จะอย่างไรนางก็เป็นวิญญาณของลูกหลานเทพกระเรียนประมาทแม้แต่ครั้งเดียว นางจะหนีไปได้
“เจ้าคิดจะแลกข้ากับเทพกิเลนสินะ?”
เหอเสี่ยวหลานรู้เท่าทันซือหยู
เขาไม่เคยคิดหนีตั้งแต่แรกเขาเพียงแสร้งทำเป็นหนีเอาชีวิตเพื่อวางกับดักที่จะจับนางทั้งเป็นเพื่อแลกกับเทพกิเลน
เหอเสี่ยวหลานจ้องมองสายตาลึกล้ำของซือหยูและรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าคนป่าเถื่อนจากจิวโจวผู้นี้คือคนที่นางต้องจัดการด้วยความใจเย็นและใช้ปัญญามากกว่าทั่วไป
ทันทีที่นางถูกจับได้เซียนทั้งสองร้อยคนก็เริ่มกลัวและหยุดเคลื่อนไหว
ซือหยูไม่คิดจะตอบนางเขาขังวิญญาณนางสู่มิติวิญญาณต่อหน้าต่อตา
“กลับไปหาคนที่จะเจรจาแลกตัวเทพกิเลนกับข้า…ข้าว่าพวกเจ้าคงรู้จักคนที่ห่วงใยนาง”
แม้สีหน้าจะขมขื่นเซียนทั้งสองร้อยคนก็รู้ดีว่าซือหยูหมายถึงใคร
เทพกระเรียนนั้นมีลูกหลานหลายคนถ้าหากเหอเสี่ยวหลานที่นางชื่นชมตายไป ลูกหลานคนอื่นจะได้โอกาส
ดังนั้นถ้าหากลูกหลานเหล่านั้นเป็นคนมาเจรจาแลกเทพกิเลนแทนเหอเสี่ยวหลานจะเป็นอันตรายยิ่งกว่า
“เราจะติดต่อเจ้าได้ยังไง?”
เซียนคนหนึ่งถาม
ซือหยูโยนสร้อยหยกออกไป
“สิ่งนี้รับข้อความได้เท่านั้นมิอาจตอบกลับได้ ข้าจะเป็คนเดียวที่ให้ข้อมูลกับเจ้า”
“ส่วนสถานที่เวลา และจำนวนคนที่เจ้านำมาได้ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับข้า…นอกจากเจ้าจะอยากให้เหอเสี่ยวหลานตาย!”
“แล้วก็…ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเทพกิเลนเหอเสี่ยวหลานจะต้องชดใช้เป็นสองเท่า อย่าแม้แต่จะคิดค้นดูควาทรงทำในวิญญาณของข้า!”
เซียนหลานคนหายใจเข้าลึกผู้ลักพาตัวผู้นี้ใจเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้าหากพวกเขาต้องการช่วยเหอเสี่ยวหลานอย่างไร้รอยข่วนพวกเขาก็มิอาจคิดถึงการทำร้ายเทพกิเลนได้เลย พวกเขายังต้องหากำลังเสริมเพิ่มเพื่อให้มั่นใจว่าเทพกิเลนจะไม่แอบถูกลูกหลานของเทพกระเรียนทำร้าย
เซียนทั้งสองร้อยคนรีบกลับไป
เมื่อผู้คนกระจายออกไปแล้วจ้าวผาบั่นภูติจ้องซือหยู
“การตกลงครั้งนี้เจ้าจะเป็นฝ่ายสูญเสียอย่างหนัก”
แม้เทพกิเลนจะถูกช่วยเอาไว้ได้การลักพาตัวลูกหลานเทพในดินแดนที่มีเทพกว่าร้อยคนก็เป็นการท้าทายเทพเหล่านั้น มันคือเรื่องต้องห้ามสูงสุด
นอกจากเทพกระเรียนจะล้างแค้นเทพที่เหลือก็จะไม่ยอมรับซือหยูอีกต่อไป
เขาจะเสียเปรียบตั้งแต่ก่อนที่ได้ตั้งถิ่นฐานในพันธมิตรบูรพา
ไม่ผิดแน่นี่เป็นข้อตกลงที่เขาขาดทุนตั้งแต่แรก
ซือหยูหัวเราะ
“บางอย่างก็ตวงชั่งไม่ได้ด้วยกำไรขาดทุนหากไร้ซึ่งเทพกิเลน ข้าจะถือว่าเป็นคนที่มาจากจิวโจวหรือ?”
