Ep.306 เผ่าเทพอัคคี
“ฉึก…ฉึก…ฉึก!”
ทหารองครักษ์ในเมืองสามคนถูกยิงที่คอ เลือดทะลักออกปากก่อนจะร่วงลงพื้นดิ้นอยู่สองสามหนและสิ้นใจตายทันที
“ไอ้อสูรสารเลว!” ฉือหยิงกัดฟัน “เอาธนูข้ามา!”
ทหารองครักษ์สองนายแบกธนูใหญ่ที่ทำจากเหล็กล้วนมา ทหารผ่านศึกฉือหยิงง้างคันธนูด้วยลูกศรยาวหนึ่งเมตรก่อนจะยิงออกไปในพริบตา ลูกศรยาวพุ่งไปในป่าทะลวงร่างอสูรหริณะตัวหนึ่งตาย หัวใจของมันหลุดติดศรแหลมไปปักบนก่อนหินด้านหลัง
“ท่านแม่ทัพเฒ่าช่างแม่นยำดีแท้!” หลินมู่อวี่ปรบมือ
แม้แต่เว่ยโฉวยังตื่นตาตื่นใจกับฝีมือการยิง “ฝีมือการยิงของท่านแม่ทัพราวกับเทพ น่าชื่นชมยิ่งขอรับ!” ฉือหยิงยิ้ม “แม่ทัพหลวงอย่าได้กล่าวเกินจริงไป ฉือหยิงผู้นี้เป็นเพียงคนธรรมดา หวังเพียงว่าคันศรกับมือคู่นี้จะช่วยปกป้องอาณาจักรได้”
เว่ยโฉวดันคันศรกลืนปีศาจของตนออกมา “ฟิ้ว!” ธนูเพียงไม่กี่ดอกถูกยิงไปจนสุดขอบเมืองจนอสูรครึ่งอสรพิษล้มตายกันเป็นแถบ เว่ยโฉวตั้งใจเล็งส่วนตาและลำคอที่ไม่มีเกล็ดโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นทักษะที่น่าทึ่งอย่างมาก
ฉือหยิงเบิกตากว้างมองเว่ยโฉวอย่างนับถือ “โอ้ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าองครักษ์อวี้หลินจะมียอดธนูเช่นนี้อยู่ด้วย ข้าขอนับถือ!”
สายตาหลินมู่อวี่สะดุดเข้ากับกลุ่มอสูรด้านล่างกำแพง “พวกมันจะเอาแต่โจมตีเช่นนี้หรือ?”
“ขอรับ”
ถังเจิ้งกล่าว “พวกมันจะใช้อสูรครึ่งอสรพิษเป็นโล่ และคนที่โจมตีหลักคืออสูรหริณะ ศรแห่งความเกลียดชังของพวกมันนั้นทรงพลังนัก ทหารของเราถูกฆ่าตายนับไม่ถ้วนเพราะอาวุธของมัน”
“เราทำอะไรไม่ได้เลยหรือ?”
“ขอรับ นอกจากออกจากเมืองไปสู้กับพวกมัน!” ถังเจิ้นยืดเส้นยืดสาย “แม่ทัพหลวงดูหุบเขาลูกนั้นขอรับ ก่อนหน้านี้แม่ทัพอวี่เหวินเซี่ยเคยสั่งการให้กองกำลังออกไปสู้รบ ในหุบเขานั้นมีอสูรอยู่กว่าแสนห้าตัว กองกำลังเจ็ดหมื่นนายที่น่าสงสารถูกปิดล้อมและสังหารที่นั่น”
ด้านนอกเมือง อสูรครึ่งอสรพิษยังคงโจมตีอย่างบ้าคลั่ง พวกมันใช้ตะขอเหล็กในมือฝังเข้ากับกำแพงเมืองหน้าด่านอันเก่าแก่นี้และปีนขึ้นมา ส่งผลให้นอกกำแพงนั้นเต็มไปด้วยพวกสัตว์เลื้อยคลานที่เข้าจู่โจมจำนวนนับไม่ถ้วน
เว่ยโฉวสีหน้าเคร่งเครียดพลางบ่นพึมพำ “ท่านแม่ทัพ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าประตูเมืองหน้าด่านนี้คงพังในอีกไม่กี่วันขอรับ”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล “กลับไปยังฐานและส่งคนมาป้องกันเพิ่ม เราจะแพ้ไม่ได้”
“ขอรับท่านแม่ทัพหลวง!”
