ในวันนั้น ชางสือได้เข้าไปหาลู่หวู่อีกครั้งก่อนที่จะบอกข่าวร้ายกับเขา
แม่ทัพภูตมังกรลับแลได้ถวายความจงรักภักดีให้กับหยวนซูไปเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เตรียมพร้อมที่จะมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านมังกรลับแลและทำลายพวกที่เป็นภัยต่อเหล่าผู้เล่น
แม่ทัพภูตมังกรลับแล เดิมทีนั้นมันกังวลว่าจะอาศัยอนู่ในดินแดนชางสือได้อีกไหมถ้าหากว่าการสูญเสียในการต่อสู้กับผู้เล่นนั้นมันมากเกินไป แต่เขาก็เปลี่ยนความคิดไปแล้ว
จากความคิดของแม่ทัพภูตมังกรลับแล ดินแดนชางสือจะถูกรวมเป็นหนึ่งเดียวในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยการนำทัพของหยวนซู แม้ว่าเขาจะต้องเสียพลัง มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
ดินแดนมังกรลับแลนั้นเป็นถิ่นของเขาและกองกำลังต่างเผ่านี้ก็ต้องถูกกำจัดลงไม่ช้าก็เร็ว เขาจึงพร้อมที่จะปลดปล่อยการโจมตีอย่างเต็มกำลังไปพร้อมกับกองกำลังเสี้ยนสูเพื่อกำจัดและขับไล่พวกเขาออกไปจากดินแดนแห่งนี้
เห็นได้ชัดว่าจะปล่อยเรื่องนี้เอาไว้ต่อไปไม่ได้
หลังจากที่หารือกับชางสือแล้ว ลู่หวู่ก็ชี้คำขาดด้วยการประกาศให้กองกำลังขับเคลื่อนออกเดินทางสู่สนามรบในอีกสามชั่วโมง
ในตอนนั้น หยวนซูยังรวบรวมพลังของกองกำลังได้ไม่เต็มที่พวกเขาจึงจำเป็นต้องชิงลงมือก่อนเพื่อที่จะตัดกำลังฝ่ายศัตรู
เมื่อประกาศเรื่องเวลาเดินทางแล้ว ผู้เล่นส่วนมากก็เริ่มมารวมตัวกันที่คฤหาสน์แห่งความตาย เตรียมสู้ศึกครั้งต่อไป
…
ชางสือก็เช่นกัน เขาเริ่มเตรียมตัวเมื่อรู้ว่าการสนับสนุนจากลู่หวู่จะมาถึงในอีกไม่ช้า
ในเวลานั้น มีผู้เล่นในยุโรปอยู่ทั่วทุกทีด้านนอกหมู่บ้านมังกรลับแล
หลังจากที่ชางสือประกาศออกไป พวกเขาก็ได้รับรู้ว่าสงครามกำลังจะเริ่มขึ้น และพวกเขาก็พร้อมจะสู้จนตัวตาย
ตลอดช่วงชีวิตของการต่อสู้กับแม่ทัพภูตมังกรลับแลที่ผ่านมา พวกเขาได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของแม่ทัพภูตระดับสูง พวกเขามั่นใจว่ามันจะต้องลำบากแน่นอนในการพยายามรับมือกับการโจมตีที่ทรงพลังด้วยพลังที่เขามีอยู่ในตอนนี้
เหล่าผู้เล่นกำหมัดแน่นในทันทีที่ร่างเงาที่สวมเกราะทองแดงจำนวนมากปรากฎขึ้นใกล้ๆกับบึงมังกรลับแล
ถ้าพวกเขาจะแพ้การต่อสู้ครั้งนี้ พวกเขาก็จะเสียฐานที่มั่นในดินแดนชางสือไปด้วย
พวกเขาจะทำได้แค่ร่อนเร่ไปรอบๆหลังจากที่เสียจุดเกิดไปพร้อมกับเซฟโซน มันจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกเขาที่จะเกิดใหม่ได้จากเท่าถ่านและฟื้นฟูกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาเคยมี
เมื่อได้เจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ท่าทางของผู้เล่นก็แสดงท่าทีที่มุ่งมั่นและพร้อมที่จะสู้จนวินาทีสุดท้าย
ถ้าเทียบกัน พวกเขาเหมือนไม่ได้สวมเกราะเลย มีเพียงผู้เล่นที่ใช้ของแดงหรือม่วงบางคนเท่านั้น แม้แต่อัศวินที่ขี่ม้าเองก็มีอยู่เพียงน้อยนิด
นอกจากนี้มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถจับจระเข้บึงและกวางบึงมาเป็นสัตว์ขี่ของพวกเขาได้ อัศวินที่มีเลเวลต่ำนั้นยังไม่สามารถมีสัตว์ขี่เป็นของตัวเองได้ ขณะที่อัศวินที่อยู่ระดับกลางนั้น พวกเขายังคงขี่หมูป่าตัวเล็กๆที่จับได้แถบๆบริเวณชายแดน พวกเขาดูอ่อนแอมาก
แต่ก็ยังมีผู้เล่นระดับโปรเช่นกัน
อย่างเช่นไรน์ฮาร์ท เขาใส่ชุดเกราะระดับ 40 สีม่วง ขี่อยู่บนหลังมังกรดินขณะที่เขาอยู่ในแนวหน้าในกองทัพของผู้เล่น เป็นผู้บัญชาการให้กับกองทัพ
หลี่ซิง เจนสัน และคนอื่นๆก็เช่นกัน… พวกเขามีแสงระเรื่อสีม่วงส่องออกมา
โดยทั่วไปแล้ว สมาชิกทั้งหมดของกิลด์ซีโร่นั้นมีอาวุธและอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ พวกเขามีเจสัน ผู้ที่ร่ำรวยมากเป็นผู้สนับสนุนพวกเขา ดังนั้นอุปกรณ์ทั้งหมดของกิลด์นั้นจึงดีกว่า ต้องขอบคุณทักษะการใช้เงินในเกมของพวกเขา
นอกจากนั้น กิลด์ซีโร่เองก็เป็นเสาหลักที่แข็งแกร่งในสงครามต่างๆ
ในตอนนั้น กองทัพมังกรลับแลที่ปรากฏขึ้นด้านนอกของบึงก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่มทันที มนุษย์กิ้งก่าขนาดใหญ่สูงราวเจ็ดฟุตค่อยๆเดินออกมาด้านหน้าพร้อมกับคทาไม้ในมือ เขาจ้องมาที่แคมป์ของผู้เล่นด้วยสายตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึก
แม่ทัพภูตมังกรลับแลไม่เข้าใจว่าทำไมกองกำลังเหล่านี้ถึงได้มาปรากฎตัวอยู่ในดินแดนของเขา
เขาไม่สามารถทนการโจมตีอย่างต่อเนื่องของกองกำลังเหล่านี้ได้อีกต่อไป
เขาได้เจรจากับผู้นำเผ่ามาก่อนหน้านี้ แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไหร่ พวกเขาก็ไม่สนใจ ไม่เพียงแค่ปฏิเสธเท่านั้น แต่พวกเขายังขู่ที่จะทำลายดินแดนมังกรลับแลทั้งหมดอีกด้วย
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทำให้มังกรลับแลปวดหัวเช่นกัน
เขายังสัมผัสได้ว่ากองกำลังใหม่นี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาดูเหมือนเป็นคนกลุ่มเล็กๆแต่ก็ไม่สามารถกำจัดหรือขับไล่ออกไปได้
การปรากฏตัวของหยวนซูทำให้เขากล้าที่จะกำจัดพวกผู้คนที่บอกว่าตัวเองนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังเสี้ยนสูแถมยังไม่สนใจกับสิ่งที่จะตามมา
“ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายกับเจ้า… ออกไปจากดินแดนแห่งนี้เพื่อรักษากองกำลังของพวกเจ้าเอาไว้!”
