ตอนที่ 1319 – สู้ลำพัง
เขาคิดไว้แล้วว่าจะมีอสูรออกมาตามล่าตัวเองแต่ไม่เคยคิดว่าอสูรที่มาจะเป็นเทพอสูรหกวิถี!
จะมีใครในจักรวาลนี้กันที่เทียบพลังกับเทพอสูรหกวิถีได้?
นอกจากเทพแห่งความตายก็ไม่มีใครอีกแล้วที่จะกล้าต่อสู้ด้วย
ภัยที่มาอยากฉุกละหุกทำให้ซือหยูใจหายลงสู่ก้นบึ้ง
จากภาพที่เขาได้เห็นตำแหน่งของเทพอสูรหกวิถีห่างจากพันธมิตประจิมเพียงสองวัน!
สองวัน!แล้วจะไปหาเทพแห่งความตายจากที่ไหนเล่า? ต่อให้หาตัวเจอ พวกเขาจะทำอย่างไรให้เทพแห่งความตายมาต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งอย่างเทพอสูรหกวิถี?
ทุกคนเงียบกริบ เทพอสูรหกวิถีน่าสะพรึงกลัวมากต่อฉีเหมินเจี้ยนและหลินหลางฟาน
ฉีเหมินเจี้ยนตกตะลึงมากที่สุดก่อนหน้านี้เขาว่าซือหยูกล่าวเกินจริงและยังคิดว่าซือหยูตื่นตูมที่อยากจะอพยพโดยเร็ว
แต่เมื่อได้เห็นภาพของเทพอสูรหกวิถีกับตาฉีเหมินเจี้ยนเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ซือหยูพูดนั้นเป็นความจริง
แดนอสูรมีอสูรที่มีพลังมหาศาลที่เกินกว่าพวกเขาจะจินตนาการได้!
ทั้งพันธมิตรประจิมคงอ่อนแอต่อหน้าเทพอสูรหกวิถีตามลำพังและเทพอสูรหกวิถีก็ไม่ได้มาคนเดียวในครั้งนี้
ด้านหลังเทพอสูรหกวิถียังมีเทพอสูรอีกสิบคนที่ทรงพลัง
ซึ่งเทพอสูรในนี้ก็มีอสูรที่แข็งแกร่งมากกว่าเทพอสูรสิบตนรวมกัน
นี่…นี่น่ะรึกำลังที่แท้จริงของโลกอสูร?
ฉีเหมินเจี้ยนแทบจะหายใจไม่ออกเขาสิ้นหวัง
ซือหยูส่ายหน้า
มันก็แค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง
มีเทพอสูรเกือบร้อยคนในศาลอสูรที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมาเช่นเดียวกับยักษ์ทะเลขมที่ยังไม่เคยออกมาจู่โจมโลกภายนอก
ฉีเหมินเจี้ยนหน้าซีดด้วยความกลัว
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ความตายอย่างต่อเนื่องของเทพหกคนนั้นรุนแรงไม่ต่างกับการนองเลือดก่อนหน้านี้เหล่าเทพจึงได้รีบมายังตำหนักเจ้าพันธมิตร
เทพฉีเหมินกับเทพหลินหลางอยู่ที่นี่แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เทพหกคนตายไปแล้ว! เจ้าพันธมิตรสั่งการให้เกิดการนองเลือดอีกแล้วหรือ?
ชู่ว!อย่าพูดนะ! เจ้าไม่เห็นสีหน้าฉีเหมินเจี้ยนกับหลินหลางฟานรึ?
ใยฉีเหมินเจี้ยนถึงดูสิ้นหวังเช่นนั้นเล่า? เทพร้อยคนพูดกันไม่หยุดปากเมื่อมองพวกเขาสามคนเหล่าเทพพยายามคาดเดาว่าเจ้าพันธมิตรผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมได้ทำเรื่องน่าตกใจอีกหรือไม่
เงียบ
ซือหยูกล่าว
เหล่าเทพเงียบลงทันทีพวกเขารอเจ้าพันธมิตรอธิบายเหตุผลที่เทพทั้งหกตาย
ข้าเสียใจเป็นอย่างยิ่งแต่ต้องบอกทุกคนว่าวิกฤติครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นกับพันธมิตรประจิมแล้ว
ซือหยูใบหน้าเคร่งเครียด
จนถึงตอนนี้เรื่องบางอย่างในโลกอสูรมิอาจปิดบังได้อีกต่อไป
ท่านเจ้าพันธมิตรพันธมิตรประจิมเคยผ่านคืนวันโหดร้ายมาหลายครั้ง พวกเราผ่านวิกฤติมามากมาย จะมีสิ่งใดที่เราผ่านไปไม่ได้เล่า?
ถูกแล้วท่านเจ้าพันธมิตร เราจะปกป้องพันธมิตรประจิมไว้ด้วยชีวิต
ซือหยูยกมือปรามให้เงียบเขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ไม่มีวิกฤติใดในอดีตที่พันธมิตรประจิมเคยเจอจะเทียบกับครั้งนี้เลย
ซือหยูสะบัดมือภาพฉายเดิมแสดงขึ้นอีกครั้งต่อหน้าเหล่าเทพ
พวกเขาได้เห็นเทพอสูรร่างแดงเข้มที่เหยียบเทพคนหนึ่งของพันธมิตรประจิมด้วยขาข้างเดียวจนทำให้เทพคนนั้นขยับไม่ได้
พลังทำลายล้างของเทพอสูรร่างแดงทำให้ความมั่นใจบนใบหน้าพวกเขาเลือนหายไป
ปั้ง!ปั้ง!
ปั้ง!ปั้ง!
ทุกคนนิ่งเงียบ
มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงดังก้องหู แม้แต่เทพที่มักสงบใจยังตัวสั่นเมื่อได้เห็นเทพอสูรร่างแดง
เทพที่อ่อนแอตัวสั่นด้วยความกลัวพวกเขาเข่าอ่อนจนเกือบล้มลงกับพื้น
จากการต่อสู้กับอสูรมาชั่วชีวิตพวกเขาไม่เคยเห็นเทพอสูรที่น่าหวาดผวาเช่นนี้มาก่อน เพียงแค่ภาพฉายก็ทำให้ตัวสั่นแล้ว
พวกเขารู้สึกว่าตกอยู่ในจุดใต้สุดของห่วงโซ่อาหารขณะที่ศัตรูเป็นนักล่าผู้อยู่จุดสูงสุด
ซือหยูมิได้แปลกใจกับการตอบสนองของเหล่าเทพแม้แต่น้อยเพราะแม้แต่ฉีเหมินเจี้ยนกับหลินหลางฟานยังหวาดกลัวเทพอสูรหกวิถี ไม่ต้องพูดถึงเทพชั้นต่ำกว่า
สงครามยังไม่ทันเริ่มแต่พวกเขาก็รู้สึกว่าพ่ายแพ้แล้ว
ซือหยูหวังพึ่งพาเทพเหล่านี้ไม่ได้อีกแล้ว!
และตัวตนอย่างเทพอสูรหกวิถีก็ไม่ใช่ผู้ที่พวกเขาจะรับมือได้ ข้ายังต้องอธิบายเรื่องการอพยพอีกหรือไม่?
ซือหยูถามต่อ
ก่อนหน้านี้เหล่าเทพดูจะรับฟังคำสั่งซือหยูแต่พวกเขาขาดความกระตือรือร้นในการทำตามคำสั่ง
แต่เมื่อเทพหกคนตายเช่นเดียวกับการได้เห็นภาพฉายของเทพอสูรหกวิถีพวกเขาก็เริ่มตื่นตัวแล้ว พวกเขาจะยังกล้าสงสัยในคำพูดซือหยูอีกรึ?
พวกเจ้ามีเวลาสองวันในการอพยพทิ้งสิ่งไม่จำเป็นทั้งหมดไปซะ ต่อให้เป็นของล้ำค่าก็จงทิ้งมันออกจากสระสวรรค์ทันที!
ส่วนโลกที่แยกกับสระสวรรค์ไปแล้วให้ทุกใบมุ่งหน้าไปที่พันธมิตรบูรพา!
