“หลอมกระดูกมังกร…”
หลินมู่อวี่ประคองชิ้นส่วนคัมภีร์ แล้วเปิดอ่านแผ่นแรก บนนั้นสลักวิชายุทธ์ไว้หนึ่งประโยค “หลอมชำระกระดูก ราวมังกรสลัดเกล็ด เปิดทวารทั้งสี่ สร้างชีพจรใหม่”
เขาทำหน้างง “ปู่ชวีฉู่ คัมภีร์หลอมกระดูกมังกรนี่ใช้ทำอะไรหรือ”
ชวีฉู่ลูบเคราแล้วยิ้ม “เห็นชื่อก็น่าจะเข้าใจแล้ว มันคือวิชาหลอมกระดูกและชำระไขกระดูก เพียงแต่วิธีการหลอมกระดูกของวิชานี้เหมือนกับพวกมังกร ดังนั้นจึงเรียกว่าคัมภีร์หลอมกระดูกมังกร”
พูดจบ ชวีฉู่ก็เด็ดใบไม้จากข้างทางมาหนึ่งใบ แล้วซัดออกไปทางด้านหลังหลายร้อยเมตร จนไปถูกหินก้อนหนึ่ง แล้วหัวเราะเสียงดัง “ข้ากำลังถ่ายถอดวิชาให้เจ้าหนุ่มนี่ พวกเจ้าสองคนยังจะแอบฟัง ไม่รีบไปดื่มกันอีก รอข้าด้วยล่ะ!”
เหลยหงยิ้มเบิกบาน “ผู้ดูแลเกอหยาง พวกเราก็ไปดื่มกันก่อนเถอะ”
เกอหยางตอบรับดีใจ “ตกลง!”
……
หลังจากรอสองคนนั้นออกไปไกลแล้ว ชวีฉู่ถึงได้พูดต่อ “เจ้าหนุ่ม ถือว่าเจ้าโชคดี คัมภีร์หลอมกระดูกมังกรเล่มนี้ข้าเจอมันโดยบังเอิญที่ซากเมืองโบราณแห่งหนึ่ง ในนี้มีบันทึกเกี่ยวกับวิชาหลอมกระดูกและชำระไขกระดูก”
ชายชรากล่าวจบ ก็มองเด็กหนุ่มที่ดูมึนงง อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ดูท่าเจ้าจะยังไม่เข้าใจสินะ แบบนี้ก็แล้วกัน ข้าจะอธิบายให้ฟังง่ายๆ ว่าทำไมช่วงนี้การฝึกของเจ้าถึงไม่คืบหน้า ยังเป็นนักปราชญ์สงครามระดับห้าสิบอยู่เหมือนเดิม จริงๆ แล้วเหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นเป็นเพราะพลังของเจ้าถึงขีดจำกัดของร่างกายตอนนี้แล้วยังไงล่ะ หรือหมายความว่า สายเลือดของเจ้าไม่อาจแบกรับการฝึกพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้ได้ คนในจักรวรรดิต่างฝึกยุทธ์กันก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะฝึกแล้วได้ผลที่น่าพอใจ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสายเลือด เชื้อพระวงศ์ในจักรววรดิ สายเลือดของตระกูลฉินเป็นสายเลือดระดับสูง สายเลือดมังกรที่แท้จริงตามตำนาน ดังนั้นคนตระกูลฉินจึงสามารถฝึกยุทธ์ได้อย่างง่ายดาย ส่วนเจ้า…”
เขาพูดด้วยความรู้สึกเสียดาย “ว่ากันตามตรงนะเจ้าหนุ่ม เจ้ามีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ก็จริง แต่ทว่าไม่ใช่ผู้ที่มีสายเลือดระดับสูงที่แท้จริง สายเลือดของเจ้า…มากสุดก็เป็นแค่ระดับกลางเท่านั้น…”
หลินมู่อวี่หมดคำพูด ไม่นึกว่าสายเลือดตระกูลหลินของข้าจะอ่อนปวกเปียกขนาดนี้…ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ!