จ้าวผาบั่นภูติมองซือหยูอย่างลึกล้ำและยิ้มออกมา
“เจ้ามิใช่พ่อค้าที่มีคุณสมบัติแต่เจ้าเป็นชายที่มีความรับผิดชอบ ยอดเยี่ยมนัก!”
“หวูซื่อแววตาเฉียบแหลมหากเจ้าได้มีบุตรเมื่อใด ข้าจะไม่สั่งสอนหลานข้าเลย ถ้าหากมีเหลน ข้าก็จะส่งเหลนเหล่านั้นให้เจ้าสอนสั่ง และถ้าหากข้ามี…” “เอิ่ม…ท่านจ้าวผาวันนี้ท่านได้กินยามาหรือไม่?”
จ้าวผาบั่นภูติไม่ตอบ
หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยพวกเขาลบล้างกลิ่นอายของตัวเองและเดินทางไปถึงเทือกเขาแห่งหนึ่ง
“ลักพาตัวลูกหลานเทพเป็นเรื่องใหญ่เจ้าต้องเตรียมตัวให้เต็มที่”
จ้าวผาบั่นภูติกล่าวกงซุนหวูซื่อยืนข้างเขา นางเบ้ปากด้วยความโมโห นางถูกผนึกร่างอยู่ นางรับฟังและมองเห็น แต่มิอาจพูดหรือขยับตัวได้
นางจ้องมองผู้เป็นพ่อที่ไม่ปล่อยให้นางพูดหรือขยับแม้แต่น้อยจากนั้นนางจ้องมองซือหยูที่ไม่ช่วยนาง สุดท้ายก็มองฉินเซี่ยนเอ๋อที่ยิ้มแย้มอยู่ใกล้ซือหยู
ท่าทางอ่อนหวานเขินอายของเซี่ยนเอ๋อทำให้กงซุนหวูซื่อกระวนกระวายจนกระทืบเท้าหลายครั้งปอดนางแทบจะระเบิดด้วยความแค้น แต่พ่อนางก็จงใจปล่อยนางให้ถูกผนึกอยู่แบบนั้น
จ้าวผาบั่นภูติหัวเราะอย่างขมขื่นถ้าหากเขาไม่ผนึกนางเอาไว้ นางก็คงจะเปลี่ยนทุกอย่างจากหน้ามือเป็นหลังมือแน่เมื่อรู้เรื่องฉินเซี่ยนเอ๋อ
ถ้าหากไม่ผนึกนางเอาไว้เขากลัวว่านางจะปฏิเสธที่จะจากซือหยูไป
“ข้ามีแผนขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือ”
ซือหยูประสานหมัดให้จ้าวผาบั่นภูติ
จ้าวผาบั่นภูตินั้นไม่ใช่คนที่เกิดในจิวโจวเขาไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไหนต่อไหนกับซือหยูเพื่อเทพกิเลน
ซือหยูเป็นฝ่ายแนะนำให้เขากับกงซุนหวูซื่อเลือกที่จะจากไป
“เฮ้อ…”
จ้าวผาบั่นภูติแค้นเคือง
“ข้ายังมีความปรารถนาที่ต้องทำให้สำเร็จแล้วข้าก็ไม่คิดอะไรหากจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเจ้า”
ซือหยูตอบด้วยความเศร้า
“ท่านอย่ารู้สึกผิดไปเลยข้ามีแผนที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังการต่อสู้ ท่านไปทำตามความปรารถนาเถิด”
ซือหยูนึกย้อนกลับไปถึงความชิงชังในแววตาจ้าวผาบั่นภูติเมื่อวันก่อน
เขาไม่แน่ใจว่ามันคือความชิงชังต่อพันธมิตรบูรพาหรือไม่
“น่าเสียดายนัก”
จ้าวผาบั่นภูติถอนหายใจเขาก้าวไปในรอยแยกมิติพร้อมกับกงซุนหวูซื่อ
“หากมีโอกาสหวังว่าพวกเราจะได้เจอกันอีก”
“แน่นอน”
หลังจากส่งจ้าวผาบั่นภูติสีหน้าซือหยูหม่นหมองลง
เขาพูดให้อีกฝ่ายเบาใจแต่การลักพาตัวลูกหลานเทพไม่ใช่เรื่องเล็ก สถานการณ์สุดท้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่ซือหยูจะรับมือไหว
“เจ้าคิดอะไรอยู่?”
