EP.69 ถังเสี่ยวซีผู้ดื้อรั้น
“ ตุบ!”
ซ่งปาฝู่คุกเข่าหมดแรงลงกับพื้น อาวุธวิญญาณ เงินแสนเหรียญทองอะไรนั่นกลายเป็นอดีตไปแล้ว สำหรับเขาในตอนนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการร้องขอชีวิตอีกแล้ว สายตาเขาพร่ามัว มองไปเห็นฝาแฝดตัวเองมีแผลรูใหญ่น่ากลัวตรงหน้าอกล้มลงอยู่บนพื้นแล้ว
ซ่งเหรินโท่ว ตายแล้ว!
ซ่งปาฝู่ได้แต่หนีเอาชีวิตรอด ออกแรงใช้แขนทั้งสองข้างคลานไปกับพื้นหญ้า แม้แต่คันธนูที่ติดตัวมาก็ไม่เอาแล้ว ทว่าปราณและพลังของเขานั้นไหลออกจากร่างไม่หยุดเพราะฤทธิ์ของสายลมเมามาย กระทั่งแรงที่จะคลานหนีก็ไม่มีแล้ว
… …
“ อา…”
หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าลึกๆ นั่งลงกับพื้น เพื่อจะป้องกันการรุมโจมตีของยอดฝีมือทั้งสอง เขาใช้ปราณหมดไปกว่าครึ่งในพริบตา วิญญาณยุทธ์ก็เสียหายหนัก แม้กระทั่งอวัยวะภายในของเขาก็ได้รับผลกระทบด้วย ชีพจรปั่นป่วนไม่คงที่
ฉู่เหยาลุกขึ้นยืนแล้วตรวจสอบลมหายใจของซ่งเหรินโท่ว “เขาตายแล้ว แล้วเจ้านั่นล่ะ”
หลินมู่อวี่นั่งสงบอยู่ตรงนั้นแล้วพูดขึ้น “พวกเราฆ่าคนมาเยอะแล้ว แต่…ถ้าปล่อยให้ซ่งปาฝู่หนีไปได้ละก็ เขาจะต้องหาโอกาสมาแก้แค้นพวกเราแน่นอน พี่ฉู่เหยา ท่านจัดการเถอะ ตอนนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ไม่เหลือแรงสักนิด”
“ อืม”
นัยน์ตาฉู่เหยาฉายแววเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ นางลุกขึ้นแล้วหยิบหอกที่เปื้อนเลือดของหลินมู่อวี่ขึ้นมา กระโจนขึ้นไปในอากาศพร้อมใช้หอกยาวแทงทะลุหลังของซ่งปาฝู่ที่คลานอยู่กับพื้น เลือดสาดพุ่งออกมาทันที ซ่งปาฝู่เจ็บปวดจนสั่นสะท้านไปทั่วร่าง แขนขาดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างบ้าคลั่ง แต่ฉู่เหยากัดฟันแล้วออกแรงเพิ่ม แทงหอกเหล็กปักเข้าพื้นดินเกือบครึ่งด้าม ตรึงซ่งปาฝู่ไว้แน่นกับพื้นดิน ให้เขานอนรอความตายอยู่ตรงนั้น
นางค่อยๆ หันหลังกลับมา ผมสั้นพลิ้วไหวไปตามสายลมยามค่ำคืน ใบหน้าไม่มีความไร้เดียงสาแบบเด็กสาวอีกต่อไปแล้ว กลับมากไปด้วยความสุขุมและเด็ดเดี่ยวแทน
หลินมู่อวี่เงยหน้ามองฉู่เหยาไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับเหมือนถูกมีดกรีด โลกแบบไหนกันนะที่ทำให้ฉู่เหยาเปลื่ยนไปแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะคนพวกนี้ต้องการเหรียญทองแล้วไล่สังหารพวกเขาไม่หยุด เกรงว่าฉู่เหยาก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้ แน่นอนว่าการตายของปู่ฉู่เฟิงนั้นสร้างความสะเทือนใจให้แก่ฉู่เหยาอย่างมาก ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุหลักด้วยเหมือนกัน
มองหม้อน้ำแกงด้านข้าง ฉู่เหยาหันมายิ้มอบอุ่น “อาอวี่ โชคดีที่อาหารเย็นของพวกเราไม่เป็นอะไร กินอะไรกันก่อนเถอะ ร่างกายเจ้าบาดเจ็บ พรุ่งนี้พวกเราค่อยออกเดินทาง เป็นยังไง”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “อือ พี่ฉู่เหยาว่าอย่างไรก็อย่างนั้นเถอะ!”
