EP.64 สารจากเหลยไป่จ้าน
“ ฟู่!”
ของเหลวพิษพุ่งออกไปราวกับสายฝนแทรกซึมไปทั่วร่างของเย่เหลียง และเริ่มกัดกร่อนร่างของเขา พริบตาเดียวผิวหนังของเขาก็เละเทะ น่าสยดสยองเหลือเกิน
เย่เหลียงพลาดตรงที่มั่นใจในตัวเองเกินไป คิดว่าอาศัยเพียงทักษะกระบี่ของตนก็สามารถรับมือหลินมู่อวี่ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้แบ่งปราณที่เหลือมาสร้างเกราะปราณขึ้นใหม่อีกครั้ง แล้วยิ่งคาดไม่ถึงว่าวิญญาณยุทธ์ของหลินมู่อวี่จะมีทักษะพ่นพิษแบบนี้ด้วย ไม่นานนักทั่วทั้งร่างก็เต็มไปด้วยพิษเหลว ผิวหนังชั้นนอกถูกทำลายอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่หล่อเหลาก่อนหน้า พริบตาเดียวก็ถูกทำลายจนอัปลักษณ์สยดสยอง
“ ฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
เขาแผดเสียงด้วยความโมโห ใช้การฟังเสียงระบุตำแหน่งของอีกฝ่าย ถึงแม้จะถูกลอบกัดแต่พลังยังคงมีอยู่ บนด้ามกระบี่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่ลุกโชน แต่การหายใจของหลินมู่อวี่นั้นแผ่วเบาลงเรื่อยๆ ปอดที่ถูกแทงทะลุทำให้เขาใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว ขาสองข้างราวกับถูกถ่วงไว้ด้วยตะกั่วไม่สามารถขยับได้ แม้แต่ฝีเท้าดาวตกก็ไม่ใช้ไม่ได้แล้ว จึงได้แต่ยกกระบี่ด้วยแขนทั้งสองข้างขึ้นขวางการโจมตีอันรุนแรงนี้
“ เคร้ง!”
เสียงก้องดังขึ้น กระบี่เหล็กหักเป็นสองท่อน ในมือของเย่เหลียงเป็นกระบี่ล้ำค่า แต่ในมือของหลินมู่อวี่เป็นแค่กระบี่ชั้นดีที่ทหารรับจ้างทั่วไปใช้กันเท่านั้น หลังจากเสียงกระบี่หักดังขึ้น กระบี่สีแดงเพลิงก็ฟันเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ฉัวะ” เลือดสาดกระเซ็น กระบี่ฟันถูกไหล่ของหลินมู่อวี่และเฉือนเข้าไปในเนื้อ เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น กัดฟันแล้วใช้มือจับคมกระบี่ไว้ ไม่ให้มันฟันลึกลงมาอีก ไม่เช่นนั้นคงได้บาดเจ็บถึงกระดูกแน่
“ ยังไม่ยอมตายอีก! ?”
เย่เหลียงแสยะยิ้ม เรียกพลังไปรวมไว้ที่กระบี่ และในจังหวะนี้เอง จู่ๆ ความรู้สึกมึนงงจู่โจมเข้ามา ทำให้เขาแทบถือกระบี่ไม่อยู่
ในที่สุด สายลมเมามายก็ออกฤทธิ์เสียที!
“ เกิดอะไรขึ้น”
เย่เหลียงสะบัดศีรษะแรงๆ แต่ความรู้สึกมึนงงยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขายกขาถีบเข้าที่หน้าอกของหลินมู่อวี่เสียงดังพลั่ก หลินมู่อวี่กลิ้งเข้าไปในพงหญ้า
“ จงตายซะ!”
