“เราตกลงกันได้…”
พี่สาวหยูต่อรองด้วยความมั่นใจ
ก่อนที่นางจะพูดจบซือหยูพูดแทรกเข้ามาก่อน
“มีอยู่ทางเดียวที่เจ้าทำได้จะอยู่หรือตาย อย่างได้กังขาในความชิงชังที่ตำหนักโลหิตมีต่อคนดินแดนมีดสวรรค์”
พี่สาวหยูตัวสั่นและหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะนางกล่าวอย่างขมขื่น
“ข้ารู้ว่าสายลับอยู่ที่ไหนแต่ที่นั่นเต็มไปด้วยปรมาจารย์ยอดฝีมือ และข้าก็ปล่อยทุกคนออกมาไม่ได้! ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าข้าบอกตำแหน่งไป โทษสถานเดียวของข้าก็คือความตาย! ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ต้องตาย ข้าตายด้วยมือเจ้าเสียดีกว่า จ้าวดินแดนอาจจะส่งรางวัลให้กับคนที่ข้ารักก็ได้”
ซือหยูทึ่งกับนางท่ามกลางความตึงเครียด ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เช่นนี้สามารถทนรับแรงกดดันได้และยังแสดงความมุ่งมั่นออกมาได้อีก มันคือความแน่วแน่ของผู้กล้า
ฉั่วะ!
ซือหยูยกดัชนีนักฆ่าทั้งแปดถูกสังหารพร้อมกันและลุกไม้ด้วยเพลิง ทั้งแปดถูกเผาไม่เหลือซาก
“ทีนี้นอกจากพวกเราก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว ส่วนพวกมัน พวกมันถูกอสูรที่ผ่านมาฆ่าตาย…”
ซือหยูพูดอย่างโหดร้าย
พี่สาวหยูแอบตกใจเสียงของซือหยูนั้นดูอ่อนวัยเป็นอย่างมาก แต่วิชาของเขาโหดร้าย เขาสามารถฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา เขามองชีวิตคนเป็นดังใบหญ้า
แต่ไม้ว่าทุกคนจะตายไปความอยากรอดชีวิตของพี่สาวหยูก็ยังหลงเหลืออยู่มาก
ไม่มีใครรู้ว่าตำหนักโลหิตส่งคนมาช่วยสายลับและมันก็ไม่เกี่ยวกับนาง “ในคุกกลางเมืองมีจ้าวเทวะระดับเก้าสามคน ระดับแปดยี่สิบคน ระดับเจ็ดมากกว่าร้อยคน นี่แผนที่และตำแหน่งของทุกคนในคุก ข้ารู้เพียงเท่านี้”
พี่สาวหยูบอกทุกรายละเอียดที่รู้กับเขา
เสี่ยวหลิงเองก็บอกทุกอย่างที่นางรู้ทันทีทั้งสองมีข้อมูลมากพอกัน
ซือหยูโบกมือพร้อมพยักหน้าทั้งสองสลบไป
…..
ในคุกดินแดนมีดสวรรค์
คุกแบ่งเป็นสิบเขตแต่ละเขตแบ่งแยกอาชญากรประเภทต่าง ๆ เอาไว้
เขตสามนับเป็นเขตที่สำคัญที่สุดของทั้งคุกเพราะมีนักโทษที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของดินแดนสายลับตำหนักโลหิตถูกจัดว่าเป็นนักโทษกลุ่มนี้
“เฮ้เฮ้ เจ้าเห็นหรือไม่? นักโทษมาใหม่จากตำหนักโลหิต! มีหลายคนดูไม่เลว ข้าอยากจะได้เห็น!”
ที่หน้าทางเข้าเขตสามจ้าวเทวะระดับเก้าสองคนนั่งคุ้มกันอยู่ ชายแก่เมามายอยู่ด้านซ้ายยิ้ม
“โดยเฉพาะคนที่ชื่อเสวี่ยเหลียนเหะ เหะ นางคือยอดสตรีเชียวล่ะ! น่าต้องตา! เอว อก หน้า…เหะ เหะ แค่ได้มองนางวิญญาณข้าก็ถูกชิงเอาไปแล้ว!”
จ้าวเทวะระดับเก้าทางด้านขวาพูดอย่างใจเย็น
“บ่มเพาะจนมีพลังระดับนี้แต่ยังข่มราคะไม่ได้ ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าไปเอาพลังมาจากไหน”
“เฮ้ยข้าบ่มเพาะด้วยจิตใจมีสุข ข้าจะพัฒนาพลังตามต้องการแค่ไหนก็ได้!”
ชายแก่พูดด้วยความเมา
จ้าวเทวะระดับเก้าสายหน้า
“ผู้หญิงคนนั้นอยู่เขตสามถ้าเจ้ายังรักชีวิตก็ทำตัวให้ดี” ชายแก่ที่เมากลับมาได้สติและพูดติดตลกด้วยความกระอักกระอ่วน
“ข้าก็แค่พูดเล่น!ช่างมันเถอะ จะอย่างไร ถ้าพวกนั้นเค้นเอาข้อมูลที่ต้องการได้แล้ว ผู้หญิงพวกนั้นก็เป็นของข้าอยู่ดี จะทำอย่างไรก็ได้ สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับข้าไม่ใช่รึ?”
“ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าห่วงเลยจะดีกว่าผู้จัดการใหญ่แห่งสี่ขุนพลคุกส่งเจ้ากับข้ามาคุ้มกันที่นี่ด้วยตัวเอง สายลับที่มาใหม่ย่อมดีมากอยู่แล้ว”
จ้าวเทวะระดับเก้าข้างๆ ชายแก่พูดด้วยความระแวง
ชายแก่ยืนขึ้นตรงเขาทำหน้าเคร่งขรึม
การอยู่ในคุกมานานและได้รับคำสั่งที่แปลกออกไปจากผู้คุมคุกทำให้เขารู้ว่าเขาต้องจริงจังมากขึ้น
…
ภายในคุก
กรงขังถูกสร้างด้วยผลึกเวทสิบดวงที่มิอาจทะลวงได้ไม่มีพระเจ้าหน้าไหนทะลวงผ่านได้ แม้แต่พลังช้างพันเชือกก็ไม่ทำให้กรงขังมีรอยข่วน
มีหนึ่งคนถูกขังอยู่ในทั้งสิบกรงบ้างเป็นบุรุษ บ้างเป็นสตรี ทุกคนบาดเจ็บและเหนื่อยล้า มีอยู่สองคนที่ถูกทรมานอย่างรุนแรง ลมหายใจอ่อนจนชีวิตแทบจะแตกดับ
กรงที่อยู่ในสุดมีสตรีร่างบอบบางที่สภาพย่ำแย่ถึงที่สุดนางเร่าร้อนเท่าเพลิงที่ร้อนสุดขั้ว นางมีผิวขาวราวหิมะ เครื่องหน้าตอบรับขับกล่อมกันอย่างดี นางมีเสน่ห์ที่ไม่มีชายใดต้านทานได้
แกร๊ง!แกร๊ง!
เสียงโซ่ลากกับพื้นดังอย่างชัดเจนในคุกอันว่างเปล่า
นักโทษในตรวนทั้งสิบที่เคยเงียบสงบตัวสั่นขึ้นพร้อมกันบางคนต้องเบือนหน้าหนีด้วยความกลัว มันมาอีกแล้ว!!
ในคุกดินแดนมีดสวรรค์มีผีร้ายที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนแทบบ้า!
เขารู้จักวิธีการทรมานทุกอย่างและลงทัณฑ์ผู้คนอย่างโหดร้ายเหมือนกับตายทั้งเป็น!สำหรับภูติผี การทรมานนักโทษและได้ยินเสียงร้องปวดใจจากความเจ็บปวดนั้นสร้างความหรรษาได้ไม่รู้จบ
ไม่มีใครในดินแดนมีดสวรรค์รู้จักภูติผีตนนี้แต่ทุกคนก็หวาดกลัวมัน!
เมื่อถูกคุมขังในคุกดินแดนมีดสวรรค์นักโทษหลายคนที่ทำความผิดเล้กน้อยมักจะขอร้องให้ถูกประหารโดยเร็วยิ่งกว่าถูกทรมานอยู่ในคุก การได้พบกับภูติผีตนนี้เหมือนกับความทุกข์ทรมานตลอดกาล
ทั้งสิบถูกผีร้ายทรมานมาหลายวันแล้วมีสองคนที่ถูกทรมานอย่างต่อเนื่องสามวันสามคืน วันนี้ทั้งสองได้กลายเป็นคนบ้าที่ตายทั้งเป็น
หลังจากผ่านไปหลายวันคำเดียวที่พวกเขาพูดมิใช่การอ้อนวอนขอความเมตตา แต่เป็นการอ้อนวอนขอความตาย “นี่เจ้าอยากให้พวกเราทำอะไรกันแน่?พวกข้าตอบทุกคำถามที่เจ้าถามไปแล้ว!”
