Ep.313 สามพี่น้อง
กลางดึก ณ ตำหนักเจ๋อเทียน สาวใช้ในตำหนักต่างไล่จุดโคมไฟโดยรอบจนสว่างไสว ด้านนอกมีลมพัดกระโชกแรงพัดผ่านไปอย่างต่อเนื่อง
หลังจากขุนนางทั้งหลายออกไปแล้ว เหลือเพียงฉินจิ้น ฉินอิน ถังเสี่ยวซี เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉินเหลย ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน กับอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังอยู่ ฉินจิ้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจิงจัง “อาอวี่ จากที่ผู้บัญชาการเฟิงได้แจ้งมา จริงหรือไม่ที่ทหารรับจ้างกลุ่มนั้นสามารถใช้เพลงดาบหลิงนานได้?”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นถามต่อ “เจ้าคิดว่าพวกมันกำลังหมายหัวใครอยู่หรือไม่?”
“ป่าล่ามังกรนั้นอันตรายเกินกว่าที่ทหารรับจ้างพเนจรจะเข้าไปโดยไร้จุดหมาย อันที่จริงไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความ พวกมันต้องมุ่งเป้าไปยังเสี่ยวซีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” หลินมู่อวี่ตอบ
ถังเสี่ยวซีตกใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น “แล้วเหตุใดคนจากฝั่งหลิงหนานถึงต้องการตัวข้าด้วยเล่า?”
ฉินอินตอบกลับด้วยไหวพริบของนาง “เสี่ยวซี เจ้าเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดของหลานกง หนึ่งในทายาทผู้สืบทอดมณฑลชีไห่ ดังนั้นมีสองเหตุผลี่คนจากหลิงหนานพวกนี้ตามหาเจ้า หนึ่งคือเพื่อช่วยเจ้าแล้วทวงบุญคุณกับหลานกงโดยใช้เมืองชีไห่เป็นเครื่องต่อรอง สอง…ลักพาเจ้าไปหลิงหนานเพื่อใช้เป็นตัวประกันแก่หลานกง”
ถังเสี่ยวซีนิ่งเงียบ ความรู้สึกเสียใจเอ่อล้นออกมาผ่านสายตาจนพูดไม่ออก ตั้งแต่เมื่อไรที่ตนได้กลายเป็นตัวหมากสำคัญบนกระดานหมากรุกจองจักรวรรดิเช่นนี้
เฟิงจี้สิงถอนหายใจพลางคำนับ “ข้าได้ติดต่อไปยังสำนักอัศวินหลายครั้งแล้วว่าต้องการทำสิ่งใดกับเสี่ยวซีกันแน่ เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างมากหากจะคิดว่าสำนักอัศวินในหลิงหนานไม่เชื่อฟังพระกฤษฎีกา ทั้งยังพบว่ามีการเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากมีผู้มีอำนาจระดับสูงในหลิงหนานคอยหนุนหลังอยู่”
“ผู้มีอำนาจระดับสูง…”
ฉินจิ้นกล่าวด้วยท่าทีสนใจ “อาเหลย”
ฉินเหลยประสานกำปั้นคำนับ “กระหม่อมพร้อมรับฟังพ่ะย่ะค่ะ”
“พรุ่งนี้เช้า ข้าจะให้พ่อเจ้ามาเมืองหลันเยี่ยน ข้าไม่ได้พบพี่น้องมานานแล้ว”
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นเงยหน้ามองคนโดยรอบ “เฟิงจี้สิง จงคอยอารักขาเมืองหลวงให้แน่นหนาต่อไป ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน…การจจัดกระบวนทัพเขาเหินใหม่ต้องแล้วเสร็จภายในสามวัน ข้าอยากให้ทัพเขาเหินคอยช่วยคุ้มกันเมืองหลวงด้วย”
ฉู่ฮว่ายเหมี่ยนคารวะ “กระหม่อมจะไม่ทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ…”
ฉินจิ้นหันไปมองหลินมู่อวี่ด้วยแววตาอ่อนโยน “ลูกชายข้า ครานี้เจ้าได้ทำภารกิจใหญ่ในการระงับศึกสองเผ่าพันธุ์ได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังสามารถช่วยองหญิงซีในป่าล่ามังกรไว้ได้เพียงลำพัง นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นักถึงกระนั้นการที่เจ้าได้ทำการผิดพลาดสังหารถังปินไป ข้าจึงไม่รู้จะตัดสินรางวัลที่ควรมอบให้แก่เจ้าได้อย่างไร เจ้าลองบอกได้หรือไม่ว่าต้องการสิ่งใดอยู่?”
หลินมู่อวี่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งใดขอรับเสด็จพ่อ นอกจากเหรียญตราจักรพรรดิสองหมื่นเหรียญได้หรือไม่?”