ม่อเทียนฉวนถามเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาไม่มีทางให้ถอยกลับ
ซือหยูมองม่อเทียนฉวนเขาเองก็อยากจะให้นางหนีไป แต่นางก็ยืนกรานที่จะช่วยเทพกิเลนก่อน
“ใช่!มีสิ่งที่ข้าหวังว่าท่านจะทำได้ แต่มันอันตราย แม้แต่ข้าก็คาดเดาผลลัพธ์ไม่ออก”
ซือหยูเรียกจดหมายและสร้อยแยกออกมา
ม่อเทียนฉวนถาม
“อันตรายรึ?อธิบายข้าสิ”
“ข้าอยากให้ท่านส่งจดหมายและหยกสื่อสารชิ้นนี้กับ…”
ซือหยูบอกคำที่เหลือกับนางผ่านกระแสจิต ม่อเทียนฉวนตัวแข็งทื่อ
“เจ้ามั่นใจแล้วหรือ?มันเสี่ยงเกินไป!”
“เราลักพาตัวนางมาแล้วเรื่องเสี่ยงไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดอีกแล้ว เราต้องหาโอกาสรอดชีวิตไม่ใช่หรือ?”
ม่อเทียนฉวนพยักหน้าช้าๆ
“ก็ได้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”
ฉั่วะ!
นางฉีกมิติและจากไปทันที
“ฮ่าๆๆเดินทางกับเจ้ามีแต่เรื่องให้ตกใจ เจ้ายังอยู่ในพันธมิตรได้ไม่นานแต่ก็ทำเรื่องใหญ่เสียแล้ว…”
ในฐานะที่เป็นบุตรคนที่สามของเทพผีจักรพรรดิผีเข้าใจความหมายของการลักพาตัวลูกหลานเทพกว่าใคร
เรื่องใหญ่นี้จะทำให้ทั่วดินแดนเทพแตกตื่นมันคือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณแล้ว! เพราะอย่างนี้มันก็ทำให้เรื่องคราวนี้เป็นเรื่องใหญ่!
“ข้ามีเรื่องที่มีแค่เจ้าจะทำได้”
ซือหยูพูดเขาเรียกไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์อายุพันปีออกมาจากมุกวิญญาณเก้าหยก
“ไผ่เทวะแห่งจิวโจวคือสมบัติที่ไม่ได้พบเห็นทั่วไปแม้แต่ในดินแดนเทพแห่งนี้มันมีราคาสูงแน่นอน”
“ด้วยสถานะของข้าการขายมันจะนำพาปัญหาให้ไม่รู้จบ ดังนั้นเจ้าต้องขายมันโดยใช้ตัวตนของลูกหลานเทพผี”
หลังจากผ่านไปเกินครึ่งปีไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ได้เติบโตเต็มที่ในอายุพันปี
“เจ้าต้องการเงินหรือ?”
จักรพรรดิผีถามด้วยความแปลกใจซือหยูยังไม่ทันได้ตั้งรกราก แต่เขาก็คิดถึงเรื่องการทำเงินแล้วหรือ?
“ใช่ข้าต้องการเงินมหาศาล ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์เป็นแค่การทดลอง ข้าจะหาสิ่งที่มีค่ากว่านี้มาขายต่อไปอีก”
จักรพรรดิผีไม่ลังเลนานนักแม้ว่าพ่อของเขาจะรู้เมื่อเขาแสดงตัวตนลูกหลานเทพผี แต่มันจะอย่างไรเล่า?
เขาอาจจะต้องเดินทางร่วมกับซือหยูเพราะเขาไม่ได้รับการยอมรับจากผู้เป็นพ่อ
ถ้าหากมีลูกหลานเทพผีมาช่วยประมูลสินค้าปัญหาของซือหยูจดลดลงไปมาก ซือหยูคาดหวังสูงกับจักรพรรดิผี
เขาส่งหยกสื่อสารให้จักรพรรดิผีจากนั้นเขาหันไปพูดกับเจี๋ยนอู๋เชิง
“ต่อไปคือสิ่งที่ข้าต้องการให้ท่านทำ”
เจี๋ยนอู่เชิงพยักหน้านางนับถือเทพกิเลนมาโดยตลอดและไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธเขา
ซือหยูแอบพูดกับนางผ่านกระแสจิตหลังจากได้ฟัง เจี๋ยนอู๋เชิงมองเขาอย่างชื่นชมด้วยใบหน้าอ่อนโยน
“แผนเจ้าคิดอ่านมาอย่างดีปล่อยให้ข้าจัดการเอง” เจี๋ยนอู๋เชิงหันหลังจากไปแต่เดินได้สองก้าว นางก็หันกลับมามองเขาอย่างลึกซึ้ง
“ข้ามีคำถามและเรื่องที่ต้องบอกเจ้า”
“ท่ามกลางซากตำหนักโลหิตคนผู้นั้นคือเจ้าใช่หรือไม่…ผู้ที่กลายเป็นเทพน่ะ?”