…
เมื่อกลับมาถึงกระโจมใหญ่ซึ่งเป็นฐานบัญชาการ ทุกคนต่างนั่งขมวดคิ้วอยู่ตรงโต๊ะทราย หลินมู่อวี่นิ่งเงียบพลางเล่นกับเครื่องประดับทองบนด้ามกระบี่วิญญาณมังกร
ถังเจิ้นประสานกำปั้นคำนับ “ท่านแม่ทัพหลวง ในขณะที่เรานั่งเฉยกันอยู่นี้ ทหารด้านนอกต่างล้มตายกันทุกวินาที ทั้งเสียขวัญกำลังใจไปก็มาก ท่านมีแผนการรับมือบ้างแล้วหรือยังขอรับ?”
“ยัง” หลินมู่อวี่ส่ายศีรษะก่อนหันไปมองฉือหยิง “ท่านแม่ทัพฉือเคยรบกับเผ่าอสูรมาก่อน ท่านรู้จุดอ่อนของพวกมันหรือไม่?”
ฉือหยิงตอบ “ครั้งล่าสุดที่เผ่าอสูรสามแสนนายรุกรานดินแดนมนุษย์ เสินโหวเจิ้งอี้ฝานได้ล่อมันไปยังภูมิประเทศที่เปิดกว้าง ก่อนจะให้กองทัพจักรวรรดิสองแสนนายเข้าห้ำหั่นกับพวกมันจนสิ้น ทว่าตอนนี้…เราไม่มีกำลังเช่นครั้งก่อน ท่านที่มีอยู่อ่อนแอเกินไป”
เว่ยโฉวมองหลินมู่อวี่ก่อนจะเอ่ยถาม “จากที่ท่านแม่ทัพฉือได้กล่าวไป ท่านคิดว่าอย่างไรบ้างขอรับ?”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “ข้ากำลังคิดถึงเผ่าอสูรที่ต้องสูญเสียมิใช่น้อยกับการรบครั้งนี้ อีกทั้งพวกมันดูสิ้นหวัง…แท้จริงแล้วพวกมันต้องการสิ่งใดจากเรากันแน่? หากต้องการพิชิตเมืองหลันเยี่ยน…ด้วยความแข็งแกร่งเท่านี้คงไม่พอ”
ผู้บัญชาการเทียนฉงกัดฟัน “อสูรพวกนี้ไม่ใช่มนุษย์แต่แรกด้วยซ้ำ อันที่จริงไม่สำคัญว่ามันจะเป็นอะไร เราเพียงแค่สังหารมันเพื่อองค์จักรพรรดิเท่านั้น!”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “ความจริงก็คือความจริง ต้องขอบคุณอวี่เหวินเซี่ย ตอนนี้เราไม่มีกองกำลังมากพอจะจัดการกับอสูรนับแสนพวกนี้ได้”
“ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่แม่ทัพหลวง?” ฉือหยิงเอ่ยถาม
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นเอามือยันโต๊ะไว้ “พรุ่งนี้เราจะสร้างกำแพงไฟแล้วกันพวกอสูรครึ่งจิ้งจอกไว้ ข้าอยากคุยกับผู้นำพวกมัน”
“ว่าอย่างไรนะ!?”
หนึ่งในผู้บัญชาการกองหมื่นตะลึง “ท่านแม่ทัพหลวงอยากเสวนากับเผ่าอสูรอย่างนั้นรึ? ท่านไม่กลัวถูกใส่ความว่าสมคบคิดกับพวกมันและทรยศต่ออาณาจักรหรือ?”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “อยากจะพูดก็พูดไปเถิด…ข้าควบคุมปากใครไม่ได้”
…
กลางดึก ทหารองครักษ์เข้าไปในป่าเพื่อตัดไม่แห้งและเก็บน้ำมันจากต้นบีชสีดำ มันเป็นวัสดุธรรมชาติที่สามารถติดไฟได้ แม่จะมีไม่มาก ทว่าก็พอใช้สำหรับก่อเพลิงพรุ่งนี้
สายลมเย็นเป็นพิเศษพัดผ่านเมืองหน้าด่านอสูร
ดวงจันทร์สว่างลอยเด่นกลางท้องฟ้ายามราตรี กองทัพครึ่งอสูรอสรพิษล่าถอยราวกับคลื่นน้ำชักกลับ ทว่าแทนที่ด้วยกองทัพอสูรครึ่งกิ้งก่าหนึ่งหมื่นตน นัยน์ตาสีน้ำตาลประกายเจิดจ้าสะท้อนแสงจันทร์ “ฝ่อ…” มันแลบลิ้นเข้าออก ในมือข้างหนึ่งถือโล่และอีกข้างกำพลั่วไว้ พวกมันเข้าประชิดกำแพงเมืองอย่างรวดเร็วก่อนจะเริ่มขุด!