“ ได้!”
กินอาหารเข้าไปอุ่นร่างกายแล้ว หลินมู่อวี่ก็นั่งพิงผนังหินโคจรปราณรักษาอาการบาดเจ็บ จากนั้นเขาปรุงโอสถฟื้นฟูแล้วดื่มลงไปเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บภายใน ร่างกายบาดเจ็บสาหัสมาก ต้องบำรุงเยียวยาขนานใหญ่ ไม่เช่นนั้นถ้าเหลืออาการบอบช้ำหรือพิการละก็จบเห่เลย สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ยังมีสิ่งใดล้ำค่าไปกว่าร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงอีกเล่า
คืนนี้ไม่ได้ฝึกพลังมากเกินไป หลักๆ ก็เพื่อฟื้นฟูร่างกายจากอาการบาดเจ็บ
หลินมู่อวี่พิงกำแพงหิน ในหัวของเขากลับคิดถึงแต่ประสบการณ์ที่ประสบมาในช่วงหลายวันนี้ ตั้งแต่มาถึงโลกใบนี้ ดูเหมือนว่าการฆ่าคนกับการถูกคนตามฆ่านี่แทบจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เขาต่อต้านการฆ่าคนจากใจจริง ทว่าตอนนี้มีศพสองศพนอนอยู่ไม่ไกล ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะรู้สึกเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
แล้วก็กลับมานึกถึงถังเสี่ยวซี องค์หญิงน้อยผู้งดงามและใจดีกำลังทำอะไรอยู่นะ หากทราบว่าตนกลายเป็นผู้ร้ายอุกฉกรรจ์ร้ายของจักรวรรดิไปแล้ว นางจะมีท่าทางอย่างไร
ทันใดนั้นในหัวของเขาก็ปรากฏภาพใบหน้านอนหลับใต้แสงจันทร์ของถังเสี่ยวซี ความงดงามและเงียบสงบนั้น นางน่าจะเป็นหญิงสาวที่งามที่สุดที่เขาเคยพบในชีวิตนี้แล้วล่ะ
บาดแผลปวดแสบขึ้นมานิดหน่อย เขาเริ่มหยุดความคิดแล้วนอนหลับ ปราณในร่างของเขาแทบจะหมดเกลี้ยงตอนที่ต่อสู้ ต้องรีบฟื้นฟูร่างกายให้เร็วที่สุด ใครจะไปรู้ว่าหนทางข้างหน้านั้นจะมีอันตรายขนาดไหนรอตนอยู่
พริบตาเดียวก็เป็นเวลารุ่งสางแล้ว ในป่าลึกไกลออกไปเหมือนมีเสียงหอนของหมาป่าวายุดังลอยมา
หลินมู่อวี่สะดุ้งตื่นจากฝันทันที รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่กัดฟันแล้วบังคับให้ตัวเองหลับต่อ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ
… …
ในขณะเดียวกันที่ป่าล่ามังกร
กองไฟในหุบเขากำลังมอด ทุกคนหลับกันเกือบหมดแล้ว มีเพียงองครักษ์เจ็ดแปดนายที่ยังถือดาบและสัปหงกอยู่ใต้ต้นไม้ พวกเขาเข้ามาในป่าล่ามังกรได้หลายวันแล้ว แต่ก็ไม่มีข่าวคราวของหลินมู่อวี่เลย ความจริงทุกคนอยากกลับไปเสวยสุขที่เมืองหลวง เพียงแต่องค์หญิงน้อยจอมเอาแต่ใจผู้นี้ไม่ยอมกลับเท่านั้นเอง