แม่ทัพภูตมังกรลับแลมองไปที่ผู้เล่นจากไกลๆและพูดด้วยความใจเย็น
เมื่อเขาพูดจบ ไข่มุกที่อยู่บนปลายของคทาก็ส่องแสงออกมา เสียงของเขาถูกเสริมพลังให้ดังก้องไปทั่วพื้นที่ ทำให้ผู้เล่นนั้นได้ยินเขาได้อย่างชัดเจน
“ข้าก็จะให้โอกาสสุดท้ายแก่เจ้าเช่นกัน… ถอนกำลังไปแล้วให้เวลาพวกเราพัฒนากองกำลัง!” ผู้นำกองกำลังหัวเราะเบาๆขณะที่ตอบกลับ
“ใช่แล้ว เจ้าพยายามโจมตีพวกเราก่อนที่เราจะพัฒนากองกำลังของเราได้อย่างสมบูรณ์ นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เจ้าไม่รู้กฎที่ว่าให้ผู้เล่นได้พัฒนากองกำลังของพวกเขาให้คงที่หรือห้ามผลักดันพวกเขาด้วยบอสตัวแรกในหมู่บ้านเริ่มต้นเหรอ?” เจสันที่ยืนอยู่ด้านข้าง ยกปืนขึ้นมาชี้ไปที่แม่ทัพภูตมังกรลับแลด้วยท่าทีปลุกปั่น
แม้ว่าแม่ทัพภูตมังกรลับแลจะไม่เข้าใจว่าเหล่าผู้เล่นนั้นต้องการจะสื่ออะไร แต่ดูจากท่าทีแล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะยังท้าทายเขาอยู่
“วู้!” แม่ทัพภูตมังกรลับแลคำรามออกมาด้วยความโกรธ สายลมแรงสีดำพุ่งเข้าใส่พวกเขาขณะที่เขากวัดแกว่งคทาในมือไปด้านหน้า
ลมกรรโชกแรงพัดผู้เล่นด้านหน้าจนทำให้เสียการทรงตัว ลอยขึ้นไปบนอากาศและตกลงมาบนพื้นทีละคน
ในตอนนั้น กองทัพมังกรลับแลก็เริ่มเดินหน้าไปพร้อมกับกระแสลม สงครามกำลังจะปะทุขึ้นแล้ว
“บุก! เพื่อชัยชนะแห่งกองกำลังเสี้ยนสู!” ในเมื่อพวกเขามาที่นี่เพื่อการต่อสู้ หลี่ซิงก็ไม่รีรอ เขาได้ตะโกนเข้าไปในช่องแชทพื้นที่
อัศวินหมูป่าแนวหน้าพุ่งเข้าโจมตีในทันที
สถานการณ์ไม่เข้าข้างเหล่าผู้เล่นเท่าไหร่เนื่องจากการรบกวนของกระแสลมดำ แต่ในด้านของกองทัพมังกรลับแลนั้นบุกเข้ามาในทิศทางเดียวกับกระแสลมได้ การโจมตีระลอกแรกของเหล่าผู้เล่นถูกกำจัดไปอย่างง่ายดาย
สถานการณ์มันไม่สามารถอธิบายได้ถึงความโกลาหลทั้งหมดเมื่อสองฝ่ายเข้าปะทะกันด้วยความวุ่นวาย
กลุ่มของอัศวินหมูป่าในแนวป้องกันแรกถูกทำลาย สถานการณ์กลับกลายเป็นหายนะ
เซิฟเวอร์ยุโรปนั้นกำลังพัฒนาไปได้อย่างรวดในขณะนี้ แต่พวกเขาก็ยังเทียบไม่ได้กับผู้เล่นดั้งเดิมในเป่ยฉี มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกับการต่อสู้จริงๆ
พวกเขาได้พบเจอกับความไม่ปรองดองทั้งจิตใจและร่างกาย
เขตสงครามเข้าสู่ความยุ่งเหยิงในทันที การต่อสู้ที่ไม่มีรูปแบบเนื่องจากผู้เล่นนั้นสังหารศัตรูที่โผล่มาด้านหน้าเท่านั้น ประกอบกับหมูป่าที่วิ่งมั่วไปทั่วทุกที่อย่างไร้จุดหมาย
แต่แม้ว่าจะมีความแตกต่างในเรื่องความแข็งแกร่ง ผู้เล่นก็ไม่ได้เสียสมดุล ทุกคนมีสีหน้าที่ดุดันเนื่องจากพวกเขานั้นไม่กลัวตาย มันทำให้กองทัพมังกรลับแลที่ไม่ได้เข้าสู่สงครามมานานเป็นฝ่ายสูญเสีย
อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้เล่นก็ยังคงอยู่ในความเสียเปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้
หลี่ซิงทำได้แต่สั่งแต่ละกิลด์ผ่านช่องแชทของชาแนลเพื่อที่จะนำทัพโจมตีเป็นกลุ่มขนาดเล็ก เนื่องจากพวกเขาไม่รู้วิธีที่จะโจมตีด้วยแบบแผนของกลุ่มขนาดใหญ่
กลยุทธ์ของเขามันได้ผล การโจมตีไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายเล็กน้อยเหมือนก่อนด้วยการปรับใช้แผนการโจมตีแบบกลุ่มย่อย ทำให้เหลือพื้นที่ได้การสวนกลับ
แต่สถานการณ์ก็ยังตึงมืออยู่ แนวรับแนวแรกถูกตีแตกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าการโจมตีของพวกเขาจะรุนแรงแค่ไหน พวกเขาก็ยังไม่สามารถขัดขวางการบุกเข้ามาของกองทัพมังกรลับแลได้
สีหน้าของชางสือเริ่มแย่ลง เขาถอนหายใจขณะที่เฝ้าดูความหายนะอยู่ในมุมมืด ทำไมข้าถึงไม่สังหารมังกรลับแลทิ้งไปตอนที่มีโอกาส!?