บางคนที่กลายเป็นบ้ามิอาจทนการถูกทรมานได้อีก
ที่น่าเวทนาที่สุดก็คือพวกเขาไม่เคยถูกสืบสวนเลยตั้งแต่ที่เข้ามาในคุกผีร้ายนั้นระเบิดความซาดิสม์ของตัวเองและไม่เคยถามอะไรพวกเขาเลย
“โอ้อย่าเปลืองแรงอยู่เลย พวกข้าไม่เคยอยากได้ข้อมูลอะไร มีเพียงแค่การทำเราให้เป็นหนึ่งเดียว พวกข้าเหมือนกับมัจฉาหลุดแหไปสู่สวรรค์ ต่อให้ได้ข่าวสำคัญ ข่าวอื่น ไม่ว่าจะเล็กหรือไม่สำคัญ พวกมันก็ไร้ความหมาย! แค่เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวใดแพร่งพรายออกไป เพื่อพันธมิตรของพวกข้า สุดท้ายพวกข้าก็ต้องฆ่าเจ้า”
มีคนร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าบางคนขอความเมตตาด้วยความกลัว
พวกเขาไม่ได้กลัวตายแต่พวกเขากลัวจิตใจที่ถูกทรมานอย่างไม่รู้จบสิ้น ในบรรดาพวกเขามีเพียงเสวี่ยเหลียนที่ดูใจเย็น
“ตอนที่ข้ารับภารกิจข้าควรจะคิดถึงวันนี้แล้ว มีอะไรต้องรู้สึกเวทนาอีก? ทุกอย่างเตรียมใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียใจ”
แม้จะพูดเช่นนั้นจิตใจเสวี่ยเหลียนก็มิอาจหยุดคิดถึงบุรุษแก่เฒ่าคนหนึ่งได้ เขาคือศิษย์นอกตำหนักโลหิต หลังจากออกจากดินแดนพรสวรรค์มา นางไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร
แต่ก็น่าขันพอที่คนอย่างนางผู้ที่นับถือเงินตราเหนือชีวิต กลับอยากมอบทุกสิ่งให้กับเขา
เมื่อเสียงโซ่ตรวนลากพื้นใกล้เข้ามาผีร้ายที่จะฝังในความทรงจำของพวกเขาไปตลอดกาลได้ปรากฏตัวจากความมืด
มันมีหัวกระทิงและตัวเตี้ยเห็นได้เพียงดวงตาและปาก ที่มุมปากนั้นแสยะออกมาทั้งสองด้าน มันกำลังหัวเราะ ข้างหลังมันมีกล่องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทรมานทุกชิ้นมีคราบเลือดสีดำแห้งเกรอะกรัง
แค่เดินผ่านมาก็ทำให้คนทุกข์ระรมด้วยกลิ่นเลือดและความตาย
แต่ด้านหลังมันมีชายหนุ่มรูปงามสวมชุดจีนแบบดั้งเดิมเขามีเส้นผมสีเงินยาวสมบูรณ์แบบและใบหน้าหล่อเหลา ประกอบกับเสื้อผ้าอันงดงาม เพียงมองครั้งเดียว เขาก็ไม่ดูเหมือนคนจากคุกอันมืดมิดแห่งนี้
ทุกคนเห็นเขาเป็นภาพลวงตาของเทพอมตะ
เขาเป็นใครกัน?ทุกคนเกิดคำถามในใจ
แต่เมื่อพวกเขาตระหนักได้พวกเขาก็เห็นว่าผีร้ายกำลังนำทางมาอยู่!
ตัวตนของชายผู้นี้คาดเดาได้ไม่ยากเขาจะต้องเป็นคนสำคัญในดินแดนมีดสวรรค์แน่นอน
แต่ที่น่าแปลกก็คือพวกเขาสืบข่าวงมาหลายปี พวกเขารู้จักบุคคลสำคัญทั้งหมดในดินแดนมีดสวรรค์ แต่ชายคนนี้นั้นไม่คุ้นหน้า
“เจ้ามาเพื่อฆ่าเราสินะ?”
สายลับคนหนึ่งพูด
สามวันก็มากพอแล้วที่ผู้มีอำนาจในดินแดนมีดสวรรค์จะจับตัวพวกเขาและเข้ามาสืบสวนเป็นครั้งสุดท้ายพวกเขาไม่มีค่าอีกแล้ว
หนุ่มน้อยไม่พูดแม้แต่คำเดียวและเดินไปหาเสวี่ยเหลียนเงียบๆ
เสวี่ยเหลียนหลับตาพร้อมกับถอนหายใจเงียบๆ จุดจบของนางมาถึงแล้ว
สายลับคนอื่นอาจจะได้ตายอย่างไม่ทรมานแต่ไม่ใช่นาง สำหรับนาง การมีชีวิตนั้นไม่ได้ดีไปกว่าความตาย ในสามวันที่ผ่านมา มีสายตาราคะมองมาทางนาง ตั้งแต่คนดูแลคุกต่ำต้อยไปจนถึงคนระดับสูง ไม่มีใครเลยที่ไม่ต้องการนาง
และตอนนี้ยังมีเพิ่มขึ้นมาอีกคนคือองค์ชายน้อยผู้นี้
“ถ้าเจ้าอยากฆ่าก็จงทำด้วยคุณธรรมถ้าเจ้าอยากจะให้ข้ายอมก็คลานกลับไปในท้องแม่เจ้าแล้วอีกสิบปีค่อยออกมา!”
เสวี่ยเหลียนตะโกนด้วยความชิงชัง
“ฮ่าๆๆๆ…”
องค์ชายน้อยหัวเราะเบาๆ ด้วยความขบขัน
“นี่ไม่เจอกันตั้งนาน กลับพูดแบบนี้กับข้า เจ้าคิดอย่างไรที่ข้ามาช่วยเจ้าหรือ?”
เอ๋?