ชวีฉู่พูดต่อ “ประโยชน์สุงสุดของคัมภีร์หลอมกระดูกมังกรนี้ก็คือการหลอมกระดูก…ในโลกของผู้ฝึกตน การหลอมกระดูกสำคัญมาก แต่การหลอมกระดูกของคนส่วนใหญ่คือการฝึกความแข็งแกร่งของกระดูก แต่ไม่ใช่การฝึกให้ถึงขั้นที่ไขกระดูกตกผลึก คัมภีร์หลอมกระดูกมังกรเล่มนี้เป็นแค่วิชาในตำนานเท่านั้น ว่ากันว่าสามารถสร้างกระดูกและชีพจรได้ใหม่ ถึงตอนนั้น บางทีเจ้าอาจจะได้ครอบครองสายเลือดอันทรงพลังของเผ่ามังกรที่แข็งแกร่งก็เป็นได้ และจะไม่มีการฝึกใดๆ ที่เจ้าจะแบกรับไม่ได้อีกต่อไป!”
“เอ๋? อย่างนี้เองหรือขอรับ…”
หลินมู่อวี้ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ประคองชิ้นส่วนคัมภีร์หลอมกระดูกมังกร จู่ๆ ก็เงยหน้าพูดกับชวีฉู่ว่า “ท่านปู่ชวีฉู่ ในเมื่อชิ้นส่วนคัมภีร์หลอมกระดูกมังกรเล่มนี้มีค่ามากมายเช่นนี้ ข้าไม่กล้ารับหรอก ท่านเก็บเอาไว้เถิด!”
มองเด็กหนุ่มซื่อสัตย์คนนี้ ชวีฉู่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าเด็กโง่เอ๋ย คิดว่าข้าชวีฉู่ผู้นี้เป็นคนไม่เห็นแก่ตัวหรือ หากข้าคิดจะฝึกจริง ก็คงไม่มอบมันให้เจ้าหรอก”
“ทำไมล่ะขอรับ”
ชวีฉู่ตาเป็นประกาย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “หลอมกระดูกมังกร แค่ชื่อก็รู้แล้วว่ามันเป็นวิชาหลอมสร้างกระดูกของเผ่ามังกร ความเจ็บปวดของการหลอมกระดูกและชำระไขกระดูก ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทนได้ ปู่ชวีฉู่ของเจ้าก็อายุปูนนี้แล้ว คิดว่าร่างกายของข้าจะทนความเจ็บปวดเช่นนี้ได้หรือ บอกเจ้าตามตรงก็แล้วกัน ข้าลองฝึกดูแล้ว เจ็บปวดจนแทบจะสิ้นสติ ถึงได้นำมามอบให้เจ้า ความมุ่งมั่นของเจ้าน่าจะควบคุมความเจ็บปวดนี้ได้”
หลินมู่อวี่นึกถึงความเจ็บปวดตอนฝึกก่อชั้นผิว อดประหวั่นใจไม่ได้ แต่พอคิดว่าเคล็ดลับหลอมกระดูกมังกรสามารถนำพาพลังอันแข็งแกร่งมาให้ตนเองได้ อีกทั้งตนเองยังต้องการพลังอีกด้วย เขาจึงพยักหน้าแล้วเอ่ย “ขอบคุณท่านปู่ชวีฉู่มาก ข้าจะขยันฝึก ไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน!”
ชวีฉู่หัวเราะ “จริงๆ แล้วข้าไม่ได้คาดหวังอะไรในตัวเจ้ามากหรอก เพียงแต่ไม่อยากเห็นองค์หญิงซีต้องเสียน้ำตาให้เจ้าอีก เสี่ยวซีเป็นเด็กสาวที่มีจิตใจดี เจ้าอย่าทำให้นางผิดหวังแล้วกัน”
เขาตะลึงงันไปชั่วครู่ พยักหน้าแล้วตอบ “ขอรับ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ฝึกตามคัมภีร์หลอมกระดูกมังกรเองเถิด ด้วยสติปัญญาของเจ้าแล้วคงไม่ยากเย็นอะไร”
“ขอรับ!”