ซือหยูส่ายหน้าหลังจากคิดครู่หนึ่ง
“ไม่ใช่ข้า”
มิใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจเจี๋ยนอู๋เชิงแต่ซือหยูมิอาจบอกใครได้เลยในเรื่องที่เขาได้กลายเป็นว่าที่เทพ ยิ่งมีคนรู้มากเท่าใด มันก็ง่ายต่อการถูกเปิดเผยมากเท่านั้น
หากเรื่องมีใครอื่นรู้นั่นจะเป็นวันวิปโยคของคนรอบตัวเขา ผู้ทรงอำนาจและแม้แต่เทพหลายคนจะจับตัวคนใกล้ชิดกับซือหยู พวกเขาจะถูกสืบสวนเรื่องที่อยู่ของซือหยูด้วยการทรมานอันโหดร้าย การขู่ หรือแม้แต่ติดสินบน
ดีที่สุดหากเขาจะไม่บอกใคร
เจี๋ยนอู๋เชิงผิดหวังเล็กน้อยนางพูดต่อ “เรื่องที่ข้าจะบอกก็ถือลูกสาวข้ามาที่พันธมิตรบูรพา…ควรจะเป็นเพราะเจ้า”
ซือหยูไม่พูดอะไรเขารอให้นางพูดให้จบ
เจี๋ยนอู๋เชิงลังเลอยู่นานก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกซับซ้อน
“หาเป็นไปได้โปรดอย่าทำร้ายนางเลย”
นางพูดถึงปิงหวูชิงปิงหวูชิงอีกคน หรือพวกนางทั้งสองคนกัน?
“เข้าใจแล้ว”
ซือหยูตอบเขาไม่เคยทำร้ายปิงหวูชิงอีกคนมาก่อนเพราะมันจะทำให้ปิงหวูชิงต้องเจ็บปวด
เขายืนรอส่งเจี๋ยนอู๋เชิงเซี่ยนเอ๋อเงยหน้าด้วยความสงสัย
“พี่ซือหยูอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ?เรียกข้าออกมาเพราะอยากให้ยั่วให้เด็กสาวคนนั้นโมโหรึ?”
นางนึกถึงใบหน้ากงซุนหวูซื่อที่แดงก่ำแต่ก็พูดหรือขยับตัวไม่ได้เซี่ยนเอ๋อหัวเราะ “เอิ่ม…เด็กสาวรึ?นางแก่กว่าเจ้าไม่ใช่หรือยังไงกัน?”
ซือหยูเหลือบมองร่างบอบบางของเซี่ยนเอ๋อที่ไม่ได้ใหญ่โตไปกว่ากงซุนหวูซื่อเท่าใดนักและหัวใจในใจเขาไม่รู้ว่าเซี่ยนเอ๋อมั่นใจมาจากไหนที่เรียกกงซุนหวูซื่อว่าเด็กสาว
“ข้าไม่ได้เรียกเจ้ามาทำอะไรแค่อยู่กับข้า ไปมองดูขุนเขากับแม่น้ำในดินแดนเทพกันเถอะ”
ซือหยูพูด
เซี่ยนเอ๋อตกใจเล็กน้อยในเวลาวิกฤติเช่นนี้ ซือหยูแค่คิดจะชมทิวทัศน์กับนางหรือ?
เมื่อแน่ใจแล้วว่าซือหยูไม่ได้พูดเล่นเซี่ยนเอ๋อรู้สึกดีใจแม้จะกังวล นางกอดแขนของซือหยูและเริ่มออกเดินทางไปด้วยกัน
ซือหยูมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับนางมีเวลาสองเดือน พวกเขาสองคนเที่ยวเล่นกันไปเกือบครึ่งของดินแดนเทพ
พวกเขาไม่พลาดจุดของนักเดินทางและเมืองมีชื่อเสียงเลย
ภายในห้องบ่มเพาะอันเงียบสงบหยางไท่ฟังรายงานของผู้เฒ่าเซียนขั้นสูงสุดคนหนึ่งอยู่
หยางไท่พลิกตำราวิชาลับและโพล่งขึ้นมา
“พวกเขาเหล่านั้นตอบรับอย่างไรหรือ?”
