“เอาล่ะแม่ทัพน้อย เจ้าแพ้แล้ว…ส่งเงินมา!”
หลินมู่อวี่แบบมือรอรับเงินห้าหมื่นเหรียญทองจากอวี่เหวินเหลี่ยน
“เจ้า…”
อวี่เหวินเหลี่ยนมองร่างไร้วิญญาณของพยัคฆ์กระหายเลือดบนพื้น ลูกเสือตัวนี้พยายามฝึกฝนพลังยุทธ์อย่างมาก ทว่าเพียงไม่กี่วินาทีลูกเสือผู้บอบบางก็ถูกไอ้กิ้งก่านั่นฆ่า!
“ไม่ยอมรับว่าแพ้อย่างนั้นรึ?” หลินมู่อวี่เลิกคิ้วถามพลางแบกหางมังกรผลึกโลหิตขึ้นบนหลังม้า “หากแม่ทัพไม่ยอมรับ ข้าก็จะถือว่านี่ไม่ใช่การเดิมพัน ข้าไม่สนเรื่องเงินห้าหมื่นเหรียญนั่นหรอก”
“อย่าเหลวไหล!”
อวี่เหวินเหลี่ยนล้วงเอาเงินห้าหมื่นเหรียญทองออกมา “เอาไป ห้าหมื่นที่เจ้าอยากได้!”
“ขอบใจนะแม่ทัพ”
หลินมู่อวี่เทเหรียญใส่ถุงสรรพสิ่งที่เอวโดยไม่นับด้วยซ้ำ “ข้ายังมีเรื่องให้จัดการอีกมากที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ ไว้เราคงได้เจอกันอีก!”
หลินมู่อวี่ควบม้าจากไป
ฝูงชนที่เข้ามามุงดูก็เริ่มทยอยแยกย้าย เหลือเพียงอวี่เหวินเหลี่ยนที่ยังคงยืนตัวสั่นด้วยความโกรธแค้น
ด้านข้างมีคนรับใช้เอ่ยกระซิบ “ท่านอ๋องน้อยขอรับ…ห้าหมื่นเหรียญทองนั่นท่านแม่ทัพให้ท่านไปซื้อหอกพันด้ามจากร้านค้าแห่งจักรวรรดิ แล้ว…ท่านเอาให้หลินมู่อวี่ไปเช่นนี้ เราจะไปอธิบายกับเขาอย่างไรดีเล่าขอรับ?”
“อธิบายอะไร!?”
อวี่เหวินเหลี่ยนกัดฟันกรอด “ท่านพ่อบอกให้ข้าเป็นคนรักษาคำพูดเอง เจ้ามีปัญหาอะไร?”
“โปรดใจเย็นลงก่อนเถิดขอรับ…”
อวี่เหวินเหลี่ยนเงินหน้ามองหลินมู่อวี่ที่ควบม้าไปไกลแล้วพลางกำหมัดแน่น “หลินมู่อวี่ ข้าจะจำไว้ว่าเจ้าทำสิ่งใดกับข้า ต่อเมื่อได้เจอกันอีกข้าจะเอาคืนเป็นสองเท่า!”
……
ณ วิหารศักดิ์สิทธิ์ การฝึกซ้อมจบลงอย่างรวดเร็ว หลินมู่อวี่ในฐานะใต้เท้าลงมือฝึกสอนเกี่ยวกับปราณยุทธ์และวิชาต่างๆ ด้วยตนเอง ทุกคนตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ สำหรับผลลัพธ์…หลินมู่อวี่คิดว่าการสอนนี้เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น พลังที่ยิ่งใหญ่ได้มาจากการฝึกฝนและประสบการณ์ของแต่ละคน ไม่ใช่ไล่ตามคำสอนเพียงอย่างเดียว
หลังการสาธิตการสอนแล้วเสร็จ หลินมู่อวี่ก็กลับไปยังห้องทำงานของตน กระทั่งจัดการรายงานกองใหญ่เรียบร้อย หลินมู่อวี่ก็เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยหน่ายและผล็อยหลับไป ฌานสัมผัสดิ่งลึกลงไปในทะเลแห่งจิต เมื่อผ่านทะเลจิตชั้นที่สองก็พบว่ามันถูกเปลี่ยนเป็นสีเขียว! เจ้าราชาปีศาจเจ็ดประทีปช่างขยันขันแข็งเสียจริง จิตชั้นสองของหลินมู่อวี่บัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นสวนสีเขียวไปเสียแล้วหรือ?