ชวีฉู่กระโดดข้ามสวนออกไป คงจะไปดื่มสุรากับพวกเหลยหงและเกอหยาง
……
หลินมู่อวี่ประคองชิ้นส่วนคัมภีร์หลอมกระดูกมังกรไว้ในมือ ราวกับได้สมบัติอันล้ำค่า ตนเองฝึกจนร่างกายถึงขีดจำกัดแล้ว ฝึกก่อชั้นผิวก็ไม่เห็นผลใดๆ ดังนั้นจึงเริ่มฝึกหลอมกระดูกมังกรทันที!
คัมภีร์แบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกคือการชำระไขกระดูก ส่วนที่สองเป็นการหลอมรวม จักต้องหากระดูกมังกรของจริงหนึ่งชิ้นมาหลอมรวมกับกระดูกของตนเองด้วยวิธีการพิเศษ ส่วนที่สามคือเกิดใหม่ หลังจากหลอมรวมกระดูกมังกรแล้ว จะเริ่มสร้างชีพจรใหม่ ส่วนที่ยากที่สุดน่าจะเป็นการหลอมรวม เนื่องจากต้องหากระดูกมังกรของจริงให้ได้ แล้วจะต้องไปหาที่ไหนกันล่ะ
เริ่มขั้นตอนแรก ชำระไขกระดูกก่อนก็แล้วกัน!
ที่เรียกว่าชำระไขกระดูก ตามที่บันทึกไว้ก็คือการเปลี่ยนปราณให้เป็นแก่นพลังแท้ พลังนี้จะโคจรไปทั่วกระดูกทุกส่วนในร่างกายหนึ่งรอบนับเป็นหนึ่งครั้ง แต่การชำระไขกระดูกหนึ่งครั้งต้องใช้เวลาเจ็ดสิบสองรอบโคจร ในคัมภีร์เขียนว่าต้องชำระไขกระดูกห้าถึงเจ็ดครั้งจึงจะถือว่าชำระไขกระดูกสำเร็จ และเกิดการเปลี่ยนแปลงในไขกระดูกทั่วร่างกายทั้งหมดหนึ่งครั้ง
เป็นขั้นตอนที่ยาวนานทีเดียว
เขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้นหญ้า ค่อยๆ ปิดตาทั้งสองข้างลง ขั้นแรก กลั่นปราณในร่างกายให้เป็นแก่นพลังที่แท้จริง นี่เป็นวิชาบทแรกของคัมภีร์หลอมกระดูกมังกร ที่เรียกว่า “กลั่นปราณเป็นแก่นพลัง” พลังทะลุทะลวงของแก่นพลังนั้นจะทรงพลังยิ่งขึ้น อีกทั้งยังบริสุทธิ์กว่าปราณปกติด้วย! แต่แค่ขั้นตอนแรกหลินมู่อวี่ก็เกือบตายแล้ว เขาฝึกตั้งแต่เย็นจนถึงฟ้าสางของวันรุ่งขึ้น ในที่สุดปราณที่ไหลเวียนภายในร่างก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน เขาค่อยๆ แบมือออก ไอสีแดงเพลิงปรากฏขึ้นมา ฝึกแก่นพลังสำเร็จแล้ว!
ต่อไป โคจรแก่นพลังให้ไหลไปตามกระดูกทั่วร่างกาย ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีต่อการโคจรหนึ่งครั้ง แล้วสิ่งที่ตามมาก็คือความเจ็บปวดรวดร้าว ราวกับกระดูกถูกไฟแผดเผาไปทั่วทุกอณู ชั่วพริบตาร่างของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ มิน่าชวีฉู่ถึงทนรับความเจ็บปวดนี้ไม่ไหว! แต่หลินมู่อวี่ยังคงทนต่อไป ฝืนบังคับให้แก่นพลังโคจรให้ครบรอบแรก
พอถึงตอนเช้า คนรับใช้นำอาหารเช้ามาส่ง โดยวางไว้ข้างตัวเขา พร้อมพูดด้วยความเคารพว่า “ท่านหลินจื้อ ผู้ดูแลเกอหยางมีคำสั่งให้ข้าน้อยนำอาหารเช้ามาส่ง ทั้งยังบอกอีกว่า สองสามวันนี้ท่านไม่ต้องไปห้องฝึกซ้อม ให้ตั้งใจฝึกวิชาของท่านก็พอ!”