เวลาผ่านไป สงครามยังดำเนินต่อ สถานการณ์ก็ยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ
แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนนับล้าน แต่ประสบการณ์ในสงครามนั้นยังมีไม่มากพอ
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเทียบกับทหารของกองทัพมังกรลับแลในเรื่องของความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ การคืนชีพที่ต้องรอถึงสามชั่วโมงมันก็นานเกินไป พวกเขาไม่สามารถนำข้อได้เปรียบในการเกิดใหม่มาใช้ในการต่อสู้ได้อย่างเต็มที่
ช่วงเวลาแห่งความพ่ายแพ้เริ่มออกมาเป็นรูปร่าง มันเหนือการควบคุมไปแล้ว กองกำลังยุโรปนั้นยุ่งเหยิงเมื่อเทียบกับรูปแบบที่เป็นขบวนและเรียบร้อยของกองทัพมังกรลับแล
ทันใดนั้น กระแสน้ำวนสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นบนฟ้า ตามมาด้วยลำแสงขนาดใหญ่ที่พุ่งลงมาบนพื้นดินด้านหนึ่งของสนามรบในขณะที่หลี่ซิงและคนอื่นๆกำลังดิ้นรนอยู่กับกองต่อสู้ พวกเขากำลังพยายามสังหารศัตรูให้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้แม้ว่าพวกเขาจะต้องพ่ายแพ้ พวกเขาจะได้มีเวลามากพอเพื่อเตรียมตัวตอบโต้ในอนาคต
ผู้เล่นในเซิฟเวอร์ยุโรปและแม่ทัพภูตมังกรลับแลมองภาพเหล่านั้นด้วยความช็อคขณะที่คนจำนวนมากมายปรากฎตัวออกมาจากแสงสีน้ำเงินพร้อมกับเสียงอื้ออึง
“ฮ่าฮ่าฮ่า! พวกเรามาแล้ว! วันนี้ข้าจะสังหารสัก 100 ศพ อย่ามาแย่งศัตรูของข้าล่ะ!”
“ว้าว พวกนี้คือคะแนนที่รอเราอยู่! ช่วยหยุดและหลบไปด้านข้างกันก่อน พี่น้องในเซิฟเวอร์ยุโรป ให้พวกเราจัดการการต่อสู้ที่ยากเย็นนี้แทน ตอนนี้ถอนทัพไปก่อน การต่อสู้มันเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ความเจ็บปวดนี่สิเรื่องใหญ่!”
“พี่น้องแห่งกองกำลังเป่ยฉี เป็นการเดินทางที่น่าสนุกจริงๆ ให้พวกเราได้สอนบทเรียนให้แม่ทัพภูตหน่อยว่าหายนะครั้งที่สี่นี้มันเป็นยังไง!”
“ว้าว! ข้าหวังว่าข้าจะได้อันดับต้นๆในการต่อสู้ครั้งนี้นะ ตื่นเต้นดีจริงๆ!”
“อย่าเบียดสิ ให้ข้าไปแนวหน้าหน่อย ไอ้บ้าเอ้ย!”
“นักเวทย์ผู้พิทักษ์นางฟ้าผู้งี่เง่า พวกเจ้าเป็นนักเวทย์กันเยอะนะ แล้วทำไมยังอยู่แนวหน้า? นี่ไม่รู้ตัวเองหรือไง พวกเจ้าทั้งหมดดูไม่เหมือนนักเวทย์เลย! บ้าเอ้ย อย่าเบียด หลีกทางหน่อย!”
“ทำไมเจ้าไม่ดูตัวเองเลย เจ้าก็เป็นแค่นักฆ่า ทำไมเจ้าถึงอยากไปแนวหน้านัก หลบไป!”
“มากไปแล้วนะ พวกเจ้านักฆ่ากับนักเวทย์จะเบียดกันไปแนวหน้าทำไม? มารยาทอยู่ไหน? นี่พวกเจ้านับถือพวกข้าที่เป็นวอริเออร์บ้างไหมเนี่ย?”
“ทุกคน เงียบหน่อย นี่เป็นการเดินทางครั้งแรกของพวกเรา พวกเราต้องแสดงความมีเกียรติแห่งเป่ยฉีของเรา ดังนั้นอย่ามามุงกัน ให้ข้าไปหน่อย!”
“หลีกไป!”
…
กองกำลังเป่ยฉีขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบไปทั่วภูเขาปรากฏขึ้นด้านข้างของสนามรบขณะที่ลำแสงค่อยๆหายไป
ในตอนนั้น ประกาศเกมก็ปรากฏขึ้นในหัวของผู้เล่นในยุโรป:
[ในการต่อสู้ครั้งนี้ กองกำลังขับเคลื่อนแห่งเป่ยฉีได้มาถึงเพื่อสนับสนุนพวกท่าน!]
เมื่อได้ยินประกาศ ผู้เล่นยุโรปก็ถึงกับช็อค พวกเขารู้ว่ามันเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายแล้วที่พวกเขาจะโต้กลับได้
“พี่น้องแห่งเป่ยฉี ขอบคุณมากที่มาช่วยพวกเรา ตอนนี้สถานการณ์มันดูไม่แย่มากเท่าไหร่!”
“ขอบคุณมาก! อย่างน้อยความแข็งแกร่งของเราของทั้งสองฝ่ายก็สมดุลกันหน่อยแล้ว พวกเราจะได้มีโอกาสสู้กลับ!”
“อีกอย่าง ด้วยการคืนชีพของเรา มันจะเป็นผลดีของเราในตอนท้ายของสงคราม พวกเรารอดแล้ว! ชัยชนะเป็นของเรา!”
…
ผู้เล่นแห่งกองกำลังขับเคลื่อนพูดไม่ออกเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดจากผู้เล่นเหล่านี้
พวกเขาน่าจะรู้ว่ามันคือกองกำลังเป่ยฉีที่กำราบเป่ยฉีมากว่าครึ่งแล้ว
ผู้เล่นยุโรปคิดว่าความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายนั้นสมดุลเมื่อพวกเขาอยู่ด้วย ผู้เล่นเป่ยฉีทนไม่ได้กับการที่พวกเขาถูกประเมินค่าเอาไว้ต่ำ
เมื่อคิดไปถึงตอนที่พวกเขาสามารถสู้กับชานาได้ มันกินเวลาไปทั้งคืนและก็ได้ครอบครองชายหายหลิวลี่ได้สำเร็จ หัวของมันยังถูกแขวนเอาไว้บนกำแพงเมืองเป็นรางวัลอีกด้วย
ในตอนนี้ แม้ว่ากองกำลังของเป่ยฉีจะให้คำสัญญาว่าจะชนะพวกราชาแห่งภูตไม่ได้ อย่างน้อยพวกเขาก็มีความสามารถที่จะสู้กับพวกมัน
แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่ามันเป็นเพราะว่าผู้เล่นยุโรปยังไม่เข้าใจความแข็งแกร่งของพวกเขา แต่คำพูดเหล่านั้นก็ทำให้ผู้เล่นเป่ยฉีไม่แฮปปี้
มันรู้สึกเหมือนกับว่าพวกนั้นกำลังดูถูกเขาอยู่
ดังนั้นผู้เล่นดั้งเดิมจึงเริ่มลงมือในทันที!