หลินมู่อวี่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ผู้บัญชาการของกองทัพเขาเหิน คือฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน…เขาเปรียบเสมือนพี่ชายข้า ข้าจะเขียนจดหมายถึงเขา รับรองว่าเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มมังกรผงาดของเรา ฉะนั้นอย่ากังวลไป”
“ง่ายถึงเพียงนี้เชียว!” เฟิงสี่ยิ้มร่า “ท่านรู้เบื้องหลังของกลุ่มมีดสังหารและเพลิงศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ขอรับ?”
“รู้!”
หลินมู่อวี่กล่าวต่อ “แรกเริ่มหัวหน้าของกลุ่มเพลิงศักดิ์สิทธิ์คือผู้บัญชาการแห่งทหารค่ายเสิยเวยที่ถูกขับไล่เพราะก่ออาชญากรรม ผู้ที่คอยหนุนหลังกลุ่มนี้อยู่คือเสินโหวเจิ้งอี้ฝาน ส่วนกลุ่มมีดสังหารนั้นนับได้ว่าเป็นกองกำลังส่วนตัวของอวี่เหวินเซี่ย! เพราะได้รับอาวุธ ชุดเกราะ อาหารและเงินเลี้ยงชีพจากแม่ทัพพิทักษ์เมืองผู้นี้”
“หากท่านรู้เช่นนี้แล้ว…” เฟิงสี่เผยสีหน้าตึงเครียด “ยังจะสู้รบกับพวกมันอยู่อีกหรือขอรับ?”
“อย่ากังวล”
หลินมู่อวี่เอนหลังพิงเก้าอี้ “กฎของจักรวรรดิคือห้ามมีการฝึกฝนกองทัพส่วนตัว อวี่เหวินเซี่ยและเจิ้งอี้ฝานต่างก็รู้กฎข้อนี้ดี ดังนั้นเรื่องการรบของกลุ่มทหารรับจ้างนี้จะไม่มีทางแพร่งพรายง่ายๆ แน่ ส่วนข้ายังมีเหรียญตรามังกรทองไว้ใช้เพื่อเป็นข้ออ้างในการเรียกกลุ่มมังกรผงาดมาช่วยได้จึงไม่เป็นปัญหา ที่สำคัญแม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยไม่มีกองกำลังทหารเป็นของตัวเอง…จึงไม่มีสิ่งใดต้องกลัว”
เฟิงสี่พยักหน้าก่อนจะถามต่อ “เช่นนั้นหากเจิ้งอี้ฝานใช้ทัพเสินเวยเข้าช่วยเราจะทำอย่างไรขอรับ?”
“กองทัพเสินเวยรึ?”
หลินมู่อวี่สูดหายใจลึก “หากเจิ้งอี้ฝานคิดจะใช้กองทัพเสินเวยเข้าโจมตีทหารรับจ้างที่ได้รับการรับรองจากจักรวรรดิอย่างเราก็เท่ากับว่าเขาฝ่าฝืนกฎ ดังนั้นถ้ากองทัพเสินเวยยังกล้าบุกอีก ก็เป็นเรื่องที่ดีกลุ่มมังกรผงาดของเราจะใช้เป็นข้ออ้างกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก”
เฟิงสี่ประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านผู้บัญชาการช่างใส่ใจกลุ่มมังกรผงาดมากจริงๆ…”
“อะไร? ค่ายเสินเวยนั้นเปรียบเสมือนหายนะของเมืองหลันเยี่ยนอยู่แล้ว ข้าเพียงต้องการกำจัดเสี้ยนหนามนี้ออกไปให้พ้นทาง ทว่าที่ผ่านมายังไม่สบโอกาสเท่านั้นเอง”
“ข้าเห็นด้วยขอรับ ข้าจะทำตามที่ท่านสั่งทุกประการ”
“อืม เช่นนั้นก็ไปได้แล้ว”
…
เฟิงสี่ออกจากห้องไปแล้ว ทว่าหลินมู่อวี่ยังคงเอนหลังพิงเก้าอี้ครุ่นคิดอยู่ เมืองหลันเยี่ยนเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิและมีการปะทะระหว่างกลุ่มทหารรับจ้างด้วยกันบ่อยครั้งที่สุดในบรรดาสิบสองมณฑล ถึงกระนั้นการรบกันของทหารรับจ้างกว่าหมื่นคนนั้นแทบไม่ต่างจากสงครามใหญ่ จนเกินกว่าที่มณฑลอวิ้นจงและชางหนานจะสามารถควบคุมได้
