EP.304 มอบหมายอีกครั้ง
แสงดาวสาดส่องผ่านหน้าต่างเหล็กของห้องขัง หลินมู่อวี่นั่งเงียบงันบนฟูกยัดฟาง ขณะที่มีพลังงานไหลเวียนทั่วร่างกาย หลอมกระดูกมังกรยังคงทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น ในปัจจุบันกระดูก เส้นเลือด และส่วนต่างๆ ในร่างกายขอบงหลินมู่อวี่แข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งเหนือกว่าเฟิงจี้สิง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหล่ย และจอมยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตนภาชั้นที่สองเช่นเดียวกัน นี่คือความมหัศจรรย์ที่ได้จากตำราหลอมกระดูกมังกร
หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ หลินมู่อวี่ถอนหายใจและเงยหน้าขึ้นมองแสงดาวนอกหน้าต่าง เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเสี่ยวซีและชวีฉู่อยู่ที่ใดแล้ว ทั้งสองเดินทางได้อย่างรวดเร็วในยามค่ำคืน ซึ่งควรจะไปถึงเมืองชีไห่ภายในสองวันใช่หรือไม่?
ขณะเดียวกันราชาปีศาจเจ็ดประทีปในทะเลจิตพลันกล่าวขึ้น “ไก่อ่อนหลิน เจ้ามาลงเอยที่นี่ได้อย่างไร เฮ้อ ข้าไม่รู้จะพูดอะไรกับเจ้าจริงๆ”
หลินมู่อวี่ยืนพิงหน้าต่างและยิ้ม “ทำไมล่ะ?”
“เจ้าเป็นราชบุตรบุญธรรม แต่กลับต้องมาเข้าคุก เจ้าบอกว่าเจ้าฆ่าถังปินเพื่อหญิงสาวอันเป็นที่รัก แล้วนี่เจ้าได้รับความผิดอะไร?”
ราชาปีศาจเจ็ดประทีปกล่าวอย่างโกรธเคือง “หากเป็นข้าคงทำลายคุกนี้เพียงฝ่ามือเดียวและมุ่งไปที่ภูเขาหลงหยาน เจ้ามีกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดสองหมื่นนายแล้วยังต้องกลัวผู้ใดอีกหรือ? จากนั้นก็ไปยังมณฑลชางหนาน พังประตูเข้าไปข่มขู่ผู้ว่าการซีกงฝาน ก่อนจะยึดอำนาจทหารของเขาทั้งหมด มณฑลเทียนชู่อยู่ใกล้เคียงมากที่สุด ด้วยความสามารถของเจ้าคงสามารถพิชิตมณฑลเทียนชู่ภายในเจ็ดวัน แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ฝึกฝนพลังยุทธ์สักสองปี จากนั้นก็ข้ามเทือกเขาฉินเพื่อไปพิชิตสี่มณฑลทางใต้ ก่อนจะกลับมาจู่โจมเมืองหลันเยี่ยน เท่านี้ทั้งแผ่นดินก็จะตกเป็นของเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องทนทุกข์อยู่ในคุกแห่งนี้เลย”
หลินมู่อวี่เหล่มอง “ราชาปีศาจเจ็ดประทีป แผนการฟังดูเข้าท่ากว่าการร้องเพลงของเจ้าอีก ทว่าน่าเสียดาย มันไม่ถูกต้อง ด้วยวิธีการนั้นจะต้องมีกี่คนที่ต้องตาย…”
“คนตายจะกลัวอะไร?”
ราชาปีศาจเจ็ดประทีปยิ้มเยาะ “ข้าเกิดมาเพื่อเป็นจักรพรรดิ ใครก็ตามที่บอกว่าข้าทำผิด ข้าจะกำจัดมันให้สิ้นซาก ข้าจะบอกเจ้าให้ หากต้องการให้ผู้อื่นเคารพ เจ้าก็ต้องทำให้คนเหล่านั้นเกรงกลัวเป็นอย่างแรก หากไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นเจ้าจะสามารถปกป้องคนที่ห่วงใยและสั่งการคนอื่นให้ทำตามความประสงค์ของเจ้าได้อย่างไร?”
หลินมู่อวี่สูดหายใจลึก “ข้ารู้จักเจ้ามานาน และคำพูดเหล่านั้นก็สมเหตุสมผล ทว่ามันบ้ามาก”
“ข้าบ้าเหรอ?! ฮ่าๆๆ…” ราชาปีศาจเจ็ดประทีปหัวเราะทั้งน้ำตา “ข้าเพียงพูดในสิ่งที่ข้าทำได้ มันคือความทะนงตัว หากพูดว่าข้าบ้า แล้วการท้าทายเจิ้งอี้ฝานขอบเขตปราชญ์ขณะที่ตนเองเป็นเพียงไก่อ่อนล่ะ เจ้ามันเป็นคนบ้ายิ่งกว่า กล่าวได้ว่าเจ้ามันเป็นคนบ้าอันดับหนึ่งในแผ่นดินนี้!”