เสวี่ยเหลียนลืมตาด้วยความตกใจนางจ้องตรงไปที่ซือหยู!
สายลับที่เหลือตกใจเช่นกันแต่พวกเขาก็ไม่กล้ามองเมื่อมีผีร้ายที่พวกเขาหวาดกลัวอยู่ด้วย แต่ในตอนนั้นก็มีคนเห็นว่าดวงตาของผีร้ายนั้นขุ่นมัวและไร้แวว ราวกับว่าถูกบางอย่างควบคุมอยู่
ทุกคนดีใจขึ้นมาทันที
“พวกเราขอบังอาจถามได้หรือไม่เจ้าคือผู้ใดกัน?” สายลับดีใจเกินกว่าจะอธิบายได้
“ก่อนจะพูดอะไรเจ้าหากุญแจมาปล่อยเราได้หรือไม่?”
…
“ทุกคนหุบปาก!”
เสวี่ยเหลียนพูดอย่างเย็นชา
“พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปแล้ว?พวกเจ้าเคยเห็นคนผู้นี้มาก่อนหรือ? พอพูดว่าจะมาช่วยเจ้า พวกเจ้าก็เชื่อเลยหรือ?”
เหล่าสายลับหมดหวังในทันทีหลังจากที่ถูกทรมานมาอย่างยาวนาน พวกเขาประมาทไปมาก
ในเวลาที่คนผู็นี้ถูกดินแดนมีดสวรรค์ส่งตัวมาจงใจแสร้งทำเป็นมาช่วยพวกเขา เขาอาจจะวางแผนใช้พวกเขาล่อให้คนตำหนักโลหิตมาติดกับมากกว่านี้ได้ไม่ใช่หรือ?
“โอ้แม้แต่เจ้าก็จำข้าไม่ได้หรือ? น่าสงสารตัวข้านัก ข้าตั้งใจมาช่วยเจ้าเชียวนะ”
องค์ชายน้อยดูเศร้า สายลับที่เหลือเริ่มสงสัยดูจากน้ำเสียง ราวกับว่าเสวี่ยเหลียนกับชายหนุ่มรู้จักกัน
เสวี่ยเหลียนตะโกนเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาสงสัยของสายลับอื่น
“ข้าไม่รู้จักเขา!”
ในใจนางพยายามอย่างมากที่จะนึกย้อนว่าเมื่อใดที่นางได้ทำความรู้จักกับชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้
“นี่เจ้าเจ้าลืมได้รวดเร็วนัก เราเคยอยู่ห้องเดียวกัน เจ้ายังบอกว่าข้าถูกสตรีอื่นหึงหวงที่เจ้ามายุ่งกับข้าอยู่เลยไม่ใช่รึ?”
องค์ชายน้อยพูดแหย่
อ๊ะ…
สายลับหลายคนคิดจ้องมองเสวี่ยเหลียน และหันมองหน้ากัน
คิดถึงเสน่ห์ที่เสวี่ยเหลียนมีพวกเขาไม่สงสัยในเรื่องที่องค์ชายน้อยพูดแม้สักนิดเดียว เขาเป็นนักรบหนุ่มรูปงามที่ยังไม่รู้ว่ามีพลังมากเพียงใด แต่เมื่อเป็นเรื่องสตรี บุรุษย่อมใจอ่อน พวกเขากำลังจะรอดแล้ว! คงไม่ต้องทำอะไรมากเพื่อที่จะล่อลวงเสวี่ยเหลียนผู้งดงามและเดียวดาย
พวกเขาไม่สงสัยในคำพูดขององค์ชายน้อยเลย
เสวี่ยเหลียนหน้าแดงเมื่อถูกมองด้วยสายตาประหลาดนางพูดด้วยความโมโห
“เหลวไหล!ข้าเคยหลวมตัวกับบุรุษตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“เจ้าพูดแบบนี้ทำร้ายความรู้สึกข้านะ…อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแม้กระทั่งจูบของเรา?”
ชายหนุ่มถอนหายใจ
จูบ…
“เสวี่ยเหลียนเป็นอะไรของเจ้า? เขามาเพื่อช่วยพวกเรา เจ้ากำลังทำให้เรื่องมันยุ่งยาก! เจ้าไม่อยากจะให้ความสัมพันธ์ลับของเจ้าเป็นที่ล่วงรู้แล้วแกล้งโง่เรอะ? ท่านเสวี่ยเหลียน นี่มันเรื่องสำคัญ หยุดเล่นตลกกับชีวิตพวกข้าสักทีเถอะ!”
เสวี่ยเหลียนตัวสั่นด้วยความโกรธแค้น
“ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้จริงๆ ขอพูดด้วยเกียรติของข้า!”
แต่ที่นางได้กลับมาก็คือสายตาที่สงสัยยิ่งกว่าเดิมคำพูดเจ้า…มันมีค่าด้วยหรือ?