อย่างไรก็ตาม ทางจักรวรรดิก็มิได้นิ่งนอนใจกับการเพิ่มจำนวนขึ้นของทหารรับจ้าง อันที่จริงกลุ่มทหารรับจ้างใหญ่ๆ บางกลุ่มได้รับการหนุนหลังจากขุนนางอยู่แล้ว จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ก่อตั้งฉินอี้ต้องร่างกฎหมาย ‘ขึ้นทะเบียนทหารรับจ้าง’ เมื่อจักรวรรดิถูกคุกคาม กลุ่มขึ้นทะเบียนเหล่านี้จะต้องเข้าร่วมกับกองทัพจักรวรรดิเพื่อเสริมสร้างกองกำลังทหารให้เข้มแข็งขึ้น
หลินมู่อวี่ก่อตั้งกลุ่มมังกรผงาดขึ้นก็เพื่อเสริมสร้างอำนาจทางทหารให้ตนเช่นกัน เพราะแม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิ ทว่ากำลังทหารที่มีอยู่ใต้อาณัตินั้นช่างน้อยนิดจนน่าสมเพช หน่วยองครักษ์อินทรีมีเพียงเจ็ดร้อยคน ทหารในวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็มีไม่ถึงพัน เทียบกับเฟิงจี้สิงผู้นำกององครักษ์สามหมื่นนาย และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้นำกองทหารเขาเหินหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนายแล้วยิ่งน่าหดหู่ กระทั่งได้รวบรวมไพร่พลและสร้างเป็นกลุ่มทหารรับจ้างขึ้นทะเบียนโดยแต่งตั้งตนเป็นผู้บัญชาการ จึงทำให้มีกำลังทหารเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งหมื่นห้าพันคน ถึงจะกล้าออกหน้าอย่างภาคภูมิ!
ทันใดนั้น ทหารยามนอกประตูก็ตะโกนเข้ามาอีกครา “ใต้เท้าหลิน คนส่งสาส์นจากตำหนักเจ๋อเทียนมาขอเข้าพบขอรับ!”
“ให้เข้ามา!”
“ขอรับ!”
คนส่งสาส์นจากตำหนักเจ๋อเทียนเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม “นายท่านหลินมู่อวี่ องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้ท่านไปร่วมงานเฉลิมฉลองฤดูหว่านพืชผลที่ตำหนักเจ๋อเทียนในเช้าวันมะรืนขอรับ”
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณที่แจ้งข่าว”
“ขอบพระคุณมาก ข้าขอตัวกลับขอรับ”
“ไปเถิด”
…
ตกเย็น หลินมู่อวี่พาถังเสี่ยวซีไปเยี่ยมฉู่เหยาพร้อมทานอาหารค่ำร่วมกัน โดยครั้งนี้ถังเสี่ยวซีเป็นคนจัดการเรื่องอาหารการกิน หลังจากไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง ในที่สุดฉู่เหยากับถังเสี่ยวซีก็คุ้นเคยกัน แม้ฉู่เหยากับหลินมู่อวี่จะเป็นเพียงพี่น้องในนามทว่าทั้งคู่ก็ดูคล้ายมาจากสายเลือดเดียวกัน ถังเสี่ยวซีรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้อยู่ใกล้กับฉู่เหยา ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นหญิงงามคนแรกที่ได้เข้าร่วมสมาพันธ์โอสถ หญิงผู้ที่ถังเสี่ยวซีมิต้องกังวลว่าจะแย่งผู้ชายของตนไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในวันต่อมาหลินมู่อวี่ได้รับจดหมายจากหลัวอวี่
กลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาด มีดสังหารและเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะทำการสู้รบกันที่ทุ่งหญ้าทางตะวันตกเฉียงให้ของป่าล่ามังกร การต่อสู้นี้เพื่อชี้ว่าใครจะได้ครอบครองอาณาเขตในเมืองหลวง ผู้ยิ่งใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในบรรดาทหารรับจ้างจะเป็นหลินมู่อวี่ ผู้นำจวนเสินโหว หรือแม่ทัพพิทักษ์เมือง…การรบครั้งนี้จะตัดสินว่าใครคู่ควร!