เปลวไฟพลิ้วไหวส่องประกายบนใบหน้างดงามของหญิงสาว
ถังเสี่ยวซีนอนอยู่ใต้ผ้าห่มขนสัตว์ ผ้าห่มขนสัตว์นั้นพันรอบร่างงาม นางตัวสั่นน้อยๆ จากความหนาว อากาศกลางดึกในคืนฤดูใบไม้ร่วงเย็นมาก ชัดเจนว่าผ้าห่มขนสัตว์ผืนเดียวป้องกันความหนาวไม่ได้
ถังเสี่ยวซีค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น นัยน์ตาสีดำสนิทลุ่มลึกดั่งอัญมณีชวนให้น่ามอง นางมองดวงดาวที่ทอเต็มท้องฟ้า อยู่ๆ ก็รู้สึกหนาวเหน็บ หัวใจก็เจ็บราวกับถูกมีดทิ่มแทง นางสะอื้นออกมาเงียบๆ น้ำตาคลอเบ้า แล้วพึมพำออกมาเบาๆ “มู่มู่…เจ้าอยู่ที่ไหน อย่าตายนะ เจ้าต้องรอข้าก่อน…”
… …
“ ฟิ้ว ฟิ้ว!”
มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางความมืด ตามมาด้วยเสียง “ตุบ ตุบ” ทหารองครักษ์ที่ยืนเวรยามนั้นค่อยๆ ล้มลงไป หน้าอกมีลูกธนูสีดำปักอยู่ แถมทั้งหมดยังเป็นธนูเหล็ก สุดยอดอาวุธสังหารระยะใกล้!
“ มีผู้ร้าย!”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมา แต่เสียงในคืนที่หนาวเย็นนั้นก็ชะงักลงกะทันหัน ราวกับว่าถูกเชือดคอหอยทิ้ง
ในความมืดมีประกายแสงวูบผ่าน ถังเสี่ยวซีดีดตัวขึ้นอย่างระแวดระวัง วิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคคีปรากฏออกมา พร้อมกับจับกระบี่พร้อมฝักที่อยู่ข้างก้อนหินขึ้นมาป้องกัน “เคร้ง” เสียงโลหะกระทบกัน อีกฝ่ายใช้กระบี่ยาว ทั้งยังปิดหน้า เผยให้เห็นแค่ดวงตาไร้ความรู้สึกคู่นั้น เมื่อโจมตีพลาดก็รีบก้มตัวลงกวาดขาออกโจมตี
ถังเสี่ยวซีกัดฟันถามอย่างเกรี้ยวกราด “พวกเจ้าเป็นใคร ถึงกล้าลอบโจมตีคนขององค์หญิงเมืองชีไห่”
ขณะที่พูด นางก็ยกขาเรียวขาวดั่งหิมะขึ้นมา เปลวเพลิงวนอยู่รอบขา “กร็อบ” นางเตะขาที่วาดออกมาของนักฆ่าหัก และอาศัยพลังที่ไม่ธรรมดานี้เหยียบหน้าแข้งนักฆ่าหัก นักฆ่าไม่พูดไม่จาก็พลิกตัวใช้ดาบโจมตี แต่ถังเสี่ยวซีนั้นเร็วกว่ามาก แค่นางพลิกข้อมือฝักดาบก็หลุดออก เลือดสาดกระเซ็นออกมา นักฆ่าผู้นี้ถูกเชือดเข้าที่คอหอย
เสียงร้องดังขึ้นโดยรอบ องครักษ์สิบกว่านายเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ตะโกนเสียงดัง “คุ้มกันองค์หญิง! คุ้มกันองค์หญิง!”