เย่เหลียงเดินกะเผลกไปทางหลินมู่อวี่อยู่ในพงหญ้า สะบัดศีรษะไม่หยุด ทัศนวิสัยของเขาได้รับผลกระทบจากสายลมเมามาย ถึงอยากจะมองก็มองไม่เห็น
ในตอนนี้เอง เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น “ฉึก ฉึก” เข็มเงินสองเล่มปักเข้าที่จุดชีพจรตรงหน้าอกของเย่เหลียง เขาขยับตัวไม่ได้ในทันที
ใต้แสงจากเปลวเพลิง ฉู่เหยารีบพุ่งออกมา จับกระบี่ในมือของเย่เหลียง แล้วพลิกตัวหันกลับไปฟัน!
“ ฉัวะ!”
เลือดสาดกระจายไปทั่ว เย่เหลียงหนึ่งในเจ็ดเทพยุทธ์
ศีรษะร่วงลงพื้น!
… …
“ อาอวี่…อาอวี่…”
ฉู่เหยารีบวิ่งเข้ามา มองหลินมู่อวี่ที่นอนจมกองเลือด น้ำตาไหลพรากราวกับสายฝนทันที นางกอดเขาไว้ “อาอวี่ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม อาอวี่ รีบตอบข้าเร็ว…”
หลินมู่อวี่ลืมตาขึ้นช้าๆ “เย่เหลียงมัน…”
“ ตายแล้ว”
“ ดี!” เขายกมุมปากขึ้นอย่างยากลำบาก เผยให้เห็นรอยยิ้ม พูดติดๆ ขัดๆ “พี่ฉู่เหยา ข้าไม่ไหวแล้ว รีบ..รีบใช้เข็มเงินสกัดจุดห้ามเลือด แล้วก็ใช้…โอสถฟื้นฟูในอกเสื้อข้ารักษาอาการบาดเจ็บภายใน ไม่เช่นนั้นข้าคงจะไม่รอดแล้วจริงๆ…”
“ อือ!”
ฉู่เหยาจับเขานอนลงทันที รีบหยิบเข็มเงินออกมา ห้ามแผลตามตำราแพทย์ที่ชวีฉู่เหลือไว้ จากนั้นก็ฝังเข็มสกัดจุดชีพจรทีละจุดๆ ห้ามเลือดอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบโอสถฟื้นฟูเกรดหนึ่งของหลินมู่อวี่ออกมาเทลงบนบาดแผล แต่บาดแผลที่ถูกธนูแทงทะลุอกนั้นสาหัสมากจริงๆ จะมีชีวิตรอดไปได้หรือไม่นั้น ไม่มีทางรู้เลย
ฉู่เหยาจิตใจสับสน กอดหลินมู่อวี่ร้องไห้สะอึกสะอื้นในยามราตรี
แสงดาวส่องลงมากลางป่า หนุ่มสาวคู่นี้เผชิญหน้ากับความเป็นความตายไม่ได้หยุด ราวกับว่าไม่มีจุดสิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น กรงเล็บปีศาจในความมืดนั้นยังคงเริงระบำ ความยุติธรรมบนโลกใบนี้หลับใหลไปหมดแล้ว
… …
คืนนี้ฉู่เหยาไม่ได้ปิดตาลงเลย นางเฝ้าดูแลหลินมู่อวี่ที่กำลังบาดเจ็บอยู่ตลอด
ยามรุ่งสาง ในที่สุดหลินมู่อวี่ก็หลับสนิท บาดแผลได้รับการห้ามเลือดเรียบร้อย ก่อนหน้านี้เขาปรุงโอสถฟื้นฟูเกรดหนึ่งไว้ไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าโอสถเหล่านี้จะกลับมาช่วยชีวิตตัวเอง
ยามเที่ยงของวันรุ่งขึ้น หลินมู่อวี่ค่อยๆ รู้สึกตัว และลืมตาขึ้นในที่สุด
“ อาอวี่…”
เมื่อเห็นเขาลืมตา ฉู่เหยาก็น้ำตาคลอเบ้าทันที เขาฟื้นแล้ว หมายความว่าเขามีชีวิตรอดต่อไปแล้ว