และแล้ววันแห่งเทศกาลหว่านพืชผลก็มาถึง
ในตอนเช้าตรู่ หลินมู่อวี่ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว บรรยากาศโดยรอบเริ่มอุ่นขึ้น บรรดานกน้อยและดอกไม้หลากชนิดต่างเบิกบานรับเช้าวันใหม่ เส้นผมหนาของหลินมู่อวี่ที่เพิ่งสระสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกาย เขาส่องกระจกมองผมยาวของตนด้วยสภาพเชยเล็กน้อย แม้ผู้หญิงในเมืองหลวงจะชื่นชอบผู้ชายหล่อเหลาไว้ผมยาว เช่นเฟิงจี้สิง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และคนอื่นๆ ที่ไว้ผมมัดจุกหรือผมถักสวยงาม ทว่าเขาไม่คุ้นชินกับมันเลยสักนิด ในบรรดาแม่ทัพอาวุโสหลินมู่อวี่เป็นแม่ทัพเพียงคนเดียวที่ตัดผมสั้น
“ใต้เท้าเกอหยางช่วยตัดผมให้ข้าได้หรือไม่?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
เกอหยางพยักหน้ายิ้ม “ได้สิ ข้าจะตัดผมให้อาอวี่เอง…”
ถึงจะกล่าวเช่นนั้นเกอหยางก็หาได้หยิบมีดมาเตรียมไม่ เขายกมือขึ้นพลางใช้ปราณยุทธ์ที่คมราวกับมีดตัดผมให้หลินมู่อวี่ ทักษะมีดนั้นคมอย่างมาก ไม่นานนักผมทรงใหม่ของหลินมู่อวี่ก็แล้วเสร็จ แม้จะไม่ได้ดั่งที่ใจคิด ทว่าด้วยหน้าตาอันหล่อเหลาตามธรรมชาติจึงรับได้กับผมทุกทรง หลินมู่อวี่คว้าหมวกเหล็กหนีบไว้ที่เอวพลางหันมายิ้ม “ท่านปู่เกอหยาง ข้าจะไปร่วมงานสังสรรค์เทศกาล ท่านเองก็ได้รับการเชิญชวน ไว้ข้าจะไปรอที่ตำหนักนะขอรับ!”
เกอหยางหัวเราะ “เจ้าไปเถิด ข้าแก่เกินจะไปแล้ว!”
…
หลินมู่อวี่ควบม้าไปโดยมีฉินเหยียนตามหลัง ฉินเหลียนเป็นถึงบุตรของเจ้าเมือง เขาจึงได้รับการเชิญชวนให้ไปร่วมงานด้วย ระหว่างทางเต็มไปด้วยความครึกครื้นของชาวเมืองหลันเยี่ยน ฉินหยินยิ้มพลางกล่าว “ท่านพี่ วิชากระบี่ดึงดูดที่แสดงให้ดูเมื่อครั้งก่อนข้ายังทำไม่ได้ หากมีเวลาว่างท่านพี่ช่วยสอนข้าด้วย!”
“อืม ไว้ถ้าข้าว่าง”
“ขอบคุณมากท่านพี่”
ฉินเหยียนยังคงเป็นคนคลั่งฝึกวิชาอยู่เช่นเคย ความหลงใหลในวิชายุทธ์ทำให้เขาเป็นรองเพียงหลินมู่อวี่เท่านั้นจากรุ่นเดียวกันในวิหารศักดิ์สิทธิ์ และดูเหมือนเขาคงจะตามทันเร็วๆ นี้ราวกับว่าเขาพร้อมบรรลุขอบเขตนภาขั้นหนึ่งตลอดเวลา การก้าวข้ามขอบเขตพลังยุทธ์ได้รวดเร็วทั้งที่อายุยังน้อย ช่างมีพรสวรรค์ยิ่งกว่าหลินมู่อวี่ เฟิงจี้สิง ฉินเหลย และยอดฝีมือคนอื่นๆ เสียอีก
ผู้คบคับคั่งนอกตำหนักเจ๋อเทียนต่างกำลังอธิษฐานขอพรกันอยู่ เนื่องจากวันนี้ฉินจิ้นและฉินอินตั้งใจร่วมกันสวดอวยพรแก่คนทั้งโลก ลานกว้างโดยรอบตำหนักแออัดจนทำให้หลินมู่อวี่กับฉินเหยียนต้องจูงม้าเบียดฝูงชนเข้าไป บรรดาทหารต่างสลัดคราบความน่าเกรงขามและออกมาสนุกสนานกับประชาชน
กระทั่งเข้าถึงตัวตำหนัก ฉินเหยียนก็ถูกรีบอาวุธและสัมภาระทันที เนื่องด้วยกฎที่เคร่งครัด มีเพียงนายทหารยศสูงเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์พกอาวุธเข้าตำหนัก
เมื่อส่งม้าต่อให้คนรับใช้ หลินมู่อวี่ก็เดินนำฉินเหยียนเข้าไปด้านใน โถงกว้างเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่ถูกเชิญชวน นอกจากฉินจิ้นแล้วทุกคนล้วนเป็นขุนนางหรือทหารระดับแม่ทัพทั้งสิ้น
ฉินจิ้นนั่งบนบัลลังก์โดยมีฉินอินในชุดเจ้าหญิงนั่งอยู่ข้างๆ กระทั่งเห็นหลินมู่อวี่เดินเข้ามา ฉินอินจึงลุกจากที่นั่งและลงไปหาหลินมู่อวี่ “ท่านพี่ ข้าได้ยินมาว่าท่านพี่เบื่องานเอกสารหรือเจ้าคะ? เช่นนั้นก็ใช้โอกาสนี้พักผ่อนจากงานหนัก ขอให้มีความสุขกับเทศกาลหว่านพืชผลเจ้าค่ะ!”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “ข้าก็ขอให้เจ้ามีความสุขกับเทศกาลเช่นกัน!”
