“มิได้เห็นเผ่าพันธุ์ปีศาจในเมืองหลันเยี่ยนมาหลายร้อยปีแล้ว”
ณ ตำหนักเจ๋อเทียน เจิ้งอี้ฝานกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ฝ่าบาท ไม่ว่าจิ้งจอกเก้าหางจะมาจากที่ใด เราไม่สามารถนั่งรออยู่เฉยๆ ได้พ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งองค์หญิงซีอาจถูกปีศาจจิ้งจอกสังหาร กระหม่อมแนะนำว่าควรส่งกองทัพค่ายเขาเหินและค่ายเสินเวยเข้าป่าล่ามังกรเพื่อออกไล่ล่าจิ้งจอกเก้าหางพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิงจี้สิงนิ่งเงียบอย่างคร่งขรึม
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพลันพูดขึ้น “ท่านเสินโหว ต้นกำเนิดของอสูรจิ้งจอกเก้าหางยังไม่ได้รับการยืนยัน การออกไปไล่ล่าจะเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่?”
“ยังต้องคิดอีกหรือ?”
เจิ้งอี้ฝานเย้ยหยัน “ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เจ้าต้องการมีความรักกับอสูรจิ้งจอกรึอย่างไร?”
“พอได้แล้ว!”
หลินมู่อวี่ตะโกนเสียงดังอย่างเหลืออด ก่อนจะหันไปประสานหมัดและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ข้าได้ไปตรวจสอบเครื่องหมายที่ประตูทิศเหนือของเมืองหลันเยี่ยนแล้ว มันคือผนึกสังเวยดวงดารา ซึ่งเป็นของผนึกจิ้งจอกอัคนีชั้นที่ห้า”
ฉินจิ้นตะลึง “อาอวี่ เจ้าหมายถึง?”
หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ “ข้าเกรงว่าจะมีเพียงเสี่ยวซีผู้เดียวในเมืองหลันเยี่ยนที่สามารถใช้ผนึกจิ้งจอกอัคนีเช่นนี้ได้…เมื่อคืนที่ผ่านมา กองทัพองครักษ์กล่าวว่าเครื่องหมายนี้ถูกทิ้งไว้โดยจิ้งจอกเก้าหาง ดังนั้นเสี่ยวซี…”
ฉินอินตกใจ “พี่อาอวี่กำลังบอกว่าอสูรจิ้งจอกก็คือเสี่ยวซีอย่างนั้นหรือ?”
“นี่เป็นเพียงการคาดเดา ทว่ามันเป็นไปได้สูงมาก” หลินมู่อวี่ถอนหายใจและพูดต่อ “กระนั้น…ได้โปรดออกคำสั่งให้ตามหาเสี่ยวซีในป่าล่ามังกรด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ…ผู้ใดบังอาจกล่าวถึงการไล่ล่าจิ้งจอกเก้าหาง มันผู้นั้นจะต้องเป็นศัตรูกับข้า เนื่องจากนั่นหมายถึงการไล่ล่าเสี่ยวซี…”
ฉินจิ้นขมวดคิ้ว “อาอวี่ แน่ใจแล้วหรือว่าจิ้งจอกเก้าหางคือเสี่ยวซีจริงๆ? มันจะเป็นไปได้อย่างไร…เสี่ยวซีเป็นหลานของถังหลานกง นางจะเป็นสัตว์อสูรไปได้อย่างไร…”
เจิ้งอี้ฝานประสานหมัดและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ไม่ว่าอสูรจิ้งจอกจะใช่องค์หญิงซีหรือไม่ ทว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจลงมายังโลกเช่นนี้จะทำให้เกิดภัยพิบัติมากมาย ชีวิตขององค์หญิงจะเทียบกับชะตากรรมของราษฎรได้อย่างไร? ตราบเท่าที่ฝ่าบาททรงยินยอม กระหม่อมยินดีจะนำทหารค่ายเสินเวยเข้าป่าล่ามังกรและจับเป็นอสูรจิ้งจอกเก้าหางทันที!”
ฉินจิ้นยกมือขึ้นและกล่าวว่า “เจิ้งอี้ฝานช่างกล้าหาญ ทว่า…ป่าล่ามังกรนั้นสูงชันและอันตรายมาก เจ้าเป็นเสินโหวแห่งจักรวรรดิ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าไปเสี่ยงด้วยตนเอง ปล่อยให้สี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยนจัดการเรื่องนี้เถิด”
เจิ้งอี้ฝานผงะถอยหลังและสีหน้ามึนงง “ฝ่าบาท…ทรงไม่ไว้วางพระทัยกระหม่อมอีกต่อไป…”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ฉินจิ้นยิ้ม “เจิ้งอี้ฝานอย่ากังวลใจไป ข้าเพียงห่วงใยร่างกายของเจ้า ฉะนั้นอย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย แล้วให้หลินมู่อวี่เป็นคนจัดการ เขามีความสัมพันธ์อันดีกับเสี่ยวซีเป็นการส่วนตัว เขาจะไม่มีทางปล่อยให้เสี่ยวซีเป็นอะไรไปและพากลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน ทว่า…”
“ทว่าอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
ฉินจิ้นกล่าวอย่างใจเย็น “หากอสูรจิ้งจอกเก้าหางตัวนี้เป็นเสี่ยวซีจริง และเมื่อนางสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป เช่นนั้นอาอวี่…ข้ามอบหมายให้เจ้าสามารถตัดสินใจด้วยตนเอง เจ้าสามารถฆ่านางได้ทันที”
“อา…”
หลินมู่อวี่รู้สึกสั่นสะท้านในหัวใจ แม้ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
“อาอวี่…” เฟิงจี้สิงมองอย่างทุกข์ใจ “หากไม่ไหว ให้ข้าไปแทนก็ได้?”
หลินมู่อวี่ส่ายหัว “ไม่ ข้าจะไป”
หลังจากนั้นหลินมู่อวี่เงยหน้ามองฉินจิ้นและกล่าว “ฝ่าบาท กระหม่อมจะออกเดินทางทันที และคงไม่สามารถดูแลวิหารศักดิ์สิทธิ์และค่ายรังอินทรีได้ชั่วขณะ”
“อืม สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือตามหาถังเสี่ยวซี จงไปเถิด!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
หลินมู่อวี่หันหลังออกจากตำหนักเจ๋อเทียน ก่อนจะควบม้าออกไป
…
ภายในตำหนักเจ๋อเทียนทุกคนยังคงขมวดคิ้วแน่น ขณะเดียวกันใบหน้าฉินจิ้นมัวหมอง เขาพลันทุบลงบนเก้าอี้อย่างแรง “อสูรจิ้งจอกเก้าหางปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้ง…ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำเช่นไร…”
ฉินอินเอ่ยถาม “เสด็จพ่อ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจิ้งจอกเก้าหางปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหรือเพคะ?”
ฉินจิ้นเหลือบมองลูกสาวและกล่าวว่า “ครั้งสุดท้ายที่จิ้งจอกเก้าหางลงมายังโลกคือเมื่อเก้าพันปีก่อน เวลานั้นจักรวรรดิฉินยังไม่ก่อตั้งขึ้น แผ่นดินถูกปกครองโดยสี่จักรวรรดิผู้ยิ่งใหญ่ หญิงงามที่สุดในปฐพีอภิเษกกับจักรพรรดิเจิ้นกั๋วผู้ทรงเสน่ห์ จักรพรรดิผู้นี้ทรงมีพระปรีชาสามารถและพิชิตแผ่นดินทั้งหมดในเวลาห้าปี ทว่าจำนวนประชากรก็ลดน้อยลงไปกว่าครึ่ง และแล้วแผ่นดินก็ถึงกาลอวสานเมื่ออสูรจิ้งจอกเก้าหางปรากฏตัวขึ้น มันสังหารจักรพรรดิเจิ้น ก่อนจะบินออกไปเข่นฆ่าผู้คนกว่ายี่สิบแปดเมืองทั่วแผ่นดิน หลังจากนั้นจิ้งจอกเก้าหางไม่เคยกลับมาอีก และทิ้งไว้เพียงฝันร้ายในจิตใจผู้คน”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนกัดฟัน “ฝ่าบาท มันเป็นเพียงเรื่องเล่าในตำนาน ซึ่งอาจไม่มีอยู่จริงพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินอินกล่าวเสริม “ใช่เพคะเสด็จพ่อ หากจิ้งจอกเก้าหางเมื่อคืนเป็นเสี่ยวซีจริง…นั่นก็หมายความว่าจิตสำนึกของนางยังมิได้หายไป มิเช่นนั้นคงไม่ปกป้องเมือง และเหล่ากองกำลังคงถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น”
เฟิงจี้สิงพลันประสานหมัด “กระหม่อมเห็นด้วยกับองค์หญิงอิน อสูรจิ้งจอกเก้าหางตัวนี้อาจไม่ใช่ตัวเดียวกับเมื่อเก้าพันปีก่อน อย่างน้อยนางก็ยังมีจิตสำนึกพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระนั้น…แผ่นดินนี้ก็สำคัญที่สุด”
ฉินจิ้นหายใจเข้าลึกและพูดว่า “เจิ้งอี้ฝานทำสิ่งที่เจ้าคิดว่าควรเถิด ข้าอนุญาตเจ้าเป็นการส่วนตัว แต่จำไว้ว่า หากเจอกับหลินมู่อวี่ในป่าล่ามังกร ห้ามทำร้ายเขาเด็ดขาด มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ปรานี!”
เจิ้งอี้ฝานประสานหมัดและยิ้ม “ฝ่าบาททรงอย่าเป็นกังวล กระหม่อมจะทำตามคำบัญชาอันศักดิ์สิทธิ์นี้พ่ะย่ะค่ะ!”
“เสด็จพ่อ!”
จู่ๆ ฉินอินก็น้ำตาไหลนองใบหน้า “เสด็จพ่อทำเช่นนี้ได้อย่างไร…นั่นคือเสี่ยวซีนะเพคะ! ในพระทัยของเสด็จพ่อมีเพียงแผ่นดินที่สำคัญจนสามารถเพิกเฉยต่อชีวิตของเสี่ยวซีเลยหรือ?”
ฉินจิ้นขมวดคิ้ว “เสี่ยวอิน เมื่อเจ้าเติบโตขึ้นจะรู้เองว่าควรเลือกสิ่งใด มันเป็นการเติบโตที่ขมขื่น”
“นี่เรียกว่าเลือดเย็น มิใช่เติบโตเพคะ!” ดวงตาฉินอินพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “หากเสด็จพ่อตัดสินพระทัยเช่นนี้ เสี่ยวอินก็ขอตัว…”
“เดี๋ยว! นั่นเจ้าจะไปไหน?” ฉินจิ้นเอ่ยถามอย่างตกใจ
ทว่าฉินอินหันกลับออกไปโดยตอบอะไรกลับมา นางพลันควบม้าออกนอกตำหนักเจ๋อเทียนตามลำพัง
“น…นี่มันออกมาตรงกันข้ามเลย!” ฉินจิ้นขบฟันแน่น
เฟิงจี้สิงรีบประสานหมัดและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ให้กระหม่อมไปป่าล่ามังกรด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“อืม รีบไปซะ เพื่อความปลอดภัยขององค์หญิงอิน”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินจิ้นไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาหันกลับไปกล่าวกับชวีฉู่ “อาวุโสฉู่ เจ้าเป็นอาจารย์ขององค์หญิง รีบออกไปและปกป้องนางซะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้”
เจิ้งอี้ฝาน ชวีฉู่ เฟิงจี้สิง และคนอื่นๆ ทยอยออกจากตำหนักเจ๋อเทียน กระทั่งทุกอย่างเงียบสงบลง ใบหน้าฉินจิ้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะพึมพำว่า “ฉินเหลย เจ้ารับหน้าที่ดูแลกองทัพแห่งจักรวรรดิในการปกป้องความปลอดภัยของเมืองหลวงชั่วคราว ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนนำกองทัพห้าพันนายออกไปยังป่าล่ามังกรเพื่อตามหาถังเสี่ยวซีซะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ฉินเหลยประสานหมัดอย่างเคารพ
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนประสานหมัดและเอ่ยถาม “ฝ่าบาท หากพบองค์หญิงซี ควรทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินจิ้นสูดหายใจลึกก่อนกล่าวว่า “ห้ามทำร้ายนาง…”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้มอย่างพึงพอใจ “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
…
‘กุบกับ กุบกับ…’
เสียงเท้าม้าดังกึกก้องในป่าล่ามังกรในเวลาเที่ยงวัน หลินมู่อวี่ควบม้าไปหลายร้อยไมล์ ทว่าก็ไม่พบถังเสี่ยวซี แม้ว่าจะมีร่องรอยของพื้นดินที่ถูกเผาระหว่างทาง แต่ก็ไม่ต่อเนื่องกัน กระทั่งร่องรอยขาดหายไป หลินมู่อวี่ใช้ทักษะชีพจรวิญญาณตรวจสอบก็ไม่เจอลมปราณของนางเลย พบเพียงเหล่าสัตว์วิญญาณที่อยู่ในรัศมีพลัง
หลินมู่อวี่อยู่ในอาการสับสนและครุ่นคิดเกี่ยวกับสัตว์วิญญาณ ถังเสี่ยวซีเป็นเพียงเด็กสาว หากอยู่ในป่าล่ามังกรนานเกินไป ก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากเพียงนั้น
“ลู่ลู่ อยู่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่เรียกภูติระบบขณะขี่ม้า
ด้วยเสียงเรียกของหลินมู่อวี่ ร่างบอบบางของลู่ลู่ก็ปรากฏออกมาจากทะเลจิตและนั่งลงบนไหล่ของหลินมู่อวี่ “พี่ชาย ร่องรอยของพี่สาวถังเสี่ยวซี…ข้าไม่พบเลย…”
“ทว่าเจ้าคุ้นเคยกับป่าล่ามังกรมากกว่าข้า เจ้าคิดว่าเสี่ยวซีจะไปที่แห่งใด?” หลินมู่อวี่ถาม
“พี่ชาย ข้าเกรงว่าท่านกำลังสับสน” ลู่ลู่ขมวดคิ้ว “การตามหาคนในป่าล่ามังกรไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งยังเป็นป่าที่กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าถังเสี่ยวซีอยู่ที่ไหน? อีกทั้ง…คนที่พี่ชายควรถามก็คือตัวท่านเอง พี่ชายรู้จักถังเสี่ยวซีดีกว่าลู่ลู่ ท่านควรรู้ว่านางจะไป ณ ที่แห่งใด…”
หลินมู่อวี่ขบฟันแน่น “เสี่ยวซี…นางอาจคิดว่าไม่สามารถกลับไปยังเมืองหลันเยี่ยนได้อีกต่อไป นางคงเสียใจเป็นอย่างมากและไม่ต้องการพบพวกเราอีก…บางทีเสี่ยวซีอาจกลับไปบ้านอีกหลัง? เมืองชีไห่?”
“พี่ชาย หากท่านคิดได้เช่นนั้น ก็จงไปที่เมืองชีไห่เลยเจ้าค่ะ!”
“อื้ม!”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “เช่นนั้นไปเมืองชีไห่กัน ลู่ลู่วาดแผนที่ให้ข้าที”
“เจ้าค่ะ!”
ลู่ลู่พลันวาดแผนที่ขนาดใหญ่ของป่าล่ามังกรในความคิดให้ทันที และทำเครื่องหมายเส้นทางสำหรับไปยังเมืองชีไห่ที่อยู่ห่างไกลซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาในการเดินทาง ทว่าด้วยความเร็วของม้าศึกอาจทำให้ไปถึงก่อนเวลาและสามารถพบถังเสี่ยวซีได้
กระนั้นหลินมู่อวี่ก็ไม่แน่ใจนัก ในเมื่อเสี่ยวซีไม่ต้องการจะพบเขาและฉินอินด้วยร่างกายอสูรจิ้งจอกเก้าหาง เช่นนั้นนางจะต้องการพบกับถังหลานหรือ?
…
แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องในดินแดนเมืองชีไห่ ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นเวลาพลบค่ำอีกครั้ง
‘พรึ่บ…’
นกส่งสารกระพือปีกร่อนลงที่ลานกว้างขณะที่ถังปินกำลังชงชาอยู่ เขาผงะเล็กน้อยแล้วขมวดคิ้ว “นกส่งสารมาจากที่ใดกัน นำมันมาให้ข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารรักษาการณ์เดินไปอุ้มนกตัวนั้นมาให้ ถังปินหยิบกระดาษออกมาอ่านด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“องค์ชายมีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ทหารรักษาการณ์ถาม
ถังปินขบฟันแน่น “เสี่ยวซีถูกอสูร…”
“อสูร? องค์หญิงซีถูกอสูรทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เสี่ยวซีถูกอสูรเข้าครอบงำระหว่างการฝึกฝนผนึกจิ้งจอกอัคนีและกลายร่างเป็นจิ้งจอกเก้าหางมาจุติยังผืนแผ่นดิน ทว่าอย่าเพิ่งแพร่งพรายสิ่งใด และไปเตรียมกองทหารและม้าซะ เรียกยอดฝีมือในจวนเจ้าเมืองมาให้หมดก่อนจะพาข้าไปเรียนท่านปู่ถึงเรื่องนี้ จากนั้นจึงออกเดินทางไปตามหาเสี่ยวซีในป่าล่ามังกร”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ทหารรักษาการณ์เงยหน้าขึ้นขณะประสานหมัด ดวงตาของเขาเป็นประกายพร้อมกล่าวว่า “องค์ชาย…องค์หญิงซีเป็นคู่แข่งสำคัญของพระองค์ในการสืบทอดมณฑลชีไห่ เช่นนั้นองค์ชายทรงต้องการเข้าป่าล่ามังกรเพื่อช่วยเหลือองค์หญิงซีจริงหรือ?”
“เสี่ยวซีเป็นน้องสาวของข้า! ซึ่งข้าต้องการไปช่วยนางอยู่แล้ว!”
ดวงตาถังปินฉายแววเย็นชา “ทว่าจิ้งจอกเก้าหางตัวนั้นไม่ใช่…”