หลินมู่อวี่อดซาบซึ้งใจไม่ได้ คงเป็นชวีฉู่ที่จัดการธุระต่างๆ ให้ มิเช่นนั้นแล้วด้วยรูปแบบการทำงานของวิหารศักดิ์สิทธิ์ มีหรือจะยอมให้ผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองแบบเขามีเวลาว่างเช่นนี้
……
พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งวัน เขาโคจรครบเจ็ดสิบสองรอบแรกแล้ว ด้วยพัฒนาการของการฝึก ขั้นตอนนี้จึงคืบหน้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ โชคดีที่มีคนคอยส่งอาหารสามมื้อมาให้ ดังนั้นการฝึกกลางแจ้งจึงลืมทุกอย่างหมดสิ้น ใจจดใจจ่อ แม้แต่ความเจ็บปวดที่เกิดจากการชำระไขกระดูกก็ราวกับจะหายไปด้วย
จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันที่สาม ก็โคจรไปแล้วทั้งสิ้นหกครั้ง เหมือนกระดูกทั่วทั้งร่างกายเปลี่ยนไปหมดโดยสิ้นเชิง
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น หยดน้ำค้างจากยอดไม้หยดลงบนไหล่ของเขา หลินมู่อวี่อดยิ้มออกมาไม่ได้ กระทั่งความชัดเจนในการมองเห็นสิ่งต่างๆ ของตัวเองก็เพิ่มขึ้นมากทีเดียว แถมการได้ยินก็เพิ่มพูนขึ้นด้วย เสียงเดินของคนรับใช้จากที่ไกลๆ ก็ไม่รอดพ้นหูของเขา การหลอมกระดูกช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย
เขาลุกขึ้นยืน ใช้เวลาเพียงสามวันก็สำเร็จวิชาขั้นที่หนึ่งของคัมภีร์หลอมกระดูกมังกร ลำดับต่อไปคือขั้นที่สอง—หลอมรวม!
แต่ว่า กระดูกมังกรของจริงคงจะหายากน่าดู
ช่วงเช้า หลินมู่อวี่ถึงได้รู้ว่าชวีฉู่ออกจากเมืองหลันเยี่ยนไปท่องยุทธภพอีกแล้ว ส่วนเหลยหง เกอหยางและคนอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าจะไปหากระดูกมังกรของจริงได้จากที่ใด ส่วนกระดูกมังกรเทียมมีขายอยู่ทั่วไป ร้านขายโอสถก็มีกระดูกมังกรกลดขาย แต่แน่นอนว่าจะใช้กระดูกมังกรเทียมแบบนี้มาหลอมรวมไม่ได้ เพราะคุณภาพที่ได้จะต่างกันมาก
ตอนกลางวัน คนรับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ท่านหลินจื้อ มีคนมาขอพบ เป็นองค์หญิงซีจากจวนชีไห่ขอรับ”
“อ้อ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
เขารีบร้อนสวมรองเท้าวิ่งออกไป ที่นอกวิหารศักดิ์สิทธิ์ ถังเสี่ยวซียืนอยู่ใต้แสงอาทิตย์เพียงลำพัง ผมยาวปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง ชุดกระโปรงสีแดงเพลิง มองเขาด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใส “มู่มู่ ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
“เสี่ยวซีวันนี้เจ้าว่างหรือ” เขายิ้มถาม
“ข้าว่างทุกวันนั่นแหละ วันนี้ต้องไปตำหนักเจ๋อเทียน พอดีทางผ่านเลยถือโอกาสแวะมาเยี่ยมเจ้าแค่นั้นแหละ!” นางเผยยิ้มอ่อนหวาน
หลินมู่อวี่พึมพำ “ตำหนักเจ๋อเทียนเหรอ แต่จากจวนเจ้าไปตำหนักเจ๋อเทียนไม่ต้องผ่านวิหารนี่…”
เขาเสียใจทันทีที่หลุดปากคำพูดนั้นออกมา จนแทบอยากจะด่าตัวเอง ในที่สุดเจ้าหนุ่มก็รู้แล้วว่าทำไมตนถึงได้เป็นโสดอยู่?!