แต่ธนูที่ซุ่มยิงนั้นทำให้องครักษ์ล้มลงอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวทหารองครักษ์เกือบร้อยคนก็บาดเจ็บล้มตายไปเกือบแล้ว ลูกธนูเหล่านั้นเหมือนมีตา ไม่พุ่งเข้าใส่ถังเสี่ยวซี ราวกับตั้งใจที่จะไม่ยิงให้ถูกนาง
คนพวกนี้ต้องการจับเป็นตนเอง ถังเสี่ยวซีรู้แจ้งแจ่มชัด นางกางแขนออก จิ้งจอกอัคคีปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ แล้วกลายเป็นเปลวเพลิงกวาดทำลายไปทั่วบริเวณ นักฆ่าสี่คนร้องครวญครางล้มลงสิ้นใจทันที
“ ตามข้ามาแล้วบุกออกไปพร้อมกัน!”
ถังเสี่ยวซีแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มองครักษ์ นำหน้าพาทุกคนพุ่งออกไปด้านนอก
… …
“ อย่าให้พวกมันหนีไปได้ จับเป็นองค์หญิงเมืองซีไห่!”
น้ำเสียงที่เย็นชาดังขึ้นมาจากด้านขวาของภูเขา ทำให้ถังเสี่ยวซีอดหวาดกลัวไม่ได้
ที่ด้านหลังของนางมีองครักษ์นายหนึ่งยกโล่ขึ้นมากันลูกธนูเอาไว้ไม่หยุด เขารวมพลังปราณแล้วตะโกนออกไป “พวกเจ้าเป็นใคร ทำไมต้องลอบโจมตีพวกเรา”
ท่ามกลางกลุ่มคน คนปิดหน้าคนหนึ่งหัวเราะออกมา “ใกล้จะตายอยู่แล้ว ไม่ต้องรู้มากนักหรอก!”
ถังเสี่ยวซีถามกลับอย่างเย็นชา “พวกเจ้าเป็นคนของโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์งั้นหรือ”
“ โอ้ สมแล้วที่เป็นถังเสี่ยวซีหญิงงามอันดับสองแห่งเมืองหลันเยี่ยน ชาญฉลาดไม่ธรรมดาเช่นนี้ ก็ไม่เสียแรงที่พวกข้ามาถึงที่นี่!” ท่ามกลางความมืด ก็มีเสียงหัวเราะแหลมประหลาดดังขึ้นมา “จับเป็นถังเสี่ยวซี รางวัลห้าแสนเหรียญทอง ส่วนพวกที่ไม่เกี่ยวข้อง ฆ่าทิ้งให้หมด พวกมันไม่มีค่าอะไร!”