“เจ้ากำลังเหน็บแนมข้าอีกแล้ว”
“ใช่ ข้ากำลังทำ!” ราชาปีศาจหัวเราะอย่างสะใจ
หลินมู่อวี่ตบบนเตียงเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจ เจ้าหัวเราะเยาะข้า ขณะที่พวกเราต่างใช้ทะเลจิตเดียวกัน เจ้าควรมีความเห็นอกเห็นใจแก่ข้าบ้าง เข้าใจไหม?”
ราชาปีศาจพลันหัวเราะ “เห็นใจเหรอ? ข้าไม่เคยเห็นใจคนอ่อนแอ และเคารพผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น หากเจ้าสามารถยกกองทัพไปทำลายมณฑลอวิ้นจงและมณฑลชีไห่ รวมทั้งทำให้โลกยอมจำนนได้ ข้าจะเคารพเจ้าแน่นอน หากทำไม่ได้เจ้าก็ไม่มีค่าพอ!”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “ราชาปีศาจเจ็ดประทีปเคยทำให้โลกยอมจำนนมาก่อนเหรอ? ผลสุดท้ายที่เจ้าไม่เหลือแม้แต่ร่างกาย ยังมีใครเคารพเจ้าหรือไม่? ท้ายที่สุดก็มีเพียงตัวเจ้าที่รักตนเองมิใช่หรือ?”
ราชาปีศาจเจ็ดประทีปผงะ หลังจากเงียบไปเล็กน้อยก็พูดขึ้นว่า “ไก่อ่อนหลิน เจ้าพูดจาไม่รู้เรื่อง ข้าไปนอนดีกว่า…”
หลินมู่อวี่โกรธเล็กน้อยและเข้านอน
…
สิบวันผ่านไป
เสียงโซ่คล้องประตูถูกถอดออกพร้อมกลิ่นสุราหอมกรุ่น เฟิงจี้สิงถือขวดสุราเข้ามา ชุดเกราะผู้บัญชาการกองทัพแห่งจักรวรรดิดูสง่างามแตกต่างจากชุดสีดำที่หลินมู่อวี่สวมใส่
“ฮ่า! อาอวี่ พี่เฟิงมาหาเจ้าแล้ว!” เฟิงจี้สิงสั่งให้คนรับใช้วางอาหารสองสามอย่างไว้ และพูดว่า “วันนี้พี่ชายจะดื่มเพื่อฉลองที่เจ้าจะได้ออกจากคุกแล้ว”
“ข้ากำลังจะถูกปล่อยตัว?” หลินมู่อวี่ผงะ “ท่านหมายความว่า ฝ่าบาทประทานอภัยโทษให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”
“หึ ช่างเพ้อฝัน…” เฟิงจี้สิงเหลือบตามองและพูดว่า “ฝ่าบาทกักขังเจ้าไว้เพื่อแสดงให้หลานกงเห็นว่าพระองค์เคารพเขา หากหลางกงไม่ยกโทษให้เจ้า คิดหรือว่าฝ่าบาทจะปล่อยเจ้า? ทว่าตอนนี้เป็นโอกาสที่จะได้ออกไปด้านนอก!”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“เจ้ารู้เรื่องการต่อสู้ที่เมืองหน้าด่านอสูรใช่หรือไม่?”
“อืม”
“เมืองชีไห่ส่งกองกำลังมาหนึ่งแสนนายเพื่อเป็นกำลังเสริมที่เมืองอสูร ฝ่าบาททรงประสงค์ให้อวี่เหวินเซี่ยเป็นแม่ทัพบัญชาการทหารหนึ่งแสนสี่หมื่นนายต่อต้านกองทัพอสูรสองแสนตน ทว่าผ่านไปเพียงชั่วโมงเดียว ผู้ส่งสารกลับใสรายงานยังเมืองหลันเยี่ยนว่า อวี่เหวินเซี่ยพ่ายแพ้ต่อกองทัพอสูร ทหารเกือบเจ็ดหมื่นนายที่ออกจากเมืองไปไม่มีใครกลับเข้ามาอีกเลย พวกเขาถูกศัตรูสังหารจนหมดสิ้น แม้แต่นายพลแนวหน้าก็ไม่รอด”
“นี่…” หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “นี่มันอะไรกัน?!”