ถังเสี่ยวซีถูกพูดเข้าแบบนี้เลยหน้าแดงก่ำ ถลึงตาใส่เขา แล้วพูดขึ้น “ยังไงก็แค่ทางผ่าน ไม่ต้องมายุ่งกับข้า! ตอนเที่ยงไปกินข้าวที่หอสดับพิรุณกันเถอะ ข้าจองโต๊ะไว้แล้ว”
“อืม ได้ แต่ว่าที่นั่นแพงมากเลย อาหารหนึ่งมื้อตั้งเจ็ดสิบเหรียญทอง”
“สบายใจได้ ข้าจ่ายเอง” ถังเสี่ยวซีตบหน้าอกนูนของนาง แต่ไร้ซึ่งเสียงใดๆ
“อืม แต่ก่อนที่จะไป ข้าอยากไปดูร้านโอสถที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวงก่อน”
“ได้เลย!”
……
ทั้งสองคนมาถึงร้านขายสมุนไพร ภายในร้านมีคนไม่น้อยที่รู้จักถังเสี่ยวซี ทุกคนต่างส่งเสียง “คารวะองค์หญิงซี” ด้วยความเคารพไม่จบไม่สิ้น
ถามหาอยู่หลายร้าน แต่ก็ไม่มีของที่ตนเองต้องการ หลินมู่อวี่ท่าทางไม่มีความสุข
“เจ้าบื้อมู่มู่ ตกลงเจ้าหาสมุนไพรอะไรอยู่กันแน่” ถังเสี่ยวซีรู้สึกประหลาดใจ
“กระดูกชนิดหนึ่งน่ะ” หลินมู่อวี่ตอบ
“อ่อ กระดูกอะไรเหรอ”
“ก็…” หลินมู่อวี่ลำบากใจนิดหน่อย แล้วจึงเอ่ยขึ้น “เสี่ยวซี บนแผ่นดินนี้ไม่มีมังกรปรากฏตัวขึ้นนานแค่ไหนแล้ว”
“มังกรจริงๆ น่ะเหรอ…” ถังเสี่ยวซีกะพริบตาปริบๆ ยิ้มพูด “น่าจะสองสามพันปีได้แล้วล่ะมั้ง ตำนานเรื่องเล่าของมังกรมีมานานแล้วด้วย ช่วงไม่กี่พันปีนี้ดูเหมือนจะไม่มีใครเคยเห็นมังกรตัวเป็นๆ นะ”
“แบบนี้นี่เอง งั้นก็ยากกว่าเดิมสินะ…”ในใจของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“เจ้าหาอะไรอยู่กันแน่”
“กระดูกมังกรน่ะ”
“หา?” ดวงตางามของถังเสี่ยวซีเบิกกว้าง แต่ทันใดนั้นเองก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงหัวเราะแล้วแลบลิ้นออกมา “เอาเถอะ ของแบบนี้หายากจริงๆ นั่นแหละ เอาแบบนี้ไหม ข้าจะช่วยเจ้าหาวิธี อย่าเพิ่งร้อนใจไป”
“อื้ม”
ถังเสี่ยวซีรู้ดีว่าเจ้าหนุ่มหลินมู่อวี่เป็นอัจฉริยะในโลกการปรุงโอสถ ตามหากระดูกมังกรน่าจะเพื่อปรุงโอสถ ดังนั้นจึงไม่ได้ถามอะไรมาก จึงไม่รู้ว่าหลินมู่อวี่ต้องการกระดูกมังกรเพื่อไปฝึกวิชาหลอมกระดูกมังกรต่างหาก