“เหรียญตราจักรพรรดิรึ?”
ฉินจิ้นประหลาดใจ “เจ้าจะเอามันไปทำสิ่งใด?”
หลินมู่อวี่อธิบาย “เสด็จพ่อ ท่านยังจำทหารรับจ้างมังกรผงาดได้หรือไม่? กลุ่มทหารรับจ้างที่ข้าเป็นคนดูแล ทว่าพวกเขายังไม่มีจุดมุ่งหมายในการทำภารกิจ ข้าหวังว่าเสด็จพ่อจะเมตตาช่วยมอบตราจักรพรรดิให้ เพราะอย่างไรเสีย…พวกเขาก็รับใช้จักรวรรดิแม้จะไม่ได้ขึ้นตรงกับกระทรวงกลาโหม ข้าอยากทำให้พวกเขาพวกเขาสบายใจ เผื่อในวันข้างหน้า…หากต้องมีเหตุใดให้นองเลือดและน้ำตา พวกเขาจะได้ยอมหลั่งมันเพื่อแผ่นดินนี้อย่างไม่เสียดาย”
“ได้สิ…” ฉินจิ้นลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น “ทุกคนล้วนต้องการความสบายใจอย่างนั้นสินะ ข้าจะไม่ปล่อยให้ทหารของเจ้าต้องรู้สึกเคลือบแคลง…ข้าขอสั่งให้กระทรวงอุตสาหกรรมผลิตเหรียญตราจักรพรรดิสีทองสองหมื่นเหรียญแล้วส่งมอบให้หลินมู่อวี่เดี๋ยวนี้”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!” ข้าราชบริพารรับคำสั่งและออกจากห้องไปทันที
“ต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?” ฉินจิ้นเอ่ยถามราวกับเหรียญตราสองหมื่นเหรียญนั้นยังไม่คู่ควรกับสิ่งที่หลินมู่อวี่ได้ทำไป
หลินมู่อวี่ส่ายหน้า “ไม่มีแล้วขอรับ”
“แน่ใจหรือ?”
ฉินจิ้นยิ้ม “แม่ทัพพิทักษ์เมืองอวี่เหวินเซี่ยทำภารกิจล้มเหลวในการรบที่เมืองหน้าด่านอสูร เป็นผลให้ต้องสูญเสียทหารฝีมือดีไปเกือบเจ็ดหมื่น ข้าสั่งริบตำแหน่งทางทหารของเขาแล้ว…สำหรับเจ้าจะมอบตำแหน่งแม่ทัพอันดับสามให้…”
หลินมู่อวี่ชะงัก “เสด็จพ่อจะอวยยศให้ข้าหรือ? ข้ายินดียิ่งหากเสด็จพ่อทรงกรุณา…”
ฉินจิ้นหัวเราะ “เช่นนั้นข้าขออวยยศให้หลินมู่อวี่เป็นแม่ทัพอันดับสาม…แม่ทัพพิทักษ์เมือง เงินเดือนจะถูกปรับขึ้นตามลำดับขั้นพร้อมกับของขวัญพิเศษตรามังกรทองศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะสามารถเรียกรวมกำลังพลสองหมื่นนายเมื่อไรก็ได้ในอาณาจักรนี้…”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท…” หลินมู่อวี่กล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ ตอนนี้อำนาจในมือหลินมู่อวี่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ฉินจิ้นเองก็ยอมรับเขาในฐานะลูกชายโดยไม่เกี่ยวกับยศหรือเงินทองที่เขาได้รับ ถึงกระนั้นคนทั่วไปก็ยังคงมองว่าเขาไม่เหมาะจะเป็นองค์ชาย แต่ตอนนี้เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพระดับสามแล้ว บางทีคนเหล่านั้นคงมองเขาดีขึ้นบ้าง
ทันใดนั้นเสียงของราชาปีศาจเจ็ดประทีปก็ดังก้องขึ้นในหัว “หากเจ้าอยากให้คนเคารพ เจ้าต้องทำให้พวกมันกลัว”
เป็นคำพูดที่มีเหตุผล…