ผู้เฒ่าตอบ
“ผู้คนแตกตื่นกับข่าวเรื่องการลักพาตัวลูกหลานเทพนี่คือครั้งแรกที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น”
“เจ้าคิดจะแลกข้ากับเทพกิเลนสินะ?”
เหอเสี่ยวหลานรู้เท่าทันซือหยู
เขาไม่เคยคิดหนีตั้งแต่แรกเขาเพียงแสร้งทำเป็นหนีเอาชีวิตเพื่อวางกับดักที่จะจับนางทั้งเป็นเพื่อแลกกับเทพกิเลน
เหอเสี่ยวหลานจ้องมองสายตาลึกล้ำของซือหยูและรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าคนป่าเถื่อนจากจิวโจวผู้นี้คือคนที่นางต้องจัดการด้วยความใจเย็นและใช้ปัญญามากกว่าทั่วไป
ทันทีที่นางถูกจับได้เซียนทั้งสองร้อยคนก็เริ่มกลัวและหยุดเคลื่อนไหว
ซือหยูไม่คิดจะตอบนางเขาขังวิญญาณนางสู่มิติวิญญาณต่อหน้าต่อตา
“กลับไปหาคนที่จะเจรจาแลกตัวเทพกิเลนกับข้า…ข้าว่าพวกเจ้าคงรู้จักคนที่ห่วงใยนาง”
แม้สีหน้าจะขมขื่นเซียนทั้งสองร้อยคนก็รู้ดีว่าซือหยูหมายถึงใคร
เทพกระเรียนนั้นมีลูกหลานหลายคนถ้าหากเหอเสี่ยวหลานที่นางชื่นชมตายไป ลูกหลานคนอื่นจะได้โอกาส
ดังนั้นถ้าหากลูกหลานเหล่านั้นเป็นคนมาเจรจาแลกเทพกิเลนแทนเหอเสี่ยวหลานจะเป็นอันตรายยิ่งกว่า
“เราจะติดต่อเจ้าได้ยังไง?”
เซียนคนหนึ่งถาม
ซือหยูโยนสร้อยหยกออกไป
“สิ่งนี้รับข้อความได้เท่านั้นมิอาจตอบกลับได้ ข้าจะเป็คนเดียวที่ให้ข้อมูลกับเจ้า”
“ส่วนสถานที่เวลา และจำนวนคนที่เจ้านำมาได้ ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับข้า…นอกจากเจ้าจะอยากให้เหอเสี่ยวหลานตาย!”
“แล้วก็…ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเทพกิเลนเหอเสี่ยวหลานจะต้องชดใช้เป็นสองเท่า อย่าแม้แต่จะคิดค้นดูควาทรงทำในวิญญาณของข้า!”
เซียนหลานคนหายใจเข้าลึกผู้ลักพาตัวผู้นี้ใจเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ
ถ้าหากพวกเขาต้องการช่วยเหอเสี่ยวหลานอย่างไร้รอยข่วนพวกเขาก็มิอาจคิดถึงการทำร้ายเทพกิเลนได้เลย พวกเขายังต้องหากำลังเสริมเพิ่มเพื่อให้มั่นใจว่าเทพกิเลนจะไม่แอบถูกลูกหลานของเทพกระเรียนทำร้าย
เซียนทั้งสองร้อยคนรีบกลับไป
เมื่อผู้คนกระจายออกไปแล้วจ้าวผาบั่นภูติจ้องซือหยู
“การตกลงครั้งนี้เจ้าจะเป็นฝ่ายสูญเสียอย่างหนัก”
แม้เทพกิเลนจะถูกช่วยเอาไว้ได้การลักพาตัวลูกหลานเทพในดินแดนที่มีเทพกว่าร้อยคนก็เป็นการท้าทายเทพเหล่านั้น มันคือเรื่องต้องห้ามสูงสุด
นอกจากเทพกระเรียนจะล้างแค้นเทพที่เหลือก็จะไม่ยอมรับซือหยูอีกต่อไป
เขาจะเสียเปรียบตั้งแต่ก่อนที่ได้ตั้งถิ่นฐานในพันธมิตรบูรพา
ไม่ผิดแน่นี่เป็นข้อตกลงที่เขาขาดทุนตั้งแต่แรก
ซือหยูหัวเราะ
“บางอย่างก็ตวงชั่งไม่ได้ด้วยกำไรขาดทุนหากไร้ซึ่งเทพกิเลน ข้าจะถือว่าเป็นคนที่มาจากจิวโจวหรือ?”
จ้าวผาบั่นภูติมองซือหยูอย่างลึกล้ำและยิ้มออกมา
“เจ้ามิใช่พ่อค้าที่มีคุณสมบัติแต่เจ้าเป็นชายที่มีความรับผิดชอบ ยอดเยี่ยมนัก!”
