เกี่ยวกับคำเตือนจากลูกหลายของราชาแห่งเป่ยฉี กู่หยูและซันฉีสัญญาอย่างจริงจังว่าพวกเขาจะฟังคำพูดของเขา เพื่อความปลอดภัยของดินแดนแห่งเป่ยฉี พวกเขาจะไม่ปีนภูเขา
ครึ่งชั่วโมงหลังจากพวกเขาได้กล่าวคำอำลากับชายชราผมขาว
“ไปกันเถอะเจ้าสุนัขก่อนมันจะมืด ใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เราจะต้องไปให้ถึงจุดสูงสุดก่อนที่เวลาเล่นเกมจะหมดลง”
“เอาล่ะ!”
ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่ง มนุษย์และสุนัขจะปีนภูเขาได้ง่ายกว่าในชีวิตจริง พวกเขายังคงมุ่งหน้าไปยังจุดสูงสุดของหน้าผาแห่งความสิ้นหวัง
อย่างไรก็ตามในขณะที่พวกเขากำลังขยับขึ้นไป ทั้งคู่จะรู้สึกเหมือนมีอำนาจบางอย่างกวาดผ่านพวกเขา มันเหมือนมีดวงตาที่ชั่วร้ายคู่หนึ่งมองดูพวกเขา
พวกเขาใช้เวลาแปดชั่วโมง โดยใช้ช่วงพักสั้นๆ ในที่สุดก็สามารถผ่านกลุ่มเมฆและดูจุดสูงสุดของหน้าผาแห่งความสิ้นหวัง
ในเวลานี้เองที่หัวใจของกู่หยูเหมือนถูกครอบงำ
เชาอดไม่ได้ที่จะนั่งยองๆและเริ่มสลัดความคิดด้านลบทุกอย่างที่เข้ามาในใจ เขารู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา และดวงตาทั้งสองข้างของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง
“หัวหน้า คุณสบายดีไหม?” ซันฉีถามอย่างเป็นกังวลเมื่อเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ในขณะนี้กู่หยูที่ตาสีแดงเข้มก็ยื่นมืออกไปอย่างกะทันหันและจับบีบคอของซันฉี โดยค่อยๆบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ซันฉีรู้สึกกลัวมากจนเขาเห่าออกไปโดยไม่รู้ตัว
“หัวหน้า คุณเป็นอะไรไป!?” ซันฉีพยายามดึงมือของกู่หยูออกไป แต่เขาก็ตระหนักว่า รูนรูบี้เรด สว่างขึ้น และความแข็งแกร่งของมือกู่หยูก็เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
เมื่อซันฉีเกือบจะทนไม่ไหว กู่หยูก็ปล่อยมือของเขาทันที ซันฉีนอนบนพื้นด้วยกรามห้อยลงมาและใบหน้าของเขาก็ดูเจ็บปวดอย่างสุดขีดขณะที่เขาเริ่มหอบ
ตอนนี้มีพลังสุดจะบรรยายปกคลุมไปทั่วกู่หยู จิตใจของกู่หยูเต็มไปด้วยฉากการนองเลือดและการสังหารที่หลากหลาย ภายใต้อารมณ์เชิงลบแบบนี้ เขารู้สึกราวกับว่าเขาเกือบจะมีอาการทางจิต
มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นของจริงแม้ว่าเขาจะคิดว่าเป็นเกม แต่เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัว
เขาจ้องที่ยอดเขาอีกครั้ง และคิดถึงคำเตือนจากชายชราผมขาว เวลานี้เขารู้สึกกลัวจริงๆ
“หัวหน้า มันน่าขนลุกมาก ฉันรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างจ้องมองที่เราอยู่…”
“คุณก็รู้เหมือนกันงั้นเหรอ?”