หลินมู่อวี่นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ที่พงหญ้า ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ มองดูอาการบาดเจ็บภายในร่างกายตัวเอง ด้วยประสิทธิภาพของโอสถฟื้นฟู รูที่ปอดของเขาเริ่มสมานกันแล้ว กระบวนการนี้ใช้เวลาเต็มๆ หนึ่งคืน ที่ใช้เวลานานขนาดนี้เพียงเพราะว่าตนเองสลบไม่ได้สติ ตอนนี้ฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาจึงรวมปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายมารักษาตนเอง
หลังจากดื่มน้ำแกงเนื้อเสร็จแล้ว ในที่สุดก็ฟื้นฟูพลังได้บางส่วน และวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าก็ฟื้นฟูปราณและส่งเข้าร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของหลินมู่อวี่ค่อยๆ มีเลือดฝาด ฉู่เหยาถึงได้หยุดร้องแล้วยิ้มออกมา
กระทั่งถึงตอนกลางคืน หลินมู่อวี่ก็สามารถลุกเดินได้แล้ว อย่างไรเสียก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปฐพีชั้นที่สอง ก็ควรจะมีความสามารถในการฟื้นฟูที่แข็งแกร่งแบบนี้
ในพงหญ้ามีกระบี่ยาวประกายเพลิงนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น นั่นเป็นอาวุธของเย่เหลียง
“ หึ เป็นเพราะมัน!”
ฉู่เหยาพูดด้วยความโมโห “ถ้าไม่ใช่เพราะกระบี่เล่มนี้ อาอวี่ก็คงไม่เจ็บหนักขนาดนี้!”
พูดจบ นางก็หยิบกระบี่ไปฟาดกับก้อนหิน
โธ่ ศิษย์พี่หญิงคนนี้เอาแต่ใจเสียจริง
หลินมู่อวี่ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี รีบพูด “หยุดเถอะพี่ฉู่เหยา กระบี่เล่มนี้เอามาให้ข้าเถอะ อาวุธของข้าถูกมันฟันหักไปพอดี กระบี่เล่มนี้น่าจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางฟันกระบี่เหล็กของข้าหักหรอก”
“ อือ” ฉู่เหยาส่งกระบี่ให้เขา
หลินมู่อวี่ลูบกระบี่เบาๆ ความรู้สึกอุ่นๆ ไหลเข้ามาตามนิ้วมือ ลายเส้นบนตัวกระบี่เรียบง่าย กระบี่ตรงใกล้ด้ามจับนั้นมีตัวอักษรสลักไว้สองตัวว่า ‘เหลียวหยวน’ (ผลาญทุ่ง) น่าจะเป็นชื่อของกระบี่เล่มนี้ หลินมู่อวี่นึกถึงตอนที่กระบี่นี้เกิดเปลวเพลิงขึ้นยามกวัดแกว่ง สมกับชื่อจริงๆ จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ “เหลียวหยวน ชื่อเพราะดีนี่…ต่อจากนี้กระบี่เล่มนี้ก็เป็นของข้าแล้วใช่ไหม”
ฉู่เหยาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ของเจ้าๆ เจ้าต้องการอะไรข้าให้เจ้าหมดเลย!”