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
องค์ชายน้อยระเบิดเสียงหัวเราะร่างกายของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้า
พี่สาวหยูต่อรองด้วยความมั่นใจ
ก่อนที่นางจะพูดจบซือหยูพูดแทรกเข้ามาก่อน
“มีอยู่ทางเดียวที่เจ้าทำได้จะอยู่หรือตาย อย่างได้กังขาในความชิงชังที่ตำหนักโลหิตมีต่อคนดินแดนมีดสวรรค์”
พี่สาวหยูตัวสั่นและหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะนางกล่าวอย่างขมขื่น
“ข้ารู้ว่าสายลับอยู่ที่ไหนแต่ที่นั่นเต็มไปด้วยปรมาจารย์ยอดฝีมือ และข้าก็ปล่อยทุกคนออกมาไม่ได้! ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าข้าบอกตำแหน่งไป โทษสถานเดียวของข้าก็คือความตาย! ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ต้องตาย ข้าตายด้วยมือเจ้าเสียดีกว่า จ้าวดินแดนอาจจะส่งรางวัลให้กับคนที่ข้ารักก็ได้”
ซือหยูทึ่งกับนางท่ามกลางความตึงเครียด ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เช่นนี้สามารถทนรับแรงกดดันได้และยังแสดงความมุ่งมั่นออกมาได้อีก มันคือความแน่วแน่ของผู้กล้า
ฉั่วะ!
ซือหยูยกดัชนีนักฆ่าทั้งแปดถูกสังหารพร้อมกันและลุกไม้ด้วยเพลิง ทั้งแปดถูกเผาไม่เหลือซาก
“ทีนี้นอกจากพวกเราก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว ส่วนพวกมัน พวกมันถูกอสูรที่ผ่านมาฆ่าตาย…”
ซือหยูพูดอย่างโหดร้าย
พี่สาวหยูแอบตกใจเสียงของซือหยูนั้นดูอ่อนวัยเป็นอย่างมาก แต่วิชาของเขาโหดร้าย เขาสามารถฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตา เขามองชีวิตคนเป็นดังใบหญ้า
แต่ไม้ว่าทุกคนจะตายไปความอยากรอดชีวิตของพี่สาวหยูก็ยังหลงเหลืออยู่มาก
ไม่มีใครรู้ว่าตำหนักโลหิตส่งคนมาช่วยสายลับและมันก็ไม่เกี่ยวกับนาง “ในคุกกลางเมืองมีจ้าวเทวะระดับเก้าสามคน ระดับแปดยี่สิบคน ระดับเจ็ดมากกว่าร้อยคน นี่แผนที่และตำแหน่งของทุกคนในคุก ข้ารู้เพียงเท่านี้”
พี่สาวหยูบอกทุกรายละเอียดที่รู้กับเขา
เสี่ยวหลิงเองก็บอกทุกอย่างที่นางรู้ทันทีทั้งสองมีข้อมูลมากพอกัน
ซือหยูโบกมือพร้อมพยักหน้าทั้งสองสลบไป
…..
ในคุกดินแดนมีดสวรรค์
คุกแบ่งเป็นสิบเขตแต่ละเขตแบ่งแยกอาชญากรประเภทต่าง ๆ เอาไว้
เขตสามนับเป็นเขตที่สำคัญที่สุดของทั้งคุกเพราะมีนักโทษที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของดินแดนสายลับตำหนักโลหิตถูกจัดว่าเป็นนักโทษกลุ่มนี้
“เฮ้เฮ้ เจ้าเห็นหรือไม่? นักโทษมาใหม่จากตำหนักโลหิต! มีหลายคนดูไม่เลว ข้าอยากจะได้เห็น!”
ที่หน้าทางเข้าเขตสามจ้าวเทวะระดับเก้าสองคนนั่งคุ้มกันอยู่ ชายแก่เมามายอยู่ด้านซ้ายยิ้ม
“โดยเฉพาะคนที่ชื่อเสวี่ยเหลียนเหะ เหะ นางคือยอดสตรีเชียวล่ะ! น่าต้องตา! เอว อก หน้า…เหะ เหะ แค่ได้มองนางวิญญาณข้าก็ถูกชิงเอาไปแล้ว!”
จ้าวเทวะระดับเก้าทางด้านขวาพูดอย่างใจเย็น
“บ่มเพาะจนมีพลังระดับนี้แต่ยังข่มราคะไม่ได้ ข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าไปเอาพลังมาจากไหน”
“เฮ้ยข้าบ่มเพาะด้วยจิตใจมีสุข ข้าจะพัฒนาพลังตามต้องการแค่ไหนก็ได้!”
ชายแก่พูดด้วยความเมา
จ้าวเทวะระดับเก้าสายหน้า
“ผู้หญิงคนนั้นอยู่เขตสามถ้าเจ้ายังรักชีวิตก็ทำตัวให้ดี” ชายแก่ที่เมากลับมาได้สติและพูดติดตลกด้วยความกระอักกระอ่วน
“ข้าก็แค่พูดเล่น!ช่างมันเถอะ จะอย่างไร ถ้าพวกนั้นเค้นเอาข้อมูลที่ต้องการได้แล้ว ผู้หญิงพวกนั้นก็เป็นของข้าอยู่ดี จะทำอย่างไรก็ได้ สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับข้าไม่ใช่รึ?”
“ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าห่วงเลยจะดีกว่าผู้จัดการใหญ่แห่งสี่ขุนพลคุกส่งเจ้ากับข้ามาคุ้มกันที่นี่ด้วยตัวเอง สายลับที่มาใหม่ย่อมดีมากอยู่แล้ว”
จ้าวเทวะระดับเก้าข้างๆ ชายแก่พูดด้วยความระแวง
ชายแก่ยืนขึ้นตรงเขาทำหน้าเคร่งขรึม
การอยู่ในคุกมานานและได้รับคำสั่งที่แปลกออกไปจากผู้คุมคุกทำให้เขารู้ว่าเขาต้องจริงจังมากขึ้น
…
ภายในคุก
กรงขังถูกสร้างด้วยผลึกเวทสิบดวงที่มิอาจทะลวงได้ไม่มีพระเจ้าหน้าไหนทะลวงผ่านได้ แม้แต่พลังช้างพันเชือกก็ไม่ทำให้กรงขังมีรอยข่วน
มีหนึ่งคนถูกขังอยู่ในทั้งสิบกรงบ้างเป็นบุรุษ บ้างเป็นสตรี ทุกคนบาดเจ็บและเหนื่อยล้า มีอยู่สองคนที่ถูกทรมานอย่างรุนแรง ลมหายใจอ่อนจนชีวิตแทบจะแตกดับ
กรงที่อยู่ในสุดมีสตรีร่างบอบบางที่สภาพย่ำแย่ถึงที่สุดนางเร่าร้อนเท่าเพลิงที่ร้อนสุดขั้ว นางมีผิวขาวราวหิมะ เครื่องหน้าตอบรับขับกล่อมกันอย่างดี นางมีเสน่ห์ที่ไม่มีชายใดต้านทานได้
แกร๊ง!แกร๊ง!
เสียงโซ่ลากกับพื้นดังอย่างชัดเจนในคุกอันว่างเปล่า
นักโทษในตรวนทั้งสิบที่เคยเงียบสงบตัวสั่นขึ้นพร้อมกันบางคนต้องเบือนหน้าหนีด้วยความกลัว มันมาอีกแล้ว!!
ในคุกดินแดนมีดสวรรค์มีผีร้ายที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนแทบบ้า!
เขารู้จักวิธีการทรมานทุกอย่างและลงทัณฑ์ผู้คนอย่างโหดร้ายเหมือนกับตายทั้งเป็น!สำหรับภูติผี การทรมานนักโทษและได้ยินเสียงร้องปวดใจจากความเจ็บปวดนั้นสร้างความหรรษาได้ไม่รู้จบ
ไม่มีใครในดินแดนมีดสวรรค์รู้จักภูติผีตนนี้แต่ทุกคนก็หวาดกลัวมัน!
เมื่อถูกคุมขังในคุกดินแดนมีดสวรรค์นักโทษหลายคนที่ทำความผิดเล้กน้อยมักจะขอร้องให้ถูกประหารโดยเร็วยิ่งกว่าถูกทรมานอยู่ในคุก การได้พบกับภูติผีตนนี้เหมือนกับความทุกข์ทรมานตลอดกาล
ทั้งสิบถูกผีร้ายทรมานมาหลายวันแล้วมีสองคนที่ถูกทรมานอย่างต่อเนื่องสามวันสามคืน วันนี้ทั้งสองได้กลายเป็นคนบ้าที่ตายทั้งเป็น
หลังจากผ่านไปหลายวันคำเดียวที่พวกเขาพูดมิใช่การอ้อนวอนขอความเมตตา แต่เป็นการอ้อนวอนขอความตาย “นี่เจ้าอยากให้พวกเราทำอะไรกันแน่?พวกข้าตอบทุกคำถามที่เจ้าถามไปแล้ว!”