“วิ้ง…”
จิตของหลินมู่อวี่ควบแน่นรวมเป็นร่างกายร่วงลงสู่ทุ่งข้าว เขาสูดหายใจลึกพลังปราณเข้าห้อมล้อมร่าง หลินมู่อวี่ทำการดูดซับพลังจิตวิญญาณจากทุ่งแห่งนี้ ข้าวกลางทุ่งเริ่มลดลงสลายกลายเป็นพลังจิตและถูกบีบอัดเข้าสู่ร่างกายด้วยพลังยุทธ์ของหลินมู่อวี่
ไม่นานนัก พื้นทะเลจิตก็เริ่มสั่นไหวทุ่งจิตวิญญาณบิดเบี้ยว ร่างมนุษย์ของหลินมู่อวี่สลายไปในอากาศ ราชาปีศาจเจ็ดประทีปปรากฏตัวขึ้นด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเดิมมาก ใบหน้าสีแดงส่องสว่าง ผ้าคลุมสีแดงเลือดปลิวไสวอยู่เบื้องหลัง ดูเหมือนว่าราชาปีศาจในอดีตนั้นจะถูกแทนที่ด้วยร่างอันน่าเกรงขามนี้เสียแล้ว
“ไก่อ่อนหลิน เจ้าเข้ามาขโมยพลังจากทุ่งจิตวิญญาณของข้าอีกแล้วรึ?” ราชาปีศาจเอ่ยถาม
หลินมู่อวี่ลืมตา “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าข้าเพียงยืมเท่านั้น ข้าไม่ได้บอกว่าจะขโมยสักหน่อย”
“หึ!”
ราชาปีศาจกล่าว “หลินมู่อวี่ ตอนนี้เจ้าได้เรียนทักษะท่องมิติวิชาเทวะขั้นที่หนึ่งแล้ว ยังคิดว่าราชาอย่างข้าไร้ประโยชน์อยู่หรือไม่? หากข้ายังไม่ดีพอก็จงเป็นทะเลจิตและปล่อยข้าออกไปเสียเถิด เจ้าขังข้าไว้นานเกินไป มันไม่ยุติธรรมกับข้า”
“ไม่”
หลินมู่อวี่ตอบอย่างเย็นชา
“ทำไม?” ราชาปีศาจเอ่ยถามอย่างสงสัย “เจ้าคิดจะขังราชันย์อย่างข้าไปชั่วชีวิตเลยอย่างนั้นรึ?”
หลินมู่อวี่คำนับให้เล็กน้อยพลางกล่าว “ท่านปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ ข้ารู้ถึงความทะเยอทะยานและสิ่งที่เจ้าเป็นดี วันนี้เจ้าอยู่ใต้การควบคุมของข้าอย่างสงบ โลกภายนอกจึงปลอดภัย ข้าไม่อยากนึกเลยว่าทวีปนี้จะวุ่นวายขนาดไหนหากข้าปล่อยเจ้า อย่างเช่นฉินอี้ทำลายร่างเนื้อเจ้า เมื่อออกไปแล้วเจ้าจะปล่อยตระกูลฉินหรือไม่?”
“ก็…”
ราชาปีศาจยิ้มเจื่อน “คงไม่…บอกตามตรงแม้ฉินอี้จะตายไปแล้ว แต่สิ่งที่มันทำกับข้ายังคงอยู่ ความแค้นนับร้อยปีนี้ต้องได้รับการชดใช้โดยลูกหลานของมัน เมื่อข้าได้ร่างและพลังกลับคืน ข้าตะตามไปสังหารพวกมันให้หมด! แต่…ข้ารู้ว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้าขอบพอกับเจ้าหญิงฉินอินนั่น หึ! เอาเป็นว่าข้ารับปากจะไม่ทำอะไรนางก็แล้วกัน เจ้าว่าอย่างไร?”
