว นี่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ยิ่ง
หลินมู่อวี่ไคว้แขนโดยไม่พูดสิ่งใด ทันใดนั้น! กระบี่วิญญาณมังกรด้านหลังก็บินออกจากฝัก ‘ชิ้ง!’ มันลอยวนอยู่ในอากาศก่อนจะตกลงบนมือหลินมู่อวี่ เขาตวัดดาบออกไปอย่างรวดเร็ว
‘ชิ้ง!’
เสียงผ่าอากาศดังขึ้นราวกับสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แม้กระบี่เล่มนี้จะดูธรรมดา ทว่าพลังดูน่าเกรงขามมาก จนทำให้ทุกคนตกตะลึง แม้ว่าการเคลื่อนไหวของกระบี่จะเรียบง่าย ทว่าเจตจำนงของกระบี่นั้นไม่ธรรมดาเลย
เจิ้งซานเหอครูฝึกดาวทองสะดุ้งเล็กน้อยและกล่าวว่า “วิถีดาบของผู้ดูแลหลินเรียบง่ายและซื่อตรง ทว่าความแข็งแกร่งนั้นทรงพลังมาก!”
หลินมู่อวี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะขึ้นไปเหยียบบนกระบี่ที่ลอยในอากาศด้วยทักษะลมควบคุมกระบี่ เขากระโดดออกไปด้านหน้าอีกหลายสิบก้าว ใบดาบสะท้อนแสงออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว หากพุ่งเข้าสู่กองทัพด้วยพลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ อาจทำให้คนนับพันตายภายใต้คมดาบของหลินมู่อวี่อย่างรวดเร็ว
“รูปแบบทำลาย”
หลินมู่อวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “มันถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นกระบวนท่าสังหาร การฝึกนั้นเรียบง่าย ทว่าใช้ได้จริงกับทหารธรรมดาเท่านั้น”
กลุ่มครูฝึกพยักหน้ารับอย่างเงียบงัน ความจริงแล้วพวกเขาหลายคนมองไม่สามารถมองเห็นขั้นตอนของหลินมู่อวี่อย่างชัดเจนนัก องศาการหมุนข้อมือนั้นเร็วเกินไป มีดาบตัดผ่านอย่างน้อยยี่สิบครั้งในห้าวินาที ซึ่งคนธรรมดาคงไม่มีทางทำได้
หลังจากร่ายรำครบกระบวนท่า หลินมู่อวี่พลันยกมือขึ้น แล้วกระบี่เล่มยาวก็ลอยกลับเข้าฝักด้วยตัวมันเอง ปราณยุทธ์ควบแน่นอยู่บนร่างกายพร้อมเสื้อคลุมวิหารที่ปลิวไสวขณะที่หลินมู่อวี่ผ่อนลมหายใจ
“ยอดเยี่ยม!”
ฉินเหยียนปรบมือเสียงดัง จนดึงดูดครูฝึกหลายคนที่กำลังตกตะลึง
ต่อไปเป็นขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น หลินมู่อวี่ได้กลายเป็นครูฝึกสอนวิชาดาบในวิหาร เพลงดาบที่หกแห่งวิทยายุทธ์จักรวรรดิฉิน ‘กระบี่เหินเวหา’ เพลงดาบอันดับหนึ่งซึ่งแสดงถึงศักยภาพของหลินมู่อวี่ในฐานะครูฝึก จากนั้นตลอดทั้งช่วงเช้าเขาจึงถ่ายทอดวิชาดาบให้เหล่าครูฝึก
ยามบ่ายเขาเฝ้าดูการฝึกฝนของครูฝึกและผู้ช่วยฝึก จากนั้นก็เข้าฌานพร้อมกระบี่วิญญาณมังกรที่มุมหนึ่งของโถงฝึกซ้อม
…
การต่อสู้กับมือสังหารลึกลับพลันแล่นเข้ามาในจิตใจหลินมู่อวี่ สาเหตุสำคัญที่ทำให้หลินมู่อวี่พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงก็คือการที่เขาไม่เข้าใจวิชาดาบของคู่ต่อสู้ อีกทั้งดาบของนักฆ่ามีพลังดึงดูดที่แข็งแกร่งราวกับแม่เหล็ก ซึ่งสามารถทำให้เขาเสียศูนย์ได้อย่างรวดเร็ว หลินมู่อวี่ได้แต่ครุ่นคิด…พลังดูดนั้นมาจากไหนกัน?
‘วิ้ง…’
หลินมู่อวี่ค่อยๆ พลิกฝ่ามือ กระบี่วิญญาณมังกรกหมุนควงในอากาศอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นผลจากพลังหมุน
ทันใดนั้นก้นบึ้งหัวใจของหลินมู่อวี่พลันสว่างวาบขึ้นมา ใช่แล้ว! หากเขาสามารถทำให้กระบี่วิญญาณมังกรหมุนควงได้ แล้วถ้ากระบี่ไม่แสดงพลังหมุนล่ะ…มันอาจสามารถใช้เพื่อ ‘ดูด’ อาวุธของคู่ต่อสู้ได้หรือไม่?”
พูดง่าย แต่คงทำยาก
ตลอดทั้งบ่ายหลินมู่อวี่พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะใช้ปราณสร้างพลังหมุน แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด กระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็น เขาพยายามรวบรวมพลังหมุนสามเกลียวในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้น! ปลายใบดาบก็เกิดแรงดูดอย่างรุนแรงพร้อมเสียงหวีดหวิวในอากาศ
หลินมู่อวี่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาแทบรอไม่ไหวที่จะลองทดสอบกับใครสักคน ใช่แล้ว…ฉินจื่อหลิง!
…
ฉินจื่อหลิงถือดาบเหล็กยืนตะลึงงันขณะที่มองไปที่หลินมู่อวี่อย่างประหลาดใจ “ผู้ดูแลหลิน…ครูฝึกระดับดาวสีทองแดงเช่นข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้ท่านได้อย่างไร?”
หลิมู่อวี่หัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไร เราจะไม่ฝึกหนักมาก จื่อหลิงเพียงโจมตีข้าด้วยดาบยาวนั่นก็พอ”
“ขอรับ!”
ฉินจื่อหลิงตะโกนก้องพร้อมวิญญาณยุทธ์ดอกหางสุนัขปรากฏขึ้นบนใบดาบ เขาพลันตวัดดาบทันที ‘ชิ้ง!’ เสียงดาบแหวกอากาศจากจอมยุทธ์ขอบเขตมนุษย์ชั้นที่สามซึ่งไม่ธรรมดาเลย
ทว่าในสายตาหลินมู่อวี่ดาบเล่มนี้ช้าเกินไปราวกับเป็นภาพเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า หรือนี่คือความแตกต่างของขอบเขตพลังยุทธ์?
กระบี่วิญญาณมังกรส่งเสียงออกมาแผ่วเบา หลินมู่อวี่พลิกข้อมือเล็กน้อย ทันใดนั้น! พลังหมุนสามแห่งก็ปรากฏขึ้นพร้อมกันบนกระบี่วิญญาณมังกร กระบี่ยาวหมุนควงรอบดาบของฉินจื่อหลิงราวกับมังกรพร้อมส่งเสียงหวีดหวิว เมื่อหลินมู่อวี่เรียกกระบี่กลับ ดาบของฉินจื่อหลิงก็หลุดออกจากมือ ‘เคร้ง’ มันลอยไปกระแทกกำแพงด้านหลังอย่างรวดเร็ว!
“นั่น…”
ฉินจื่อหลิงตกตะลึง “นั่นมันเวทมนตร์อะไรกัน?!”
…………………..