คนชุดดำพร้อมกระบี่ในมืออย่างน้อยร้อยกว่าคนจู่โจมเข้ามาจากทุกทิศทาง
ถังเสี่ยวซีเสียใจ มองกลุ่มองครักษ์ด้วยแววตาขอโทษ พูดเสียงสั่น “ข้าขอโทษ ข้าทำให้พวกเจ้าต้องมจบชีวิตที่นี่ เป็นความผิดข้าเอง ข้าไม่ควรออกมาตามลำพัง ข้าขอโทษ…”
แววตาขององครักษ์นายหนึ่งเป็นประกายเด็ดเดี่ยว พูดขึ้น “องค์หญิงซี นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าพวกโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์กล้าที่จะหมายหัวท่าน ช่างใจกล้านัก ขอแค่พวกเราฝ่าออกไปได้ ท่านอ๋องจะต้องเรียกรวมทหารนับพันนับหมื่นนายอย่างแน่นอน ทำลายโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์ทุกแห่งบนแผ่นดินนี้! ไอ้บัดซบเอ๊ย แบบนี้ก่อการกบฏชัดๆ พวกเรา…”
เขาพูดยังไม่ทันจบ จู่ๆ คอก็ถูกคมธนูแทงทะลุ พูดต่อไม่ได้แล้ว และล้มตึงลงกับพื้น
องครักษ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มนี้มีพลังแค่ระดับขอบเขตปฐพีชั้นที่หนึ่งเท่านั้น รับมือกับจำนวนคนมากมายของโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์ไม่ได้เลยสักนิด
“ องค์หญิง พวกเราจะสกัดด้านหลังและคุ้มครองพระองค์ฝ่าออกไป จิ้งจอกอัคคีมีทักษะเพิ่มความเร็ว แล้วยิ่งอยู่ในป่าอีกด้วย พวกมันต้องไล่พระองค์ไม่ทันแน่นอน รีบไปพ่ะย่ะค่ะ!” องครักษ์นายหนึ่งยกโล่หนักแล้วบุกเข้าไป เขาหลบส่วนศีรษะอยู่หลังโล่ แต่บริเวณขานั้นถูกยิงนับครั้งไม่ถ้วน โงนเงนจนเกือบจะล้มไป แต่ก็ยังบุกเข้าไปต่อ
นอกจากนี้ยังมีองครักษ์อีกสิบกว่านายที่พุ่งเข้าไปเหมือนกัน พวกเขารู้ดีว่าต้องตาย แต่ว่าไม่มีวิธีอื่นแล้ว
… …
ถังเสี่ยวซีนัยน์ตาแดงก่ำ รู้สึกผิดและคับแค้นใจ วิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคคีร้องจิ้ดๆ อยู่บนไหล่ของนาง ราวกับกำลังปลอบใจเจ้านายน้อยของมัน
วินาทีถัดมาถังเสี่ยวซีก็โจมตีด้วยเปลวเพลิงอีกครั้ง นางหยิบกระบี่แล้วกระโดดขึ้นไป จิ้งจอกอัคคีคำรามออกมา เปลวเพลิงหลายสายปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของนาง ถึงแม้ความเร็วจะสู้ฝีเท้าดาวตกไม่ได้ แต่ใช้สลัดพวกโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์ก็ถือว่าพอแล้ว
ด้านหลังมีเสียงร้องเวทนาดังมา เหล่าองครักษ์พากันล้มตาย
ใจของถังเสี่ยวซีคล้ายกับถูกลูกธนูไม่นับถ้วนทิ่มแทง น้ำตาไหลร่วงอยู่ในสายลมราตรี นางพุ่งตรงไปทางเมืองหลันเยี่ยนโดยไม่หันกลับไปมอง นางรู้แล้วว่าตนเองหมดทางช่วยหลินมู่อวี่แล้ว กระทั่งตนเองยังไม่รู้เลยว่าจะรอดชีวิตกลับไปได้หรือเปล่า
หนามเกี่ยวเสื้อผ้าหรูขาดวิ่น ซ้ำยังแทงผิวหนังของนาง แต่ถังเสี่ยวซีทำเหมือนไม่ได้รับความเจ็บปวดใดๆ บังคับวิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคคีให้พุ่งออกจากป่าล่ามังกร
ด้านหลังก็มีเสียงไล่ตามมาไม่หยุด หลังจากพวกโรงเตี๊ยมจอมยุทธ์พบว่าจิ้งจอกอัคคีสามารถเพิ่มความเร็วได้ พวกมันก็เจ็บใจ ถึงขั้นยิงธนูออกไปลอบสังหาร
“ ฉึก!”
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกแสบร้อนที่หลัง ถังเสี่ยวซีโงนเงนเกือบจะล้มลงไปที่พื้น ความเจ็บปวดรุนแรงเริ่มแล่นเข้ามาที่แผ่นหลัง
นางถูกธนูยิง!