หลินมู่อวี่มองหน้าราชาปีศาจ “ไม่…เจ้าคิดผิดแล้วราชาปีศาจ ตราบใดที่ใจเจ้ายังมีแต่ความอาฆาตมาดร้าย ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปอย่างเด็ดขาด จวบจนวันที่ข้าตาย…เต้าก็ต้องตายไปกับข้าด้วย”
“เจ้า!”
ราชาปีศาจสบถด้วยความโมโห “ข้าช่วยเหลือเจ้าแต่เจ้ากลับเมินข้า ข้าอุตส่าห์สอนวิชาทั้งหลายให้เจ้า แต่นี่คือสิ่งที่ข้าได้ตอบแทนอย่างนั้นรึ!?”
“ข้าติดหนี้เจ้า”
หลินมู่อวี่กระโดดลอยขึ้นพร้อมกลับมังกรสีทองปรากฏขึ้นรอบกาย “ที่นี่คือทะเลจิตแห่งข้า ข้าเท่านั้นที่เป็นคนตัดสิน หากเจ้าไม่รับปากว่าจะไม่สังหารผู้ใดเมื่อออกไป ข้าก็มิอาจให้คำมั่นว่าจะปล่อยเจ้าได้เช่นกัน”
“ตกลง ข้าสัญญา!”
ราชาปีศาจเจ็ดประทีปยกมือยอม “หากข้าได้ร่างคืนแล้ว ข้าสัญญาว่าจะไม่สังหารผู้ใดอีก พอใจเจ้าหรือยัง?”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “โถ…เจ้าราชาปีศาจ เจ้ากำลังอาศัยอยู่ในจิตของข้า คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่? ทั้งความโกรธแค้นและกระหายในการฆ่าอันพลุ่งพล่านของเจ้า ข้าสัมผัสได้ทั้งหมด!”
“เจ้าบังอาจนัก…อยากตายอย่างนั้นรึ?”
ราชาปีศาจตะคอกพลางลุกขึ้น แสงดวงดาราปรากฏขึ้นล้อมรอบมือก่อนจะปล่อยพลัง! “พลังฌานเจ็ดประทีป!”
หลินมู่อวี่ไม่รอช้า เรียกกำแพงน้ำเต้าสีทองออกมาป้องกัน มังกรทองที่บินวนรอบกายขุ่ร้องคำรามอย่างต่อเนื่องก่อนจะผสานเข้ากับกำแพงน้ำเต้าเสริมพลังป้องกันจนเอาชนะพลังฌานเจ็ดประทีปของราชาปีศาจได้สำเร็จ พลังงานผันผวนแตกออก หลินมู่อวั่ไม่ได้รับผลกระทบใด เขายิ้มให้กับราชาปีศาจ “เจ้ามีพลังเทวะ ข้าเองก็มี เจ้ามีเจ็ดประทีป…ข้าก็มีเช่นกัน ทว่าในขณะที่เจ้าเป็นเพียงวิญญาณ ข้านั้นมีกายเนื้อ กาฝากวิญญาณเช่นเจ้าคิดว่าจะสังหารข้าได้อย่างนั้นรึ?”
ราชาปีศาจโกรธตัวสั่น “ไอ้ไก่อ่อนสวะ รอให้ถึงเวลาของข้าก่อนเถิด ราชาผู้นี้จะครอบงำเจ้า…อยากรู้นักว่าฉินอินจะทำอย่างไร!”