หลินมู่อวี่ยิ้มน้อยๆ แล้วถาม “ข้าจำได้ว่าตอนที่เย่เหลียงมาที่นี่ เขาขี่ม้ามาด้วย ม้าตัวนั้นไปไหนแล้วล่ะ”
“ ถูกข้าจับไว้ ผูกไว้แถวต้นไม้ตรงโน้นน่ะ”
“ ดีเลย พวกเรามีม้านั่งแล้ว ม้าตัวนั้นดูทรงพลังมาก น่าจะพอบรรทุกเราสองคนไหว”
ฉู่เหยาหน้าแดง พอคิดถึงว่าต้องขี่ม้าตัวเดียวกับเขา ก็อดที่จะคิดเยอะไม่ได้ แต่ก็ยังคงพยักหน้าพูด “อือ คงจะได้แหละ พวกเราต้องขี่ม้าเหรอ”
“ ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงเมืองหลันเยี่ยน”
“ อ่อ ดีเหมือนกัน”
… …
พักฟื้นฟูจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น พอตกดึกมีทหารรับจ้างเร่ร่อนโผล่มา แต่มีระดับพลังเพียงแค่วิญญาณสงครามระดับยี่สิบเจ็ด จึงถูกฉู่เหยาซัดเข็มเงินใส่จนบาดเจ็บ และถูกหมัดเสียงปีศาจของหลินมู่อวี่โจมตีซ้ำอีกจนตาย พวกเขาไม่กล้าประมาท พวกทหารรับจ้างที่คิดจะลอบสังหาร พวกเขาไม่เคยไว้ชีวิตสักคน
เช้าตรู่ หลังจากพวกเขากินอิ่มแล้ว ก็เก็บสัมภาระแล้วนำไปแขวนไว้ที่ข้างลำตัวของม้า ฉู่เหยาบังคับม้า ส่วนหลินมู่อวี่นั่งอยู่ด้านหลังสะพายกระบี่เหลียวหยวนไว้ สมบัติของพวกเขาทั้งหมดก็มีแค่นี้ ส่วนธนูแกะสลักคันนั้นเขาก็เก็บไว้ ระยะปาของมีดเสียงปีศาจแค่ไม่กี่สิบเมตร แต่ถ้าพลังแขนเพียงพอละก็ ธนูนี้จะสามารถยิงออกไปได้ระยะหลายร้อยก้าว!
บนโลกนี้ การขี่ม้าและยิงธนูเป็นทักษะที่ผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องเรียนรู้ ทำให้หลินมู่อวี่ตัดสินใจที่จะตั้งใจฝึกธนู โชคดีที่เขามีพรสวรรค์ในการเข้าใจสูง แม้ว่าจะฝึกด้วยตนเองก็ยังสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากมีม้าจึงทำให้เดินทางได้เร็วขึ้น กระทั่งทางราบก็ยิ่งบังคับม้าให้วิ่งได้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก หากเดินทางไปด้วยความเร็วเช่นนี้ ประมาณสามถึงห้าวันก็น่าจะเข้าเขตเมืองหลันเยี่ยนแล้ว
… …
ระหว่างเดินทางก็ยังไม่ลืมที่จะฝึกพลัง และยังสังหารสัตว์วิญญาณไปหนึ่งตัว ช่วยฉู่เหยาทะลวงระดับจนถึงขั้นบรรพชนสงครามระดับสามสิบสี่ ส่วนพัฒนาการของหลินมู่อวี่นั้นยิ่งเร็วขึ้นไปอีก ตอนนี้เขามีพลังขั้นปรมาจารย์สงครามระดับสี่สิบห้าแล้ว หากคู่ต่อสู้พลังต่ำกว่าขั้นปราชญ์สงครามระดับห้าสิบ เขาก็สามารถเอาชนะได้อย่างสบายๆ อย่างไรเสียวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าสี่ชั้นของเขาก็มีถึงสี่ทักษะ บนแผ่นดินนี้มีแค่เขาผู้เดียว คู่ต่อสู้ส่วนใหญ่จะเสียเปรียบก็ตรงทักษะของวิญญาณยุทธ์นี่แหละ
“ วี้ดดด…”
บนท้องฟ้า มีเสียงนกร้องดังขึ้น
หลินมู่อวี่เงยหน้ามอง เป็นเหยี่ยวตัวนั้นอีกแล้ว หลังจากเจ้าของตาย เหยี่ยวที่เย่เหลียงเลี้ยงไว้ก็ตามตนเองมาตลอด
หลินมู่อวี่ลูบคันธนูแกะสลัก เขาพลิกตัวลงจากม้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร ดึงลูกธนูออกมาพาดไปที่สายธนู “เจ้าเดรัจฉาน ยังคิดจะตามพวกเราอีกรึ!”
“ ฟิ้ว!”