กู่หยูรู้สึกตึงเครียด ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตา ใครจะรู้ว่าซันฉีก็รู้สึกเหมือนกันเช่นกัน
“พวกเราจะไปต่อไหม…” ซันฉีรู้สึกหวาดผวาขณะที่เขาจ้องที่ยอดเขา
“คุณจะกลัวอะไร? มันไม่ใช่อะไรเรื่องใหญ่ มันไม่ใช่ว่าเราจะตายจริงๆในชีวิตจริงซะหน่อย” กู่หยูพูดอย่างมั่นคงแสดงรูปลักษณ์ให้ซันฉีดูเหมือนเขาเข็มแข็ง
ดังนั้นซันฉีจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องปีนขึ้นสู่ยอดเขากับกู่หยูต่อไป
ในที่สุดหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ร่างของชายและสุนัขก็ปรากฏตัวขึ้นบนยอดสูงสุด
กู่หยูและซันฉีตกตะลึงเมื่อเห็นทิวทัศน์เบื้องหน้า
มีเจดีย์เสาที่มีรอยด่างและร่องรอยอายุตั้งอยู่กลางยอดเขาและมีโครงกระดูกสีดำนั่งอยู่ข้างๆ
ทั้งคู่เดินไปที่เสาเจดีย์อย่างสงสัย พวกเขาเปิดฟังก์ชั่นภาพหน้าจอและถ่ายภาพไว้ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มมองไปรอบๆเสาเจดีย์นี้
ในขณะเดียวกันซันฉีเดินไปรอบๆเสาสองครั้ง ทันใดนั้นเขาก็ยกขาขวาขึ้น
“คุณกำลังทำอะไรน่ะ?” กู่หยูเบิกตากว้าง
เมื่อฉันซีรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร เขาเอาขาลงด้วยความอาย “ฉันไม่รู้เหมือนกัน มันดูเหมือนจะเป็นปฏิกิริยาสัญชาตญาณ”
เพื่อบรรเทาสถานการณ์ที่น่าอับอาย ซันฉีตัดสินใจที่จะตบเจดีย์เสาด้วยอุ้งเท้าของเขา เมื่อเขาสัมผัสมัน มีแสงสีดำปรากฏขึ้นในขณะที่แสงสีเขียวก็ปรากฏออกมาจากร่างของซันฉีในเวลาเดียวกัน
ทันทีแสงทั้งสองได้ชนกัน ซันฉีถูกกระแทกกระเด็นออกไปก่อนที่จะกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง
สิ่งนี้ทำให้กู่หยูประหลาดใจ เขารีบวิ่งไปที่ซันฉีและช่วยเขายืนขึ้น “เจ้าสุนัข แกเป็นอะไรมั้ย?”
ซันฉีส่ายหัวด้วยความสับสน “เสานี้แปลก ตอนที่ฉันสัมผัสมัน ก็มีความคิดฉับพลันปรากฏขึ้นในใจของฉัน ดูเหมือนว่ามันจะบอกฉันว่ามันไม่ขอบฉัน”
กู่หยูถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเขาเห็นว่าซันฉีไม่เป็นอะไร เขายืนขึ้นแล้วเดินไปที่เสาอีกครั้ง
กู่หยูคิดถึงสิ่งที่ซันฉีบอกเขา จากนั้นเขาก็ยื่นมืออกไปสัมผัสเช่นกัน เขาต้องการรู้ความรู้สึกที่ซันฉีอธิบายไว้เมื่อครู่
เมื่อมือของเขาแตะเสาเจดีย์ เขารู้สึกถึงอารมณ์เชิงลบอีกครั้งและพวกมันก็เจาะเข้าไปในจิตใจของเขาอย่างบ้าคลั่ง
ในขณะนี้ดวงตาของกู่หยูกลายเป็นสีแดงอีกครั้งและโลกของทะเลเลือดบ้าคลั่งก็ปรากฏต่อหน้าต่อตาของเขา
เหนือทะเลเลือด มีร่างเด็กทารกส่ายไปส่ายมาตามเกลียวคลื่น
โดยที่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ร่างอันโดดเดี่ยวนี้ก็ยังคงแกว่งไปมาอยู่เหมือนเดิม เขาจะลืมตาขึ้นเป็นครั้งคราวเพื่อดูโลกนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น อย่างไรก็ตามเวลาส่วนใหญ่ของเขายังคงใช้กับการนอนหลับใหล