“ไอ้พวกชั่วช้า!”
ฉือหยิงลูบเคราขาวพลางสบถด่า “ไอ้กิ้งก่าพวกนี้คิดจะขุดกำแพงเมืองรึ?”
หลินมู่อวี่มองเห็นฝูงกิ้งก่าได้อย่างชัดเจนจากแสงพระจันทร์ หัวพวกมันทั้งน่าขยะแขยงน่ากลัวทว่าเหมือนจะมีสติปัญญา “กิ้งก่าพวกนี้ไม่มีสมอง พวกมันถูกบงการโดยจิ้งจอก”
“เราจะทำอย่างไรต่อท่านแม่ทัพหลวง?” ฉือหยิงถาม
“ฐานกำแพงเมืองหน้าด่านอสูรนี้ลึกเพียงใด?”
“ราวยี่สิบเมตร”
“เยี่ยมเลย ปล่อยพวกมันขุดไป แล้วพรุ่งนี้เราค่อยใช้หินกลิ้งปิดปากหลุมทับพวกมันเสีย”
“ขอรับ!”
ท่ามกลางราตรีเย็นเยียบ หลินมู่อวี่กระชับผ้าคลุมกายพลางมองออกไป กำแพงใหญ่ถูกสร้างจากชายแดนนตะวันตกของอาณาจักร ลากยาวผ่านเทือกเขาสูงชันเรามังกร นี่อาจเป็นเหตุผลหลักที่เผ่าอสูรไม่สามารถรุกล้ำไปฝั่งตะวันออกได้ ส่วนเมืองหน้าด่านอสูรนี้ตั้งอยู่พื้นที่ราบของกำแพงหนา โดยมีแนวรบของทหารคอยสกัดกั้นอสูรอยู่
“กลับกันก่อนเถิด ข้าจะตรวจตราแถวนี้ต่ออีกสักหน่อย” หลินมู่อวี่กล่าว
“ขอรับแม่ทัพหลวง!”
ฉือหยิง ถังเจิ้น เว่ยโฉวและคนอื่นๆ ทยอยกลับค่าย ทิ้งไว้เพียงหลินมู่อวี่ที่ถือกระบี่วิญญาณมังกรเดินตรวจตรารอบประตูเมือง หลังจากเดินไปได้ไม่ไกลเขาก็มาถึงภูเขาลูกหนึ่ง เมื่อมองไปยังทิศตะวันตก ด้วยแสงสว่างชัดเจนเขามองเห็นแนวป่ายาวไม่มีที่สิ้นสุดราวกับมหาสมุทรที่คอยเพาะพันธุ์เผ่าอสูร อันที่จริงในสายตาหลินมู่อวี่…เผ่าอสูรนั้นเป็นยิ่งกว่าครึ่งสัตว์หรือครึ่งมนุษย์ พวกมันน่าสงสาร…หลินมู่อวี่จึงอยากรู้ว่าพวกมันต้องการสิ่งใดกันแน่?
มองลงไปเบื้องล่างจากบนกำแพงไปจนถึงพื้นราวสามสิบเมตร หลินมู่อวี่สูดหายใจลึกมององครักษ์รอบตัวเขา ขณะที่องครักษ์เหล่านั้นก็มองเขาเช่นกัน
“ท่านแม่ทัพหลวงอยากไปฝั่งตะวันตกหรือขอรับ?”