กระทั่งกลางดึก หลินมู่อวี่ไปส่งถังเสี่ยวซีกลับจวนขุนนาง ตอนนี้ถังเสี่ยวซีมีม้วนตำราผนึกเทพอัคคีแล้ว คงช่วยให้นางฝึกฝนพลังได้ดีขึ้น เมื่อส่งถังเสี่ยวซีเรียบร้อยหลินมู่อวี่ก็เดินทางกลับวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เปรียบเสมือนบ้านเพื่อพักผ่อน เหรียญตราประจำตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์เมืองถูกเก็บไว้ในถุงสรรพสิ่ง ก่อนหน้านี้ฉินจิ้นบอกว่าจะสร้างจวนให้เขาอยู่ในเมืองหลวง ทว่ายังไม่สามารถแล้วเสร็จได้ในเร็ววันจึงต้องอยู่วิหารรอไปก่อน…
…
วันต่อมา หลินมู่อวี่เข้าร่วมการชุมนุมที่ตำหนักเจ๋อเทียนช่วงเช้าในฐานะแม่ทัพพิทักษ์เมือง มีข่าวอันน่าตกใจส่งมาถึงจักรพรรดิ เจิ้งอี้ฝานส่งสาส์นมาขอลาออกจากกองทัพเพื่อกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด ซึ่งฉินจิ้นเห็นชอบโดยไม่ขัดอันใด ขณะที่ทุกคนยังอยู่กับจักรพรรดิในตำหนัก เสินโหวเจิ้งอี้ฝานก็เก็บของเตรียมย้ายไปอยู่บ้านเกิดที่มณฑลเชียนชู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้…ท้องฟ้าเมืองหลันเยี่ยนเริ่มเปลี่ยนไป กองกำลังต่อต้านที่เคยนำโดยเจิ้งอี้ฝาน บัดนี้ได้สูญเสียเสาหลักที่คอยค้ำยันไปแล้ว หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน จางเหว่ยและยอดฝีมือคนอื่นๆ ของฉินจิ้นจึงได้รับกำลังทหารเพิ่ม เท่านี้เมืองหลันเยี่ยนทั้งหมดก็ตกอยู่ในมือของตระกูลฉินอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ในห้องโถงใหญ่ ฉินฮว๋ายที่ถือดาบอยู่ในมือเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่จักรพรรดิ ช่วงนี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยดี คงเป็นเพราะอยากไปตกปลากับท่านพี่อีกกระมัง?”
ฉินจิ้นหัวเราะ “น้องข้าช่างมีอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง ตอนนี้ข้ากำลังยุ่งอยู่กับงานของกระทรวงต่างๆ ข้าคงไม่มีเวลาไปที่ใด เว้นเสียแต่เจ้าจะช่วยข้าทำงาน…ข้าจึงจะไปตกปลากับเจ้าได้”
“โอ้ ว่าอย่างไรนะ?” ฉินฮว๋ายกล่าว แม้จะเป็นถึงราชาแห่งสันติ ทว่าฉินฉว๋ายในไม่มีอำนาจทางทหารเลย ในวันที่ฉินจิ้นขึ้นครองราชย์ เขายกอำนาจทางทหารทั้งหมดให้ฉินจิ้นโดยไม่สนเรื่องการเมืองใดๆ ช่างสมกับชื่อราชาแห่งสันติแห่งเมืองหลันเยี่ยนเสียจริง
ฉินจิ้นพยักหน้ากล่าว “น้องสาม นานแค่ไหนแล้วที่เจ้าไม่ได้เจอพี่สองของเจ้า?”
“ท่านพี่สองหรือ?”
ฉินฉว๋ายยิ้ม “ห้าปีได้แล้วกระมัง…”
“ใช่ เพียงกะพริบตาเวลาก็ผ่านไปห้าปีแล้ว” ฉินจิ้นถอนหายใจ “สามพี่น้องอย่างเราไม่ได้อยู่พร้อมหน้ากันมาห้าปี ตอนนี้คงถึงเวลาแล้ว ข้าวางแผนจะให้ฉินอินช่วยดูแลจักรวรรดิสักเดือนแล้วไปเยี่ยนพี่เจ้าที่เทียนชู่ ไปตกปลาตกปลาที่ทะเลสาบภูตด้วยกัน ย้อนเวลานึกถึงช่วงวัยเยาว์น้องสามคิดว่าอย่างไร?”
ฉินฮว๋ายยิ้มอย่างมีความสุข “ท่านพี่คิดถูกแล้วขอรับ เมื่อท่านพี่มอบอำนาจชั่วคราวให้ฉินอินแล้ว เราสามคนจะได้ไปตกปลาที่ทะเลสาบภูตกัน ไม่สิ…ข้าต้องกลับไปเอาไวน์ที่บ้านด้วย เราจะตกปลาโดยไม่มีไวน์ไม่ได้ เพื่อรำลึกวัยเด็กอันหอมหวานของเรา…”
ฉินจิ้นหัวเราะ “เอาตามนั้น ตอนนี้ฉินอินโตขึ้นมากแล้ว นางคงมีประสบการณ์มากพอจะดูแลจักรวรรดิได้สักเดือนรวมไปถึงงานราชการต่างๆ ด้วย ข้าหวังว่าพวกเจ้าเหล่าขุนนางจะให้ความช่วยเหลือลูกสาวข้าอย่างเต็มที่นะ เพราะอย่างไรเสียจักรวรรดินี้ก็ต้องเป็นของนางสักวันอยู่ดี…”
ขุนนางทั้งหลายที่ได้ยินจึงคุกเข่า “องค์จักรพรรดิโปรดวางพระทัยเถิดขอรับ พวกเราจะช่วยเหลืออง๕์หญิงอย่างสุดความสามารถ”
“ดีมาก…”
ฉินจิ้นพยักหน้า “เช่นนั้นน้องสาม เจ้าจงเขียนจดหมายและส่งไปยังหลิงหนานพร้อมกับคำสั่งของข้า หลังจากน้องสองตอบกลับเราจะออกเดินทางไปมณฑลเทียนชู่ทันที…”
“ขอรับ ท่านจักรพรรดิ…”
ขณะเดียวกันเฟิงจี้สิงก็เอ่ยขึ้น “ฝ่าพระบาท ทรงต้องการให้กระหม่อมพากองกำลังองครักษ์ไปด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่จำเป็น”
ฉินจิ้นโบกมือปฏิเสธ “หน้าที่ของกองกำลังองครักษ์คือปกป้องเมืองหลันเยี่ยน ห้ามออกจากเมืองไปแม้แต่ก้าวเดียว”
ฉินเหลยกล่าว “เช่นนั้นกระหม่อมจะนำองครักษ์ตามไปคุ้มกันพระองค์แทนพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง” ฉินจิ้นยิ้มกล่าว “ทหารองครักษ์อวี้หลินมีหน้าที่ดูแลเสี่ยวอิน หากไม่ได้รับการอนุญาตจะไปไหนตามใจชอบไม่ได้”
ฉินฉว๋ายสงสัย “แล้วท่านพี่จะให้กองทัพใดตามเราไปเทียนชู่เล่า? เส้นทางไปเทียนชู่นั้นอันตรายเต็มไปด้วยโจร เราจะรอดได้อย่างไรหากไม่มีทหารเพียงพอ?”
ฉินจิ้นยิ้ม “ข้าจะให้ทหารฝีมือดีห้าหมื่นนายจากเทียนฉงรวมกับกองทัพมังกรจุติที่เฝ้าสุสานจักรวรรดิอีกสี่หมื่นนาย และเมื่อผ่านมณฑลชางหนาน ข้าจะเรียกกองกำลังจากซีกงฝานอีกหนึ่งหมื่นนาย ทหารทั้งหนึ่งแสนนายนี้จะตามเราไปยังเทียนชู่ด้วย มากพอหรือยัง?”
“พอแล้วๆ…” ฉินฉว๋ายยิ้มอย่างดีใจ “ตอนเด็กข้าเคยคิดว่าเราสามคนจะตกปลา เล่นหมากรุก ขี่ม้าและยิงธนูกันทุกวัน มาถึงตอนนี้ที่เราใกล้ลงโลง ตายเสียคงง่ายกว่าจะทำเช่นนั้นทั้งวัน”
“ฮ่าๆๆ น้องสามอย่าพูดไป มันเป็นเรื่องอัปมงคล…”
…
หลังจากสิ้นสุดการประชุม หลินมู่อวี่อยู่ทานอาหารเที่ยงกับฉินจิ้น
กระทั่งเที่ยงวัน จักรพรรดิฉินจิ้นก็สวมผ้ากันเปื้อนลงมือทำอาหารด้วยตนเองโดยไม่ให้ใครช่วยเหมือนเช่นทุกครั้ง ทั้งหั่นผัก ผัดผัก…ทุกอย่างล้วนทำเองหมด หลินมู่อวี่และฉินอินทำได้เพียงนั่งรออาหารพร้อมเท่านั้น
“เสด็จพ่อจะไปตกปลาที่เทียนชู่จริงหรือขอรับ?” หลินมู่อวี่ถาม
ฉินจิ้นยิ้ม “ใช่ เราสามพี่น้องไม่ได้เจอกันนานแล้ว”
ฉินอินเผยท่าทีกังวล “แล้วหากท่านลุงปฏิเสธที่จะเจอเล่าเจ้าคะ?”
“เรื่องของพี่น้องก็ควรตัดสินด้วยความเป็นพี่น้องไม่ใช่ดาบ” ฉินจิ้นยิ้มกล่าว
หลินมู่อวี่ถาม “แล้วหากราชาแห่งเจิ้นหนานฉินอี้ยังไม่คงปฏิเสธอยู่เล่าขอรับ?”
ฉินจิ้นสักมีดหั่นผักลงกับเขียงอย่างแรงก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเรียงราบเรียบ “ข้าก็เพียงแค่ส่งกองทัพไปหลิงหนาน เพราะข้าได้ส่งสาส์นไปยังหลานกงและหยุนกงแล้ว หากหลิงหนานยังคงดื้อดึงไม่ฟังความ กองทัพหลิงเป่ยเจ็ดแสนนายจะข้ามเทือกเขาฉินและเข้าเข้ายึดครองหลิงหนานเสีย”