บางคนที่กลายเป็นบ้ามิอาจทนการถูกทรมานได้อีก
ที่น่าเวทนาที่สุดก็คือพวกเขาไม่เคยถูกสืบสวนเลยตั้งแต่ที่เข้ามาในคุกผีร้ายนั้นระเบิดความซาดิสม์ของตัวเองและไม่เคยถามอะไรพวกเขาเลย
“โอ้อย่าเปลืองแรงอยู่เลย พวกข้าไม่เคยอยากได้ข้อมูลอะไร มีเพียงแค่การทำเราให้เป็นหนึ่งเดียว พวกข้าเหมือนกับมัจฉาหลุดแหไปสู่สวรรค์ ต่อให้ได้ข่าวสำคัญ ข่าวอื่น ไม่ว่าจะเล็กหรือไม่สำคัญ พวกมันก็ไร้ความหมาย! แค่เพื่อป้องกันไม่ให้ข่าวใดแพร่งพรายออกไป เพื่อพันธมิตรของพวกข้า สุดท้ายพวกข้าก็ต้องฆ่าเจ้า”
มีคนร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าบางคนขอความเมตตาด้วยความกลัว
พวกเขาไม่ได้กลัวตายแต่พวกเขากลัวจิตใจที่ถูกทรมานอย่างไม่รู้จบสิ้น ในบรรดาพวกเขามีเพียงเสวี่ยเหลียนที่ดูใจเย็น
“ตอนที่ข้ารับภารกิจข้าควรจะคิดถึงวันนี้แล้ว มีอะไรต้องรู้สึกเวทนาอีก? ทุกอย่างเตรียมใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียใจ”
แม้จะพูดเช่นนั้นจิตใจเสวี่ยเหลียนก็มิอาจหยุดคิดถึงบุรุษแก่เฒ่าคนหนึ่งได้ เขาคือศิษย์นอกตำหนักโลหิต หลังจากออกจากดินแดนพรสวรรค์มา นางไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร
แต่ก็น่าขันพอที่คนอย่างนางผู้ที่นับถือเงินตราเหนือชีวิต กลับอยากมอบทุกสิ่งให้กับเขา
เมื่อเสียงโซ่ตรวนลากพื้นใกล้เข้ามาผีร้ายที่จะฝังในความทรงจำของพวกเขาไปตลอดกาลได้ปรากฏตัวจากความมืด
มันมีหัวกระทิงและตัวเตี้ยเห็นได้เพียงดวงตาและปาก ที่มุมปากนั้นแสยะออกมาทั้งสองด้าน มันกำลังหัวเราะ ข้างหลังมันมีกล่องที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทรมานทุกชิ้นมีคราบเลือดสีดำแห้งเกรอะกรัง
แค่เดินผ่านมาก็ทำให้คนทุกข์ระรมด้วยกลิ่นเลือดและความตาย
แต่ด้านหลังมันมีชายหนุ่มรูปงามสวมชุดจีนแบบดั้งเดิมเขามีเส้นผมสีเงินยาวสมบูรณ์แบบและใบหน้าหล่อเหลา ประกอบกับเสื้อผ้าอันงดงาม เพียงมองครั้งเดียว เขาก็ไม่ดูเหมือนคนจากคุกอันมืดมิดแห่งนี้
ทุกคนเห็นเขาเป็นภาพลวงตาของเทพอมตะ
เขาเป็นใครกัน?ทุกคนเกิดคำถามในใจ
แต่เมื่อพวกเขาตระหนักได้พวกเขาก็เห็นว่าผีร้ายกำลังนำทางมาอยู่!
ตัวตนของชายผู้นี้คาดเดาได้ไม่ยากเขาจะต้องเป็นคนสำคัญในดินแดนมีดสวรรค์แน่นอน
แต่ที่น่าแปลกก็คือพวกเขาสืบข่าวงมาหลายปี พวกเขารู้จักบุคคลสำคัญทั้งหมดในดินแดนมีดสวรรค์ แต่ชายคนนี้นั้นไม่คุ้นหน้า
“เจ้ามาเพื่อฆ่าเราสินะ?”
สายลับคนหนึ่งพูด
สามวันก็มากพอแล้วที่ผู้มีอำนาจในดินแดนมีดสวรรค์จะจับตัวพวกเขาและเข้ามาสืบสวนเป็นครั้งสุดท้ายพวกเขาไม่มีค่าอีกแล้ว
หนุ่มน้อยไม่พูดแม้แต่คำเดียวและเดินไปหาเสวี่ยเหลียนเงียบๆ
เสวี่ยเหลียนหลับตาพร้อมกับถอนหายใจเงียบๆ จุดจบของนางมาถึงแล้ว
สายลับคนอื่นอาจจะได้ตายอย่างไม่ทรมานแต่ไม่ใช่นาง สำหรับนาง การมีชีวิตนั้นไม่ได้ดีไปกว่าความตาย ในสามวันที่ผ่านมา มีสายตาราคะมองมาทางนาง ตั้งแต่คนดูแลคุกต่ำต้อยไปจนถึงคนระดับสูง ไม่มีใครเลยที่ไม่ต้องการนาง
และตอนนี้ยังมีเพิ่มขึ้นมาอีกคนคือองค์ชายน้อยผู้นี้
“ถ้าเจ้าอยากฆ่าก็จงทำด้วยคุณธรรมถ้าเจ้าอยากจะให้ข้ายอมก็คลานกลับไปในท้องแม่เจ้าแล้วอีกสิบปีค่อยออกมา!”
เสวี่ยเหลียนตะโกนด้วยความชิงชัง
“ฮ่าๆๆๆ…”
องค์ชายน้อยหัวเราะเบาๆ ด้วยความขบขัน
“นี่ไม่เจอกันตั้งนาน กลับพูดแบบนี้กับข้า เจ้าคิดอย่างไรที่ข้ามาช่วยเจ้าหรือ?”
เอ๋?