หลินมู่อวี่บินหนีและถอนฌานสัมผัสออกจากทะเลจิตไป หลังจากดูดซับพลังจากทุ่งจิตวิญญาณแล้วเขาก็สดชื่นขึ้นมาก ทว่าหลินมู่อวี่ยังคงกังวลเกี่ยวกับราชาปีศาจเจ็ดประทีป ปีศาจตนนั้นเปรียบดั่งเทพเจ้าแห่งการสังหาร ทั้งร่างของมันเปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้าง หากเขาปล่อยให้มันเจอร่างและรวมพลังสำเร็จ…ทวีปนี้คงถึงจุดจบเป็นแน่
แม้หลินมู่อวี่จะไม่ต้องการ ทว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้ต่อให้ใครตายจากเขาก็ยังต้องอยู่ เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่มีความสามารถมากพอจะควบคุมพลังของราชาปีศาจเจ็ดประทีปและหยุดภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นได้
…
หลินมู่อวี่สูดหายใจลึก เมื่อแสงยามบ่ายพาดผ่านร่างกาย ก็ปรากฏภูตแห่งแสงบินไปมาในอากาศอย่างมีความสุข หลินมู่อวี่กางฝ่ามือออกเรียกวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าสีทองให้ปรากฏ ภูตแห่งแสงที่กระจัดกระจายต่างมารวมตัวกันที่ฝ่ามือเขาและกลายเป็นกลุ่มแสงเล็กๆ ในพริบตา พลังธาตุแสงนั้นเป็นพลังงานที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทำให้จับต้องและควบคุมได้ยากยิ่ง
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นยืนพลางเรียกน้ำเต้าสีทองออกมาล้อมรอบตันเอง น้ำเต้าทองอันเปล่งประกายและแสงอาทิตย์ประสานและสะท้อนผ่านกำแพงจนเกิดแสงเปล่งประกายไปทั่ว
แสงสามารถทะลุผ่านวัตถุโปร่งใสได้นี่คือแก่นแท้ของมัน
ทันใดนั้นหลินมู่อวี่ก็เริ่มตื่นเต้นเมื่อวิญญาณยุทธ์ของตนเริ่มเปล่งประกายราวกับแสงของพระอาทิตย์ขึ้น ความเข้าใจต่อพลังธาตุแสงของหลินมู่อวี่เพิ่มขึ้นอีกระดับแล้ว เขาสามารถสื่อสารกับภูตแสงรวมไปถึงอัญเชิญหรือเรียกกลับได้ง่ายขึ้น และบางทีอาจใช้พลังกฎแห่งแสงนี้ผสานกับวิชากระบี่ได้!
หลินมู่อวี่พลันนึกถึงครั้งแรกที่ได้เรียนวิชากระบี่ตัดอัสนีกับชวีฉู เป็นวิชาที่เรียบง่าย…เมื่อใช้รวมกับปราณยุทธ์แล้วจะสามารถสังหารคนได้ในพริบตา แม้จะไม่รุนแรงและทะลุทะลวงเท่าทักษะพายุอัสนีพิโรธ
ทว่าตอนนี้หลินมู่อวี่กำลังคิดบางอย่างได้ หากแทนที่การโจมตีสายฟ้าด้วยธาตุแสง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะทำลายโล่และเกราะปราณของศัตรูได้ด้วยการโจมตีนี้? หากทำได้จริง…เกรงว่าแม้แต่ปราการเกล็ดมังกรที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งอันดับต้นๆ คงต้านทานไม่ไหว
…
เมื่อคิดได้ดังนั้นหลินมู่อวี่ก็รีบชักกระบี่วิญญาณมังกรออกและปล่อยพลังกฎแห่งแสงเข้าไปยังตัวกระบี่ กระบี่วิญญาณมังกรค่อยๆ อาบไปด้วยพลังแสงอันเจิดจรัส พลังแห่งรุ่งอรุณผสานกับวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าและคมกระบี่พร้อมถูกปลดปล่อยได้ทุกเมื่อ
หลินมู่อวี่นำโล่ขนาดใหญ่มาพิงไว้ข้างโต๊ะก่อนจะลองเหวี่ยงดาบแสง!
“ฮ่า!”
พลังแห่งแสงเปล่งประกายรอบตัวกระบี่ ทว่าไม่สามารถตัดโล่ตรงหน้าได้…ดูเหมือนความเร็วไม่เพียงพอจึงทำให้ขาดพลัง
ไม่ต้องรีบร้อน…
หลินมู่อวี่บอกตัวเอง…หากความเร็วยังไม่เพียงพอก็แก้ไขมันเสีย!
พลังมิติที่สี่เป็นเศษเสี้ยวพลังเทวะที่มาจากราชาปีศาจเจ็ดประทีปสามารถเพิ่มความเร็วให้กับพลังกฎแห่งแสงได้ บางทีมันอาจได้ผล!
กระทั่งกระบี่ยาวถูกเหวี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าก็ยังคงไม่สำเร็จ…
ความคิดหลินมู่อวี่นั้นบ้าบิ่นและแปลกใหม่ ทว่าก็ยากที่จะทำให้สำเร็จเช่นกัน เป็นการริเริ่มที่ยากลำบากเสียจริง