“อืม” หลินมู่อวี่พยักหน้า “คอยอยู่ที่นี่จนกว่าข้าจะกลับมาแล้วอย่าทำอะไรผลีผลาม”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่หายเข้าไปในความมืด ทันใดนั้นแสงสีทองส่องสว่างขึ้น เถาวัลย์น้ำเต้ารั้งกำแพงเมืองช่วยหลินมู่อวี่ไต่ลงไป ถึงอย่างไรก็ตามการโดดจากความสูงสามสิบเมตรก็น่ากลัวอยู่ดี ไม่นานทั้งคนทั้งพืชก็ร่วงลงพื้น “ตุบ!” แรงกระแทกทำเข้าหลินมู่อวี่สะท้าน เขายันตัวยืนขึ้นพร้อมกับเสียงครวญครางพลันเก็บกระบี่วิญญาณมังกรเข้าฝัก หลินมู่อวี่เดินเข้าไปในป่าก่อนจะหายไปจากสายตาขององครักษ์
…
ไม่นานนักก็พบค่ายของเผ่าอสูรอยู่ตรงหน้า ทว่าในค่ายนั้นไม่มีแสงไฟเลยแม้แต่น้อย เพราะเหล่าอสูรอสรพิษ กิ้งก่า และหมีต่างกลัวไฟ มีเพียงครึ่งจิ้งจอกและอสูรหริณะเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวเปลวเพลิง หลินมู่อวี่เดินอย่างระมัดระวังคอยหลีกเลี่ยงค่ายของอสูรอสรพิษที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญคราง การโจมตีอย่างบ้าคลั่งเมื่อกลางวันทำให้พวกมันบาดเจ็บจำนวนมากและกำลังรักษาแผลกันอยู่ ยาที่ใช้เป็นพวกสมุนไพรและคาถาโบราณซึ่งเขาฟังไม่ออก
ค่ายของเผ่าอสูรกระจายอยู่ทั่วป่าราวกับที่นี่เป็นบ้านของพวกมัน
หลินมู่อวี่ที่เดินมาไกลกว่าห้าไมล์ ในที่สุดก็พบไฟสลัวอยู่เบื้องหน้า เขาค่อยๆ พาตัวเองเข้าไปใกล้ก่อนจะพบว่ามันคือค่ายที่มีกระโจมสร้างจากผ้าสีเทากระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
“สวบ…สวบ…”
ไม่ไกลนักก็มีเสียงเดินไปมาของเงามืดในป่า หลินมู่อวี่กระชับกระบี่วิญญาณมังกรเตรียมไว้พลางออกตามมันไป
ขณะที่กำลังเข้าใกล้ ทันใดนั้นหลินมู่อวี่ก็กระโดดขึ้นพลางใช้ปราณยุทธ์เรียกเถาวัลย์น้ำเต้าขึ้นมาจากพื้น! ในพริบตาเงาดำก็ถูกพันธนาการด้วยวัชพืช! หลินมู่อวี่ถลาเข้าไปก่อนจะใช้มือปิดปากศัตรูเอาไว้ พลันชักกระบี่ออกมาพร้อมกับเปลวเพลิงจี้คอฝ่ายตรงข้าม “อย่าส่งเสียง มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”
ทว่าด้วยแสงจากเปลวเพลิงขอกระบี่วิญญาณมังกร ทำให้หลินมู่อวี่เห็นคนที่เขาจับตัวไว้ หญิงสาวรูปร่างน่าหลงใหลมีหูจิ้งจอกอยู่บนหัวและหางฟูแกว่งไปมาด้านหลัง นางมองหลินมู่อวี่ด้วยความหวาดผวา พยายามดิ้นรนจนสุดชีวิตแต่ก็มิอาจสู้แรงพันธนาการได้
หลินมู่อวี่ตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าอสูรจิ้งจอกจะมีผู้หญิงด้วย ทว่าเมื่อคิดถึงการสืบพันธุ์โดยไม่มีตัวแม่แล้วเขาก็อดขำกับตัวเองไม่ได้
“หากเจ้าเงียบปากไว้ข้าจะปล่อยเจ้า แต่หากเจ้าไม่ทำตามข้าก็จะฆ่าเจ้าเสีย” หลินมู่อวี่พูดอย่างเย็นชา “พยักหน้าหากตกลง”
จิ้งจอกสาวพยักหน้าโดยพลัน หลินมู่อวี่จึงปล่อยนางก่อนจะถาม “เจ้าเป็นใคร?”
จิ้งจอกสาวเบิกตากว้างก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้ำอึ้ง “ข…ข้าเป็นคนรับใช้ของท่านปราชญ์…”
“ปราชญ์หรือ?”
“เจ้าค่ะ ท่านปราชญ์เผ่าเทพอัคคีแห่งป่านิรันดร์”
หลินมู่อวี่เริ่มสับสน “บอกข้ามาว่าเผ่าอสูรที่นิ่งเฉยมาหลายทศวรรษ เหตุใดจึงเข้ารุกรายดินแดนมนุษย์?”
จิ้งจ้องสาวส่ายศีรษะด้วยแววตาหวาดกลัว “ข…ข้าบอกไม่ได้ มิเช่นนั้นจะเป็นการหักหลังท่านปราชญ์”
“พูดออกมา!”
กระบี่ยาวหลินมู่อวี่ชี้เข้าที่คอขาว
จิ้งจอกสาวหลับตาร้องไห้ หางฟูหดตัวพร้อมกับใบหูสั่นระริก นางกล่าวทั้งน้ำตา “หากท่านสังหารข้า หงหลัวผู้นี้คงไม่ได้รับใช้ท่านปราชญ์อีกแล้ว…”
“ช่างภักดีและดื้อรั้นเสียจริง…” หลินมู่อวี่ถอนหายใจ