เสวี่ยเหลียนลืมตาด้วยความตกใจนางจ้องตรงไปที่ซือหยู!
สายลับที่เหลือตกใจเช่นกันแต่พวกเขาก็ไม่กล้ามองเมื่อมีผีร้ายที่พวกเขาหวาดกลัวอยู่ด้วย แต่ในตอนนั้นก็มีคนเห็นว่าดวงตาของผีร้ายนั้นขุ่นมัวและไร้แวว ราวกับว่าถูกบางอย่างควบคุมอยู่
ทุกคนดีใจขึ้นมาทันที
“พวกเราขอบังอาจถามได้หรือไม่เจ้าคือผู้ใดกัน?” สายลับดีใจเกินกว่าจะอธิบายได้
“ก่อนจะพูดอะไรเจ้าหากุญแจมาปล่อยเราได้หรือไม่?”
…
“ทุกคนหุบปาก!”
เสวี่ยเหลียนพูดอย่างเย็นชา
“พวกเจ้าเป็นอะไรกันไปแล้ว?พวกเจ้าเคยเห็นคนผู้นี้มาก่อนหรือ? พอพูดว่าจะมาช่วยเจ้า พวกเจ้าก็เชื่อเลยหรือ?”
เหล่าสายลับหมดหวังในทันทีหลังจากที่ถูกทรมานมาอย่างยาวนาน พวกเขาประมาทไปมาก
ในเวลาที่คนผู็นี้ถูกดินแดนมีดสวรรค์ส่งตัวมาจงใจแสร้งทำเป็นมาช่วยพวกเขา เขาอาจจะวางแผนใช้พวกเขาล่อให้คนตำหนักโลหิตมาติดกับมากกว่านี้ได้ไม่ใช่หรือ?
“โอ้แม้แต่เจ้าก็จำข้าไม่ได้หรือ? น่าสงสารตัวข้านัก ข้าตั้งใจมาช่วยเจ้าเชียวนะ”
องค์ชายน้อยดูเศร้า สายลับที่เหลือเริ่มสงสัยดูจากน้ำเสียง ราวกับว่าเสวี่ยเหลียนกับชายหนุ่มรู้จักกัน
เสวี่ยเหลียนตะโกนเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาสงสัยของสายลับอื่น
“ข้าไม่รู้จักเขา!”
ในใจนางพยายามอย่างมากที่จะนึกย้อนว่าเมื่อใดที่นางได้ทำความรู้จักกับชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้
“นี่เจ้าเจ้าลืมได้รวดเร็วนัก เราเคยอยู่ห้องเดียวกัน เจ้ายังบอกว่าข้าถูกสตรีอื่นหึงหวงที่เจ้ามายุ่งกับข้าอยู่เลยไม่ใช่รึ?”
องค์ชายน้อยพูดแหย่
อ๊ะ…
สายลับหลายคนคิดจ้องมองเสวี่ยเหลียน และหันมองหน้ากัน
คิดถึงเสน่ห์ที่เสวี่ยเหลียนมีพวกเขาไม่สงสัยในเรื่องที่องค์ชายน้อยพูดแม้สักนิดเดียว เขาเป็นนักรบหนุ่มรูปงามที่ยังไม่รู้ว่ามีพลังมากเพียงใด แต่เมื่อเป็นเรื่องสตรี บุรุษย่อมใจอ่อน พวกเขากำลังจะรอดแล้ว! คงไม่ต้องทำอะไรมากเพื่อที่จะล่อลวงเสวี่ยเหลียนผู้งดงามและเดียวดาย
พวกเขาไม่สงสัยในคำพูดขององค์ชายน้อยเลย
เสวี่ยเหลียนหน้าแดงเมื่อถูกมองด้วยสายตาประหลาดนางพูดด้วยความโมโห
“เหลวไหล!ข้าเคยหลวมตัวกับบุรุษตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
“เจ้าพูดแบบนี้ทำร้ายความรู้สึกข้านะ…อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแม้กระทั่งจูบของเรา?”
ชายหนุ่มถอนหายใจ
จูบ…
“เสวี่ยเหลียนเป็นอะไรของเจ้า? เขามาเพื่อช่วยพวกเรา เจ้ากำลังทำให้เรื่องมันยุ่งยาก! เจ้าไม่อยากจะให้ความสัมพันธ์ลับของเจ้าเป็นที่ล่วงรู้แล้วแกล้งโง่เรอะ? ท่านเสวี่ยเหลียน นี่มันเรื่องสำคัญ หยุดเล่นตลกกับชีวิตพวกข้าสักทีเถอะ!”
เสวี่ยเหลียนตัวสั่นด้วยความโกรธแค้น
“ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้จริงๆ ขอพูดด้วยเกียรติของข้า!”
แต่ที่นางได้กลับมาก็คือสายตาที่สงสัยยิ่งกว่าเดิมคำพูดเจ้า…มันมีค่าด้วยหรือ?
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
องค์ชายน้อยระเบิดเสียงหัวเราะร่างกายของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้า