กู่หยูไม่รู้ว่าทำไมแต่เขารู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วในความว่างเปล่านี้ เขาไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานหลายร้อยปี พันปี หรือแม้กระทั่งหมื่นปี ก่อนที่แสงจากฟากฟ้าจะปรากฏขึ้นในโลกที่มีสีเลือดนี้
พร้อมกับการปรากฏตัวของแสง คลื่นขนาดยักษ์ก็ก่อตัวสูงขึ้นในทะเลือด โลกทั้งโลกเริ่มสั่นสะเทือนเมื่อมันทรุดตัวลงและหดลงก่อนที่คลื่นจะซัดเข้าใส่ร่างกายเล็กๆของเด็กทารก
แสงเริ่มสว่างขึ้น ในท้ายที่สุดโลกสีเลือดนี้ก็ถูกดูดกลืนโดยเด็กทารกนี้ และสภาพแวดล้อมก็กลายเป็นว่างเปล่า
เด็กทารกที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงในที่สุดก็เปิดตาของเขาขึ้นช้าๆ
“แว๊” เขาร้องออกมาเป็นครั้งแรกในโลกใหม่นี้
“ทำไมจึงเป็นสีแดง?” เสียงเต็มไปด้วยความสันสบในการถาม
คราวนี้วังมโหฬารปรากฏต่อหน้ากู่หยู
ยักษ์ใหญ่สามตัวล้อมรอบแท่นบูชา พวกเขามองเด็กน้อยที่ร้องไห้บนแท่นด้วยความสับสน
“แดงเลือด! ภัยพิบัติ! ลางร้าย!”
“ทิ้งเด็กนี้ซะ เด็กคนนี้เกิดมาเต็มไปด้วยพลังของเลือด ข้ากลัวว่าเขาจะนำโชคชาตาที่ไม่รู้จักมาสู่กลุ่มของเรา!”
นักบวชสามคนในตระกูลมองไปที่เด็กชายตัวเล็กสีเลือดและพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองต่อราชาแห่งยักษ์ซึ่งอยู่ในชุดเกราะหนา
“ไม่ เขาเป็นลูกของข้า ข้าจะไม่ทิ้งเขาไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ราชาแห่งยักษ์อุ้มเด็กจากแท่นบูชาและวางเขาไว้ในอ้อมแขนของเขา จากนั้นเขาสัมผัสใบหน้าเด็กเลือดอย่างอ่อนโยนด้วยมือของเขา โดยแสดงรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
ในขณะนี้เด็กเลือดเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นหัวเราะ
เมื่อพวกเขาเห็นหัวหน้าตระกูลเดินจากไป นักบวชทั้งสามคนทำได้แค่ถอนหายใจโดยพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้
เมื่อเวลาผ่านไป เด็กเลือดก็เริ่มเติบโต
ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นในตระกูล เขามีความสูงเพียงหนึ่งเมตรเมื่อเด็กคนอื่นมีความสูงกว่าสามเมตร เขาถูกเลือกปฏิบัติโดยสมาชิกกลุ่มเพื่อนของเขาเนื่องจากเขาเป็นเหมือนสิ่งแปลกในกลุ่ม
อย่างไรก็ตามเด็กเลือดไม่ได้อารมณ์เสียเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเพราะเขามีพ่อแม่ที่รักเขามาก
หนึ่งคือหัวหน้าตระกูล ในขณะอีกคนเป็นนักบวชที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ ภายใต้การคุ้มครองของพ่อแม่เขารู้สึกมีความสุขมาก
มันเป็นช่วงเวลานี้ที่ฉากเริ่มเปลี่ยนในด้านหน้ากู่หยู
เมื่อฉากนั้นชัดเจนอีกครั้ง โลกข้างหน้าเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
บนท้องฟ้าเหนือเมืองยักษ์ มีโลกศพจำนวนมากลุกไปด้วยเปลวเพลิงบินข้ามตกใส่เมือง เมืองยักษ์ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยทะเลเพลิง
และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือซอมบี้ที่ดุร้ายที่ออกมาจากโลงศพที่ตกลงสู่พื้น