“หวูซื่อแววตาเฉียบแหลมหากเจ้าได้มีบุตรเมื่อใด ข้าจะไม่สั่งสอนหลานข้าเลย ถ้าหากมีเหลน ข้าก็จะส่งเหลนเหล่านั้นให้เจ้าสอนสั่ง และถ้าหากข้ามี…” “เอิ่ม…ท่านจ้าวผาวันนี้ท่านได้กินยามาหรือไม่?”
จ้าวผาบั่นภูติไม่ตอบ
หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยพวกเขาลบล้างกลิ่นอายของตัวเองและเดินทางไปถึงเทือกเขาแห่งหนึ่ง
“ลักพาตัวลูกหลานเทพเป็นเรื่องใหญ่เจ้าต้องเตรียมตัวให้เต็มที่”
จ้าวผาบั่นภูติกล่าวกงซุนหวูซื่อยืนข้างเขา นางเบ้ปากด้วยความโมโห นางถูกผนึกร่างอยู่ นางรับฟังและมองเห็น แต่มิอาจพูดหรือขยับตัวได้
นางจ้องมองผู้เป็นพ่อที่ไม่ปล่อยให้นางพูดหรือขยับแม้แต่น้อยจากนั้นนางจ้องมองซือหยูที่ไม่ช่วยนาง สุดท้ายก็มองฉินเซี่ยนเอ๋อที่ยิ้มแย้มอยู่ใกล้ซือหยู
ท่าทางอ่อนหวานเขินอายของเซี่ยนเอ๋อทำให้กงซุนหวูซื่อกระวนกระวายจนกระทืบเท้าหลายครั้งปอดนางแทบจะระเบิดด้วยความแค้น แต่พ่อนางก็จงใจปล่อยนางให้ถูกผนึกอยู่แบบนั้น
จ้าวผาบั่นภูติหัวเราะอย่างขมขื่นถ้าหากเขาไม่ผนึกนางเอาไว้ นางก็คงจะเปลี่ยนทุกอย่างจากหน้ามือเป็นหลังมือแน่เมื่อรู้เรื่องฉินเซี่ยนเอ๋อ
ถ้าหากไม่ผนึกนางเอาไว้เขากลัวว่านางจะปฏิเสธที่จะจากซือหยูไป
“ข้ามีแผนขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือ”
ซือหยูประสานหมัดให้จ้าวผาบั่นภูติ
จ้าวผาบั่นภูตินั้นไม่ใช่คนที่เกิดในจิวโจวเขาไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไหนต่อไหนกับซือหยูเพื่อเทพกิเลน
ซือหยูเป็นฝ่ายแนะนำให้เขากับกงซุนหวูซื่อเลือกที่จะจากไป
“เฮ้อ…”
จ้าวผาบั่นภูติแค้นเคือง
“ข้ายังมีความปรารถนาที่ต้องทำให้สำเร็จแล้วข้าก็ไม่คิดอะไรหากจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเจ้า”
ซือหยูตอบด้วยความเศร้า
“ท่านอย่ารู้สึกผิดไปเลยข้ามีแผนที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังการต่อสู้ ท่านไปทำตามความปรารถนาเถิด”
ซือหยูนึกย้อนกลับไปถึงความชิงชังในแววตาจ้าวผาบั่นภูติเมื่อวันก่อน
เขาไม่แน่ใจว่ามันคือความชิงชังต่อพันธมิตรบูรพาหรือไม่
“น่าเสียดายนัก”
จ้าวผาบั่นภูติถอนหายใจเขาก้าวไปในรอยแยกมิติพร้อมกับกงซุนหวูซื่อ
“หากมีโอกาสหวังว่าพวกเราจะได้เจอกันอีก”
“แน่นอน”
หลังจากส่งจ้าวผาบั่นภูติสีหน้าซือหยูหม่นหมองลง
เขาพูดให้อีกฝ่ายเบาใจแต่การลักพาตัวลูกหลานเทพไม่ใช่เรื่องเล็ก สถานการณ์สุดท้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่ซือหยูจะรับมือไหว
“เจ้าคิดอะไรอยู่?”
ม่อเทียนฉวนถามเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาไม่มีทางให้ถอยกลับ
ซือหยูมองม่อเทียนฉวนเขาเองก็อยากจะให้นางหนีไป แต่นางก็ยืนกรานที่จะช่วยเทพกิเลนก่อน
“ใช่!มีสิ่งที่ข้าหวังว่าท่านจะทำได้ แต่มันอันตราย แม้แต่ข้าก็คาดเดาผลลัพธ์ไม่ออก”
ซือหยูเรียกจดหมายและสร้อยแยกออกมา
ม่อเทียนฉวนถาม
“อันตรายรึ?อธิบายข้าสิ”
“ข้าอยากให้ท่านส่งจดหมายและหยกสื่อสารชิ้นนี้กับ…”
ซือหยูบอกคำที่เหลือกับนางผ่านกระแสจิต ม่อเทียนฉวนตัวแข็งทื่อ
“เจ้ามั่นใจแล้วหรือ?มันเสี่ยงเกินไป!”
“เราลักพาตัวนางมาแล้วเรื่องเสี่ยงไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดอีกแล้ว เราต้องหาโอกาสรอดชีวิตไม่ใช่หรือ?”
ม่อเทียนฉวนพยักหน้าช้าๆ
“ก็ได้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”
ฉั่วะ!
นางฉีกมิติและจากไปทันที
“ฮ่าๆๆเดินทางกับเจ้ามีแต่เรื่องให้ตกใจ เจ้ายังอยู่ในพันธมิตรได้ไม่นานแต่ก็ทำเรื่องใหญ่เสียแล้ว…”
ในฐานะที่เป็นบุตรคนที่สามของเทพผีจักรพรรดิผีเข้าใจความหมายของการลักพาตัวลูกหลานเทพกว่าใคร
เรื่องใหญ่นี้จะทำให้ทั่วดินแดนเทพแตกตื่นมันคือเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณแล้ว! เพราะอย่างนี้มันก็ทำให้เรื่องคราวนี้เป็นเรื่องใหญ่!
“ข้ามีเรื่องที่มีแค่เจ้าจะทำได้”
ซือหยูพูดเขาเรียกไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์อายุพันปีออกมาจากมุกวิญญาณเก้าหยก
“ไผ่เทวะแห่งจิวโจวคือสมบัติที่ไม่ได้พบเห็นทั่วไปแม้แต่ในดินแดนเทพแห่งนี้มันมีราคาสูงแน่นอน”
“ด้วยสถานะของข้าการขายมันจะนำพาปัญหาให้ไม่รู้จบ ดังนั้นเจ้าต้องขายมันโดยใช้ตัวตนของลูกหลานเทพผี”
หลังจากผ่านไปเกินครึ่งปีไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์ได้เติบโตเต็มที่ในอายุพันปี
“เจ้าต้องการเงินหรือ?”
จักรพรรดิผีถามด้วยความแปลกใจซือหยูยังไม่ทันได้ตั้งรกราก แต่เขาก็คิดถึงเรื่องการทำเงินแล้วหรือ?
“ใช่ข้าต้องการเงินมหาศาล ไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์เป็นแค่การทดลอง ข้าจะหาสิ่งที่มีค่ากว่านี้มาขายต่อไปอีก”
จักรพรรดิผีไม่ลังเลนานนักแม้ว่าพ่อของเขาจะรู้เมื่อเขาแสดงตัวตนลูกหลานเทพผี แต่มันจะอย่างไรเล่า?
เขาอาจจะต้องเดินทางร่วมกับซือหยูเพราะเขาไม่ได้รับการยอมรับจากผู้เป็นพ่อ
ถ้าหากมีลูกหลานเทพผีมาช่วยประมูลสินค้าปัญหาของซือหยูจดลดลงไปมาก ซือหยูคาดหวังสูงกับจักรพรรดิผี
เขาส่งหยกสื่อสารให้จักรพรรดิผีจากนั้นเขาหันไปพูดกับเจี๋ยนอู๋เชิง
“ต่อไปคือสิ่งที่ข้าต้องการให้ท่านทำ”
เจี๋ยนอู่เชิงพยักหน้านางนับถือเทพกิเลนมาโดยตลอดและไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธเขา
ซือหยูแอบพูดกับนางผ่านกระแสจิตหลังจากได้ฟัง เจี๋ยนอู๋เชิงมองเขาอย่างชื่นชมด้วยใบหน้าอ่อนโยน
“แผนเจ้าคิดอ่านมาอย่างดีปล่อยให้ข้าจัดการเอง” เจี๋ยนอู๋เชิงหันหลังจากไปแต่เดินได้สองก้าว นางก็หันกลับมามองเขาอย่างลึกซึ้ง
“ข้ามีคำถามและเรื่องที่ต้องบอกเจ้า”
“ท่ามกลางซากตำหนักโลหิตคนผู้นั้นคือเจ้าใช่หรือไม่…ผู้ที่กลายเป็นเทพน่ะ?”