“อืม! มาอวยพรให้เสด็จพ่อกันเถิด”
“ได้สิ!”
ฉินอินจูงมือหลินมู่อวี่ไปยังหน้าบัลลังก์ ทั้งคู่พลันถวายบังคมแด่จักรพรรดิ “หลินมู่อวี่ขออวยพระพรแก่องค์จักรพรรดิให้มีพระชนมายุยิ่งยืนนานพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินจิ้นหัวเราะ “ขอบใจมากอาอวี่!”
หลินมู่อวี่พยักหน้าโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ เขาหันมองโดยรอบห้องโถงก่อนจะพบว่ามีเจ้าหญิงมากมายส่งสายตาอาฆาตมองมาทางนี้อยู่ เพราะฉินอินคือหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งหลันเยี่ยนทั้งยังเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ ทั้งฐานะและรูปร่างนั้นเกินกว่าผู้ใดจะเอื้อมถึง ไม่เพียงเท่านั้นหญิงงามอันดับหนึ่งนี้ยังมีใจเสน่หาแก่หนุ่มรูปงามอย่างหลินมู่อวี่ จึงไม่แปลกเลยหากพวกนางจะมองมาทางฉินอินด้วยสายตาแห่งความเกลียดและริษยา
ยังดีที่มีฉินจิ้นคอยช่วยเบี่ยงเบนสายตาพวกนั้น “อาอวี่ งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว เดี๋ยวเจ้ากับเสี่ยวอินตามข้ามา เมื่อเช้าข้าต้มซุปดอกบัวไว้ มันช่วยให้เลือดลมดีขึ้นและหายใจสะดวก ลองมาชิมดูเถิด!”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่ตามฉินจิ้นและฮินอินไปยังอีกฝั่งหนึ่งของห้องโถงจนเป็นที่จับจ้องของแขกผู้ร่วมงาน ทว่านี่เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่บุตรแห่งจักรพรรดิได้รับ ราวกับว่าฉินจิ้นต้องการประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่าตนให้ความสำคัญกับบุตรชายเพียงใด ไม่ใช่เป็นเพียงบุตรในนามเท่านั้น
หลินมู่อวี่มองไม่ออกจริงๆ ว่าฉินจิ้นผู้นี้คิดอะไรอยู่…
…
ฝีมือปรุงอาหารของฉินจิ้นนั้นเป็นที่รู้กันว่ายอดเยี่ยม ชามซุปนั้นถูกจัดแต่งอย่างประณีตบวกกับกลิ่นหอมของดอกไม้ที่คละคลุ้งไปทั่ว
หลินมู่อวี่นั่งและค่อยๆ ลองจิบ “หวานมากเลยขอรับ”
ฉินจิ้นยิ้ม “เช่นนั้นก็กินอีกสิ”
“ขอรับเสด็จพ่อ”
หลังจากทานซุปไปสองชาม หลินมู่อวี่ก็เริ่มกังวล…เขาไม่อยากปวดฉี่ระหว่างงานเลี้ยง จึงพยายามไม่ทานมาก “เสด็จพ่อ ข้าอิ่มแล้วขอรับ…”
ฉินจิ้นยิ้มพลางช่วยหลินมู่อวี่ทานส่วนที่เหลือ
ฉินอินที่ยืนข้างๆ หัวเราะขึ้น “ท่านพี่ งานในวิหารยุ่งมากเลยหรือเจ้าคะ ข้าได้ยินจากเสี่ยวซีว่าท่านพี่เครียดจนผมหงอก”
“ฮ่าๆๆ ไม่ขนาดนั้น!”
“เอาล่ะ” ฉินจิ้นยื่นชามกับตะเกียบให้ข้าราชบริพารก่อนจะหันกลับมาคุย “อาอวี่ ข้าได้ยินว่าเจ้าจัดตั้งกองกำลังทหารรับจ้างชื่อว่ามังกรผงาดจนมีสมาชิกกว่าหมื่นคนแล้ว เป็นความจริงหรือ?”
ทั้งที่เอ่ยถามด้วยท่าทีอ่อนโยน ถามหลินมู่อวี่กลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบ