EP.298 หมีเหล็กทมิฬอายุหนึ่งหมื่นปี
สายลมหนาวพัดผ่านป่าล่ามังกรในเวลาเช้าตรู่ ขณะนี้กองทหารอยู่ห่างจากสุสานมังกรสามร้อยไมล์ ด้วยความเร็วของทหารม้าหนักคงสามารถไปถึงก่อนพลบค่ำ ทว่าทหารหลายนายดูอ่อนเพลียและมีอาการเจ็บป่วย ทำให้ประสิทธิภาพในการรบของพวกเขาลดน้อยลง
เจิ้งอี้ฝานขมวดคิ้วและกำบังเหียนแน่น เขากวาดสายตาไปรอบบริเวณ ก่อนที่ถังปินจะควบม้ามาด้านข้างและประสานหมัด “ท่านเสินโหว ข้าคิดว่าทหารค่ายเสินเวยกำลังติดโรค…บางทีท่านเสินโหวควรตั้งค่ายพักและให้พวกเขาพักผ่อนสักเล็กน้อย แล้วปล่อยให้กองทหารเมืองชีไห่สำรวจทางด้านหน้าเอง ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“นั่น…”
เจิ้งอี้ฝานลังเลและกล่าวว่า “ที่นี่เป็นส่วนลึกที่สุดของป่าล่ามังกร อาจมีสัตว์วิญญาณอายุกว่าหมื่นปีปรากฏตัว เช่นนั้นองค์ชายทรงไตร่ตรองอีกครั้งเถิด อีกทั้งแม้กระหม่อมจะอายุมากแล้ว ทว่าก็สามารถเป็นกำลังให้องค์ชายได้…”
ถังปินเห็นต่างออกไป เขาต้องการเข้าไปในสุสานมังกรเพื่อค้นหาถังเสี่ยวซีก่อน หากนางอยู่ในร่างอสูรจิ้งจอกเก้าหางก็จะสังหารทันที ยิ่งมีคนรู้น้อยมากเท่าใดยิ่งเป็นผลดี ส่วนขุนนางชั้นสูงจากเมืองชีไห่ที่มาด้วยเป็นคนสนิทของถังปิน หากเจิ้งอี้ฝานรู้เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องยากที่จะควบคุม ซึ่งถังปินไม่ต้องการเช่นนั้น
ถังปินประสานหมัดและยิ้ม “ขอบคุณท่านเสินโหวสำหรับความกรุณา ทว่ากองทหารที่ข้านำมาด้วยนั้นต่างก็เป็นยอดฝีมือจากเมืองชีไห่ ข้าเชื่อว่าแม้ท่านเสินโหวจะเจอสัตว์วิญญาณอายุหมื่นปี ก็จะสามารถหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย ขณะนี้การค้นพาเสี่ยวซีโดยเร็วเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
“หากเป็นเช่นนั้นผู้อาวุโสก็ยินดี”
เจิ้งอี้ฝานลังเล “ทว่า…”
“ทว่าอะไร?” ถังปินเอ่ยถาม
เจิ้งอี้ฝานยิ้มและกล่าวว่า “ทว่าอาวุโสเคยอยู่บริเวณนี้เมื่อราวสิบปีก่อน มีสองเส้นทางที่สามารถเดินทางได้ง่ายที่สุดในการไปสุสานมังกร ทางที่หนึ่งคือหุบเขาสั่วจือ อีกเส้นทางคือเทือกเขาฉิงเฟิง หากองค์ชายเดินทางผ่านเทือกเขาฉิงเฟิง ที่นั่นมีเพียงฝูงหมาป่าวาโย ขณะที่หุบเขาสั่วจือ ผู้อาวุโสเคยเห็นหมีเหล็กทมิฬอายุหนึ่งหมื่นปีอาศัยอยู่ ซึ่งมันเป็นสัตว์ดุร้าย องค์ชายสามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางนั้นได้!”
“ขอบคุณท่านเสินโหวสำหรับคำแนะนำ เช่นนั้น…” ถังปินกำบังเหียนและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทหารแห่งเมืองชีไห่จะเคลื่อนทัพออกไปทันที ทหารค่ายเสินเวยของท่านเสินโหวโปรดตั้งค่ายพักผ่อนเถิด”
“ระวังตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย!”
“ขอบคุณ ท่านก็เช่นกัน!”
ถังปินควบม้ากลับไปรวมกับกองทหารเมืองชีไห่และตะโกนเสียงดัง “เดินหน้าเต็มกำลัง!”
จากนั้นเสียงเท้าม้ากว่าหนึ่งพันตัวของทหารเมืองชีไห่ก็วิ่งเข้าป่าลึกในพริบตา
เจิ้งอี้ฝานหรี่ตาและเผยยิ้ม “โชคดีองค์ชาย…”
สี่กงหนานยิ้มเล็กน้อย “ท่านเสินโหวชี้แนะเส้นทางให้องค์ชายตระกูลถัง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำตามหรือไม่ ทว่า…เสินโหวสร้างเรื่องหมีเหล็กทมิฬอายุกว่าหมื่นปีเพื่อหลอกถังปินหรือขอรับ?”
แขนเสื้อเจิ้งอี้ฝานปลิวไสวเบาๆ เขาตอบกลับอย่างเฉยเมย “เจ้าเคยเห็นอี้ฝานผู้นี้หลอกผู้คนด้วยหรือ?”
สี่กงหนานตะลึง ขณะที่ก้นบึ้งของหัวใจเต็มไปด้วยคลื่นถาโถมเข้าใส่ บางทีนี่อาจจะเป็น ‘เล่ห์เหลี่ยมทหาร’ ในตำนาน?
…
ภายในกองทหารม้า ถังห่าวผู้เป็นสมาชิกจากบ้านรองของตระกูลถังกำลังถือดาบใหญ่และมองหน้าถังปินอย่างระมัดระวัง “องค์ชาย เจิ้งอี้ฝานแนะนำให้เราไปทางเทือกเขาฉิงเฟิง ท่านคิดว่าเราควรไปทางไหนดีขอรับ?”
ถังปินหรี่ตา “เจิ้งอี้ฝานจิ้งจอกเฒ่า เขาชี้นำเส้นทางเทือกเขาฉิงเฟิง และกล่าวว่ามีหมีเหล็กทมิฬอายุหนึ่งหมื่นปีที่หุบเขาสั่วจือ ทว่าข้าไม่เชื่อ! เจิ้งอี้ฝานเพียงต้องการไปในเส้นทางหุบเขาสั่วจือ ทหารมักมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว และเจิ้งอี้ฝานผู้นี้ไว้ใจไม่ได้ หุบเขาสั่วจือและเทือกเขาฉิงเฟิง เป็นไปได้ทั้งคู่ว่าจะมีหมีเหล็กทมิฬ เช่นนั้นทุกคนจงระวังตัวให้ดี ส่งหน่วยลาดตระเวนสำรวจเส้นทางล่วงหน้า และตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายก่อนจะข้ามหุบเขาสั่วจือ”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ!”
ถังห่าวลดดาบลง บนใบดาบปรากฏปราณยุทธ์ห่อหุ้ม เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งในขอบเขตนภาชั้นที่หนึ่ง แม้ว่าถังห่าวจะอายุเกินสี่สิบปีแล้ว ทว่าก็เป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบการใหญ่มากมาย อีกทั้งยังเป็นคนที่ใกล้ชิดกับถังปินมากที่สุดในตระกูล ตอนนี้จิงเหลาเสียชีวิตแล้ว ถังห่าวจึงเป็นนักรบที่ถังปินไว้ใจมากที่สุด
“องค์ชาย…”
ถังห่าวหยุดพูดกะทันหัน
“ท่านลุงห่าวมีอะไรหรือ?” ถังปินเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
ดวงตาถังห่าวเฉมองไปทางหญ้าใต้เกือกม้าและกล่าวว่า “องค์ชาย เสี่ยวซีเป็นลูกพี่ลูกน้องกับท่าน เราไม่ฆ่านางได้หรือไม่…ตราบใดที่เสี่ยวซีสัญญาว่าจะไม่ขัดขวางท่านในการสืบทอดบัลลังก์เมืองชีไห่”
“ฮ่าๆ เรื่องนั้น…”
ถังปินยิ้ม “ท่านลุงห่าว ข้ารู้ว่าท่านเฝ้าดูข้าและเสี่ยวซีเติบโตมาด้วยกันจนผูกพันกับพวกเรา ดังนั้นถังปินจะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจ ตราบใดที่เสี่ยวซีไม่ได้เปลี่ยนเป็นจิ้งจอกเก้าหาง ข้าจะไม่แตะต้องนางเด็ดขาด ถึงอย่างไรข้าก็รักน้องสาวผู้นี้มากตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเป็นสิ่งที่ลุงห่าวสามารถมองเห็นได้”
“เช่นนั้นหากเสี่ยวซีเป็นจิ้งจอกเก้าหางล่ะ?”
“มันไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับเรา หัวใจของมันจะต้องแตกต่างออกไป” ดวงตาถังปินฉายแววอาฆาตก่อนจะพูดต่อ “ซึ่งนี่หมายความว่านางไม่ใช่คนของตระกูลถังอีกต่อไป เช่นนั้นก็ต้องฆ่าทิ้งหากจำเป็น”
ถังห่าวถอนหายใจ “ขอรับ ข้าน้อยจะทำตามคำสั่ง”
ถังปินและถังเสี่ยวซีเป็นทายาทสายตรงของถังหลาน ขณะที่ถังห่าวเป็นทายาทสายตรงจากพี่ชายถังหลาน ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้มีสถานะที่สูงในกองทัพ ซึ่งเปรียบเทียบไม่ได้กับพี่น้องของถังปิน ถังลู่ ถังเว่ย และถังเสี่ยวซี โชคดีเพียงใดที่ถังห่าวได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ถังปิน สำหรับผู้ที่มีพลังยุทธ์ไม่สูงมากจะเป็นได้เพียงสาวใช้หรือผู้ติดตามเท่านั้น
…
บริเวณหุบเขาสั่วจือมีดอกไม้กำลังเบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ทั่วทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์
หน่วยสอดแนมสี่นายเดินผ่านหุบเขาสั่วจือ ทั้งสองด้านเต็มไปด้วยป่ารกทึบทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามีสัตว์ร้ายซุ่มโจมตีหรือไม่ พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากแทงหอกลงไปบนพื้น ‘ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ’ งูพิษสองสามตัวพุ่งออกมา แต่สำหรับจอมยุทธ์ งูพิษก็ไม่ต่างจากของเล่นเด็ก พวกเขากลัวเพียงแค่งูพิษอายุหลายพันปีอย่างเช่นงูมังกรเท่านั้น
เส้นทางในหุบเขาสั่วจือมีระยะทางเพียงหนึ่งไมล์เท่านั้น หลังจากเดินสำรวจรอบบริเวณ หน่วยสอดแนมก็ทยอยออกจากหุบเขากลับมารายงานแก่ถังปิน “องค์ชาย มีงูพิษเพียงไม่กี่ตัวในหุบเขาสั่วจือและไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นขอรับ”
ถังปินหยักหน้ารับ “เหอะ! เจิ้งอี้ฝานคิดว่าเขาสามารถพูดหลอกล่อข้าได้ ฝันไปเถิด! เอาล่ะ ออกเดินทางข้ามหุบเขาสั่วจือและไปให้ถึงสุสานมังกรก่อนค่ำ”
“ขอรับ!”
กองทหารซึ่งนำโดยถังปินและถังห่าวจากตระกูลถังทยอยเดินเข้าหุบเขาสั่วจือ กีบเท้าของทหารม้าหนักกว่าหนึ่งพันสองร้อยนายทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือนไปทั้งหุบเขา เห็นได้ชัดว่าหน่วยสอดแนมสี่คนก่อนหน้าเทียบไม่ได้กับพลังเช่นนี้
ขณะเดียวกันภายในถ้ำของหุบเขาสั่วจือ สัตว์อสูรตัวใหญ่ตื่นจากการหลับใหลด้วยความตกใจเสียงของทหารม้าหนัก มันเปิดดวงตาสีแดงเพลิงขึ้นขณะที่ตบหน้าท้องแบนของตน ตลอดฤดูหนาวอาหารเป็นสิ่งที่หาได้ยาก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้สัตว์ร้ายจะเจออาหารมื้ออร่อยหลังจากหิวโหยมาหลายวัน
‘โฮก…’
เสียงคำรามของหมีเหล็กทมิฬดังก้องในหุบเขา วินาทีถัดมาก็ปรากฏร่างใหญ่ยักษ์ความสูงราวสามเมตรโผล่พ้นถ้ำ มันตะปบกรงเล็บลงก้อนหินขนาดใหญ่ทันทีขณะที่เปลวเพลิงลุกโชนทั่วร่างกาย สัตว์ร้ายจ้องมองกลุ่มคนที่เดินผ่านหุบเขาด้วยดวงตาสีแดงก่ำ พวกเขาอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร ทันใดนั้น! มันก็พุ่งตัวไปพร้อมอ้าปากขย้ำศีรษะของทหารม้าหนักนายหนึ่ง หลังจากคายหมวกเหล็กทิ้ง หมียักษ์ก็ตะปบกรงเล็บแหลมอย่างรวดเร็วจนทำให้ทหารม้าอีกสองนายถึงแก่ความตาย!
“ไอ้สารเลว!” ทหารขอบเขตปฐพีชั้นที่สามนายหนึ่งคำรามลั่นและพุ่งออกไปพร้อมหอกเหล็ก แสงใบมีดสะท้อนแสงก่อนที่ปลายหอกจะพุ่งตรงเข้าเบ้าตาอสูรร้าย เมื่อผนวกกับพลังเพลิงทำให้การโจมตีนี้ทรงพลังมากขึ้น!
ช่างน่าเสียดายที่หมีเหล็กทมิฬตัวนี้มีเส้นสีทองสิบเอ็ดเส้นและเส้นสีเงินสี่เส้นบนหน้าผาก นี่คือสัตว์ร้ายอายุหนึ่งหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยปี! เปลวไฟไร้ลักษณ์รอบดวงตาปรากฏขึ้นต้านการโจมตีหอกเหล็กทันที มันจ้องมองด้วยสายตาอาฆาต ทันใดนั้น! ก็ระเบิดความโกรธเกรี้ยวพร้อมตวัดกรงเล็บแหลมออกไปอย่างรวดเร็ว! เลือดสาดกระเซ็นทั่วบริเวณและจอมยุทธ์ขอบเขตปฐพีชั้นที่สามคนนั้นก็ขาดเป็นสองท่อนในพริบตา ไม่มีแม้แต่โอกาสจะส่งเสียงร้อง!
ทุกคนตกตะลึงขณะที่มองไปยังหมีเหล็กทมิฬที่อยู่ตรงกลางกองทัพ ถังปินรีบตะโกนออกคำสั่ง “ใช้ธนูซะ พยายามรักษาระยะห่างไว้ และยิงทำลายปราณป้องกันของมัน!”
พูดจบถังปินก็ผายฝ่ามือ วิญญาณยุทธ์ลอยขึ้นมาเกาะบนไหล่ ก่อนที่เครื่องหมายผนึกจิ้งจอกอัคนีจะพวยพุ่งทะลุอากาศอย่างรุนแรง!
ผนึกสังเวยดวงดารา!
‘ตูม!’
เครื่องหมายผนึกจิ้งจอกอัคนีประทับบนหน้าผากของหมีเหล็กทมิฬอย่างหนักหน่วง ทว่ามีเพียงเปลวไฟและก๊าซร้อนระอุเท่านั้นซึ่งไม่สามารถทำอันตรายแก่สัตว์ร้ายได้ ในทางกลับกันหมีเหล็กทมิฬพุ่งเข้าใส่อย่างดุเดือด มันคว้าทหารที่ถือหอกมาขย้ำจนเลือดสาด ขณะเดียวกันก็มีลูกธนูตกลงราวกับห่าฝน ทว่า…ลูกศรเหล่านั้นจะสามารถทำลายปราณของสัตว์วิญญาณอายุกว่าหมื่นปีได้อย่างไร?
ถังปินอยู่ไม่ไกลจากหมีเหล็กทมิฬ เขาเรียกใช้ผนึกจิ้งจอกอัคนีครั้งแล้วครั้งเล่า ถังปินเป็นเพียงคนเดียวในกองทหารที่มีพลังมากที่สุดอยู่ในขอบเขตนภาชั้นที่หนึ่ง และเป็นคนเดียวที่สามารถฝึกฝนผนึกจิ้งจอกอัคนีจนถึงชั้นที่เจ็ด ทันใดนั้น! ผนึกปัญจธาตุระเบิดกระแทกหน้าผากหมีเหล็กทมิฬอย่างรวดเร็ว! ในที่สุดหลังจากมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บไปเกือบร้อยคน ก็สามารถทำลายการป้องกันของหมีเหล็กทมิฬได้สำเร็จ
“พลธนู!”
“ยิง!”
ถังห่าวออกคำสั่งเสียงดัง ทว่าหมีเหล็กทมิฬเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการป้องกันที่ยอดเยี่ยมในหมู่สัตว์วิญญาณ ขนทั้งตัวแข็งราวกับเหล็กกล้าซึ่งสามารถสกัดกั้นหอกได้อย่างง่ายดาย แทบไม่ต้องพูดถึงลูกธนู มันแทบไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่สัตว์ร้ายได้เลย แต่การโจมตีอย่างต่อเนื่องก็ทำให้มันตกอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่งวิ่งพุ่งชนกองทหาร
…
ในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที กองทัพทหารเมืองชีไห่กว่าหนึ่งพันสองร้อยนายก็ถูกหมีเหล็กทมิฬสังหารจนเหลือไม่ถึงสี่ร้อยนาย ทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยเศษชิ้นส่วนมนุษย์ อีกทั้งสัตว์ร้ายปล่อยพลังเปลวไฟโจมตีใส่กองทหาร ซึ่งแผดเผาผู้คนจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปเป็นจำนวนมาก มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองยิ่งนัก
ทว่าหมีเหล็กทมิฬเองก็ได้รับการชดใช้อย่างแสนสาหัส ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยเลือดและรอยแผลเหวอะหวะ ลูกธนูนับสิบแทงทะลุดวงตาทั้งสองข้าง มันจึงจำเป็นต้องใช้การสัมผัสปราณมนุษย์ในการต่อสู้เท่านั้น
…
บนจุดสูงสุดเหนือหุบเขาสั่วจือ มีจอมยุทธ์นอนใต้ต้นไม้อย่างสบายใจขณะที่ปลดปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณออกไปตรวจสอบการต่อสู้ในหุบเขา ชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น…นอกจากหลินมู่อวี่!