ซือหยูส่ายหน้าหลังจากคิดครู่หนึ่ง
“ไม่ใช่ข้า”
มิใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจเจี๋ยนอู๋เชิงแต่ซือหยูมิอาจบอกใครได้เลยในเรื่องที่เขาได้กลายเป็นว่าที่เทพ ยิ่งมีคนรู้มากเท่าใด มันก็ง่ายต่อการถูกเปิดเผยมากเท่านั้น
หากเรื่องมีใครอื่นรู้นั่นจะเป็นวันวิปโยคของคนรอบตัวเขา ผู้ทรงอำนาจและแม้แต่เทพหลายคนจะจับตัวคนใกล้ชิดกับซือหยู พวกเขาจะถูกสืบสวนเรื่องที่อยู่ของซือหยูด้วยการทรมานอันโหดร้าย การขู่ หรือแม้แต่ติดสินบน
ดีที่สุดหากเขาจะไม่บอกใคร
เจี๋ยนอู๋เชิงผิดหวังเล็กน้อยนางพูดต่อ “เรื่องที่ข้าจะบอกก็ถือลูกสาวข้ามาที่พันธมิตรบูรพา…ควรจะเป็นเพราะเจ้า”
ซือหยูไม่พูดอะไรเขารอให้นางพูดให้จบ
เจี๋ยนอู๋เชิงลังเลอยู่นานก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกซับซ้อน
“หาเป็นไปได้โปรดอย่าทำร้ายนางเลย”
นางพูดถึงปิงหวูชิงปิงหวูชิงอีกคน หรือพวกนางทั้งสองคนกัน?
“เข้าใจแล้ว”
ซือหยูตอบเขาไม่เคยทำร้ายปิงหวูชิงอีกคนมาก่อนเพราะมันจะทำให้ปิงหวูชิงต้องเจ็บปวด
เขายืนรอส่งเจี๋ยนอู๋เชิงเซี่ยนเอ๋อเงยหน้าด้วยความสงสัย
“พี่ซือหยูอยากให้ข้าทำอะไรล่ะ?เรียกข้าออกมาเพราะอยากให้ยั่วให้เด็กสาวคนนั้นโมโหรึ?”
นางนึกถึงใบหน้ากงซุนหวูซื่อที่แดงก่ำแต่ก็พูดหรือขยับตัวไม่ได้เซี่ยนเอ๋อหัวเราะ “เอิ่ม…เด็กสาวรึ?นางแก่กว่าเจ้าไม่ใช่หรือยังไงกัน?”
ซือหยูเหลือบมองร่างบอบบางของเซี่ยนเอ๋อที่ไม่ได้ใหญ่โตไปกว่ากงซุนหวูซื่อเท่าใดนักและหัวใจในใจเขาไม่รู้ว่าเซี่ยนเอ๋อมั่นใจมาจากไหนที่เรียกกงซุนหวูซื่อว่าเด็กสาว
“ข้าไม่ได้เรียกเจ้ามาทำอะไรแค่อยู่กับข้า ไปมองดูขุนเขากับแม่น้ำในดินแดนเทพกันเถอะ”
ซือหยูพูด
เซี่ยนเอ๋อตกใจเล็กน้อยในเวลาวิกฤติเช่นนี้ ซือหยูแค่คิดจะชมทิวทัศน์กับนางหรือ?
เมื่อแน่ใจแล้วว่าซือหยูไม่ได้พูดเล่นเซี่ยนเอ๋อรู้สึกดีใจแม้จะกังวล นางกอดแขนของซือหยูและเริ่มออกเดินทางไปด้วยกัน
ซือหยูมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับนางมีเวลาสองเดือน พวกเขาสองคนเที่ยวเล่นกันไปเกือบครึ่งของดินแดนเทพ
พวกเขาไม่พลาดจุดของนักเดินทางและเมืองมีชื่อเสียงเลย
ภายในห้องบ่มเพาะอันเงียบสงบหยางไท่ฟังรายงานของผู้เฒ่าเซียนขั้นสูงสุดคนหนึ่งอยู่
หยางไท่พลิกตำราวิชาลับและโพล่งขึ้นมา
“พวกเขาเหล่านั้นตอบรับอย่างไรหรือ?”
ผู้เฒ่าตอบ
“ผู้คนแตกตื่นกับข่าวเรื่องการลักพาตัวลูกหลานเทพนี่คือครั้งแรกที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น”