เฟิงจี้สิงยิ้ม “อวี่เหวินเซี่ยอายุมากแล้ว…เขาไร้ประโยชน์และหัวแข็ง ท่ามกลางแม่ทัพจำนวนมากในเมืองหลันเยี่ยน ข้าเฟิงจี้สิงจำเป็นต้องปกป้องเมืองหลวง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนอยู่ที่ค่ายเขาเหินเพื่อฝึกฝนกองทัพนี้ซึ่งเดิมมิได้อยู่ใต้อำนาจองค์จักรพรรดิ ฉินเหล่ยนั้นกล้าหาญ แต่ก็มีเพียงความกล้าหาญและไร้หลักการ เจ้าเป็นผู้เดียวที่แสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดในกลยุทธ์เมื่อครั้งที่ปะทะกับหลงเซียนหลิน ณ ภูเขาขวานไฟ ดังนั้นเจ้าจะต้องยุติสงครามที่เมืองหน้าด่านอสูรด้วยกลยุทธ์พิเศษภายในเวลาสามวัน ฝ่าบาททรงออกพระบรมราชโองการให้เจ้าออกจากคุก คงมาถึงในเร็ววันนี้”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “พี่เฟิง ดื่มสิ ฮ่าๆ”
“ฮ่าๆๆ ได้สิ ดื่ม!”
…
โดยไม่คาดคิด วันรุ่งขึ้นข้าราชบริพารได้นำพระบรมราชโองการของจักรพรรดิเข้าไปในคุก เพื่อนำตัวหลินมู่อวี่กลับตำหนักเจ๋อเทียน ขณะนี้มีทหารหลายนายในตำหนัก เสนาบดีคนสำคัญอย่างน้อยหนึ่งร้อยนายกำลังเฝ้าดูองค์จักรพรรดิและราชบุตรบุญธรรมผู้นี้ หลินมู่อวี่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดผู้ดูแลวิหารศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อย
ถังเสี่ยวซีกลับมาแล้ว นางยืนข้างชวีฉู่พร้อมส่งรอยยิ้มจางๆ มาให้หลินมู่อวี่ก่อนจะแลบลิ้นอย่างซุกซน
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” หลินมู่อวี่เอ่ยเสียงเรียบและคุกเข่าทำความเคารพองค์จักรพรรดิ
ฉินจิ้นขมวดคิ้วและกล่าวว่า “อาอวี่ เจ้าสังหารถังปินโดยไม่ตั้งใจ…หลานกงให้คำสัญญาว่าจะยังไม่จัดการเจ้าในเร็ววัน ขณะนี้เกิดสงครามนองเลือดในเมืองอสูร ถึงเวลาแล้วที่จักรวรรดิต้องจัดการให้เด็ดขาด ข้าตัดสินใจให้เจ้าเป็นแม่ทัพนำกองทหารเจ็ดร้อยนายจากค่ายรังอินทรีไปยังเมืองหน้าด่านอสูร เพื่อรับช่วงต่อแม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยในการทำศึก เจ้าจะยินดีหรือไม่?”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามาสิ รับตราพยัคฆ์ไป!” ฉินจิ้นกล่าวเสียงดัง
ข้าราชบริพารถือกล่องผ้านำมาให้หลินมู่อวี่ ภายในกล่องมีตราพยัคฆ์สีทองซึ่งแตกต่างจากเหรียญตรามังกรทอง อีกทั้งมีม้วนหนังสือพระบรมราชโองการเพื่อนำไปแสดงอำนาจทางการทหารต่อจากอวี่เหวินเซี่ย
ฉินจิ้นมองหลินมู่อวี่จากระยะไกลและกล่าวว่า “อาอวี่ ออกไปทำศึกซะ หากไม่สามารถเอาชนะกองทัพอสูรได้ ก็ไม่ต้องกลับมายังเมืองหลันเยี่ยน เจ้าต้องการสิ่งใดอื่นใดอีกหรือไม่?”
หลินมู่อวี่พยักหน้าและกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมิเคยเห็นเผ่าพันธุ์อสูรมาก่อนและมิเคยบัญชาการทหารเกือบหนึ่งแสนนาย ดังนั้นได้โปรดส่งทหารผ่านศึกผู้มีประสบการณ์ในการทำสงครามเพื่อคอยชี้นำข้าเป็นครั้งคราว ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินจิ้นหันไปทางเหล่าทหาร “นายพลท่านใดยินดีจะออกไปร่วมศึก?”