เสียงลูกธนูพุ่งออกไป เหยี่ยวตัวนั้นส่งเสียงร้องแล้วก็ถูกลูกธนูยิงทะลุ ตกลงมาในป่าที่อยู่ไกลออกไป หลินมู่อวี่เดินออกไปหาซากมัน และถือกลับมา เขายิ้มพูด “พี่ฉู่เหยา เที่ยงนี้เอามันไปถอนขนแล้วต้มกินกันเถอะ เนื้อเหยี่ยวน่าจะอร่อยอยู่”
ฉู่เหยาเม้มปากยิ้ม “ได้ๆๆ!”
… …
และในตอนนี้เอง จู่ๆ บนท้องฟ้าก็มีเสียงนกร้องดังขึ้นในอากาศ เงาสีเทาบินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ฉู่เหยาหรี่ตาคู่งาม “นั่นเหยี่ยวนกเขา เป็นสัตว์ปีกดุร้ายและกินเนื้อเป็นอาหาร”
หลินมู่อวี่ง้างสายธนูอีกครั้ง “ยิงมันให้ร่วง แล้วต้มน้ำแกงสองหม้อ!”
“ อย่าใจร้อนสิ”
ฉู่เหยาขำ “ข้าว่าเหยี่ยวนกเขาตัวนี้ดูไม่เหมือนศัตรู น่าจะมาค้นหาพวกเรามากกว่า ตอนอยู่ที่เมืองหยินซานข้าเคยเห็นคนฝึกเหยี่ยวนกเขาเพื่อเป็นนกส่งสาร ไม่แน่ว่านี่อาจจะด้วยก็ได้”
“ อ่อ งั้นเหรอ”
หลินมู่อวี่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เหยี่ยวนกเขาตัวนั้นบินลงมาเกาะแขนฉู่เหยาอย่างรวดเร็ว ท่าทางไม่ได้ดุร้าย ที่ขาของมันมีกระบอกไผ่เล็กๆ ผูกไว้ ฉู่เหยาปลดมันออกมา และดึงกระดาษในกระบอกไม้ไผ่ออกมา “อาอวี่ ของเจ้าน่ะ!”
คาดไม่ถึงว่ายังมีคนจะใช้นกส่งสารให้แก่ตนเอง นี่มันประหลาดนิดหน่อยจริงๆ เป็นใครกันนะ
… …
รับกระดาษมา บนนั้นมีตัวอักษรเขียนไว้อย่างชัดเจนสองสามบรรทัด
จอมยุทธ์น้อยหลิน พบอักษรก็เหมือนพบหน้า ข้าเหลยไป่จ้านจากหอประมูลไป่จ้าน ทราบว่าจอมยุทธ์น้อยประสบเคราะห์ร้าย ข้าปลีกตัวไม่ได้ จึงไม่สามารถไปช่วยเหลือจอมยุทธ์น้อยได้ แต่หากท่านจอมยุทธ์เชื่อใจ สามารถไปหากลุ่มทหารรับจ้างในป่าสัตตะดาราแถวภูเขาจั๋วเฟิง (วาโยแผดเผา) ที่ชื่อ “ทหารรับจ้างจั๋วเฟิง” หัวหน้ากลุ่มชื่อว่าเหลยเชียนไห่ เป็นน้องชายแท้ๆ ของข้าเอง เชียนไห่เห็นจดหมายนี้ก็จะเข้าใจเอง และคุ้มครองจอมยุทธ์น้อยไปตลอดทาง
รักษาตัวด้วย
……
อ่านเนื้อความในจดหมายนี้แล้ว หลินมู่อวี่รู้สึกซาบซึ้งนิดหน่อย ตนและฉู่เหยามาตกระกำลำบากอยู่ในป่าสัตตะดาราหลายวันขนาดนี้ ยังไม่เห็น “คน” จริงเลยสักคน ความจริงเหลยไป่จ้านกับตัวเขาเคยพบหน้ากันครั้งเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับส่งสารมาให้ความช่วยเหลือ ช่างหาได้ยากจริงๆ
ที่แท้พ่อค้าก็สามารถมีเมตตาธรรมเช่นนี้ได้เหมือนกัน!