ทุกคนต่างเงียบงัน ใบหน้าเจิ้งอี้ฝานซีดลงเล็กน้อยขณะที่กลุ่มทหารค่ายเสินเวยต่างพากันนิ่งเงียบ พวกเขาไม่ต้องการให้การช่วยเหลือหลินมู่อวี่…
ทันใดนั้นทหารผ่านศึกผู้มีผมและเคราขาวเดินออกจากฝูงชนก่อนจะประสานหมัด “ทหารผ่านศึกฉือยิงยินดีช่วยท่านแม่ทัพพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นยิ้ม “ดีมาก แม้ว่านายพลฉืออายุเกือบเจ็ดสิบปี ทว่ากระบวนดาบมิได้ด้อยลงเลย เป็นเรื่องดีหากได้เจ้าร่วมเดินทางไปกับอาอวี่ จำไว้ว่าดูแลลูกชายข้าด้วย เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของข้า”
ฉือยิงประสานหมัด “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
…
บนปกเสื้อของฉือยิงมีตราดอกจื่อยินและดาวทองหนึ่งดวงซึ่งหมายถึงผู้บัญชาการทหารกองพัน ยศทางทหารของทหารผ่านศึกผู้นี้ไม่ดีเท่าหลินมู่อวี่ กระนั้นข้าราชบริพารสองคนพลันก้าวเข้ามาเปลี่ยนให้หลินมู่อวี่เป็นดาวทองสามดวง ซึ่งหมายถึงระดับแม่ทัพ และเปลี่ยนดาวทองสองดวงให้ฉือยิง เพื่อขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองหมื่นและมีอำนาจสั่งการกองทหาร
ทั้งสองไม่ได้เตรียมการอะไรมาก ฉือยิงนำทหารรักษาการณ์เพียงห้าสิบนาย ขณะที่หลินมู่อวี่รวบรวมกองทหารเจ็ดร้อยนายจากค่ายรังอินทรี ก่อนจะออกเดินทางในช่วงบ่ายพร้อมพระบรมราชโองการ สำหรับฉินอิน ถังเสี่ยวซี เฟิงจี้สิง และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ทั้งสี่ถูกส่งไปยังประตูทางทิศเหนือของเมืองหลันเยี่ยน
“อาอวี่ สงครามครานี้มิใช่เรื่องเล็ก ดังนั้นจงเชื่อฟังคำพูดนายพลเฒ่าฉือยิงซะ” เฟิงจี้สิงตบไหล่หลินมู่อวี่และหัวเราะ
หลินมู่อวี่พยักหน้า “อืม ข้าจะเชื่อฟัง”
ใบหน้าฉินอินเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่ยื่นมือไปแตะบังเหียนม้าของหลินมู่อวี่ “พี่อาอวี่ เผ่าพันธุ์อสูรในตำนานเหี้ยมโหดและดุร้ายมาก ท่านต้องระวังตัว…”
ถังเสี่ยวซียิ้มและพูดว่า “มิต้องกังวล มู่มู่จะต้องกลับมาหาพวกเราอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่มู่มู่?”
หลินมู่อวี่ประสานหมัดและยิ้มอย่างสดใส “วางใจเถิดองค์หญิงเสี่ยวอินและองค์หญิงเสี่ยวซี แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเผ่าพันธุ์อสูรเป็นอย่างไร ทว่าก็จะไม่แพ้แน่นอน จงเชื่อมั่นในตัวข้า”
“อื้ม!” สองสาวงามพยักหน้ารับ
ฉือยิงพลันกล่าวขึ้น “ท่านแม่ทัพ เราควรเคลื่อนทัพทันทีและไม่สามารถปล่อยกองทหารของเราไว้เช่นนั้น…”
เว่ยโฉวยิ้ม “ใช่ขอรับ ถึงเวลาที่เราควรเคลื่อนทัพ เหล่าพี่น้องกำลังรอสังหารเผ่าพันธุ์อสูร อีกทั้งพวกเราต่างก็ต้องการเห็นว่าเผ่าพันธุ์อสูรหน้าตาเป็นอย่างไร…”
“อื้ม เคลื่อนทัพได้!”
…
เผ่าพันธุ์อสูรเป็นเผ่าพันธุ์ขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในป่านิรันดร์ซึ่งอยู่บริเวณชายแดนทางด้านตะวันตกของจักรวรรดิ กล่าวกันว่าจำนวนของสัตว์อสูรมีมากกว่าล้านตัว และจำนวนอสูรที่สามารถต่อสู้ได้มีเกือบสามแสนตัว กระนั้นชุดเกราะและอาวุธของพวกมันธรรมดามาก พวกอสูรส่วนใหญ่ใช้ความสามารถดั้งเดิมในการต่อสู้ ดังนั้นจึงมีประสิทธิภาพในการสู้รบไม่มากนัก นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดฉินจิ้นจึงไม่ใช้อำนาจทางทหารของจักรวรรดิเพื่อต่อกรกับเผ่าพันธุ์อสูร
แม้กองทัพอสูรมีจำนวนถึงสามแสนตน ทว่ากองทัพมนุษย์นั้นมีมากกว่าหนึ่งล้านนาย!