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เหล่าเทพสีหน้าหวาดกลัวพวกเขารีบกลับไปยังโลกที่เตรียมจะอพยพ
เหล่าเทพที่เชื่อฟังคำสั่งมากพอจนย้ายโลกของตัวเองออกไปแล้วนั้นรู้สึกปลื้มปิติ
พวกเขาทำตามคำสั่งซือหยูย้ายโลกของตัวเองมุ่งหน้าไปยังพันธมิตรบูรพาในจุดหมายรวมตัว
เหล่าเทพรีบรุดการอพยพด้วยความเร็วาูงพวกเขาอยากจะมีมือมีเท้าเพิ่มเพื่อที่จะจัดการทุกอย่างให้เสร็จโดยเร็วด้วยซ้ำ
การอพยพที่เคยเชื่องช้าได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
โลกหลายใบทิ้งทรัพยากรสำคัญไปแม้ว่าจะต้องแลกกับความอุดมสมบูรณ์ของโลก พวกเขาก็ต้องทิ้งมันลงสู่สระสวรรค์และรีบหนีไปสู่พันธมิตรบูรพา
เพียงวันเดียวก็มีโลกมากกว่าห้าสิบใบหนีไปเหลือเพียงแต่ทรัพยากรที่กระจัดกระจาย
มีแม้กระทั่งเทพที่เคลื่อนไหวครั้งใหญ่โดยการเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นจิตวิญญาณเทพและหนีไปด้วยตัวเองโลกที่เทพเหล่านั้นสร้างมากับมือจึงได้หายไปในชั่วข้ามคืน เทพที่เหลืออีกราวห้าสิบคนเกือบจะจัดการโลกของตัวเองเสร็จแล้ว
ฉีเหมินเจี้ยนกับหลินหลางฟานกล่าว
ท่านเจ้าพันธมิตรหนีไปก่อนเถอะ!
ไม่ข้าจะอยู่
ซือหยูตอบ
ไม่ได้นะท่าน!เทพอสูรหกวิถีมาตามล่าท่านนะ! หากท่านไม่หนี ท่านจะต่อสู้กับมันยังไง?
หลินหลางฟานเกลี้ยกล่อมอย่างกังวลใจ
ซือหยูเป็นผู้นำของพันธมิตรแล้วถ้าหากเขาตาย พันธมิตรประจิมจะเกิดการจลาจล กว่าพวกอสูรจะมา พวกเขาก็ฆ่ากันเองไปก่อนแล้ว
เพราะมันมาตามล่าข้าข้าถึงหนีไปกับพวกเจ้าไม่ได้
ซือหยูพูดอย่างหนักใจ
พวกคนในพันธมิตรจะมีเวลาหนีมากพอหากซือหยูหยุดรอที่นี่
มิเช่นนั้นจะไม่มีใครหนีรอดได้เลย
ฉีเหมินเจี้ยนหลินหลางฟาน พวกเจ้ารีบหนีไปซะ นี่คือเรื่องที่ยังไม่สะสางระหว่างข้ากับแดนอสูร…
ซือหยูกล่าว
แล้วฉีเหมินเจี้ยนกับหลินหลางฟานจะยอมทำตามหรือ?
หากท่านจะสละชีวิตเพื่อพวกเราแล้วการอยู่รอดของพวกเราจะมีความหมายหรือ? ไม่ว่าจะหนีไปที่ใด พวกเราก็ตายอยู่ดี
ฉีเหมินเจี้ยนกล่าว
ซือหยูส่ายหน้า
ไม่ใช่เจ้าเจ้าทำอะไรเทพอสูรหกวิถีไม่ได้ แต่เจ้าต่อสู้กับพวกศาลอสูรได้!
ต่อให้มันจะแข็งแกร่งเพียงใดมันก็มีแค่เทพอสูรหกวิถีที่แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้า มันทำลายทั้งจักรวาลด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ เราจะยังเหลือสองพันธมิตรอยู่ เช่นเดียวกับสงครามต่อให้แม่ทัพแข็งแกร่งเพียงใด แม่ทัพก็มิอาจตัดสินผลการรบได้ ปัจจัยจริงคือกำลังทหารนับล้านต่างหาก
รักษากำลังคนเอาไว้มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะต่อต้านการรุกรานครั้งใหญ่ในอนาคตได้! ถ้าหากยังคิดว่าข้าเป็นเจ้าพันธมิตร…จงไปซะ
ฉีเหมินเจี้ยนกับหลินหลางฟานประทับใจเมื่อถึงคราวเป็นคราวตาย เจ้าพันธมิตรเลือกที่จะสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องพวกเขา
เหล่าเทพที่กำลังยุ่งอยู่กับการอพยพก็หยุดมือลงเช่นกันพวกเขาตกใจ
แต่ท่านจะไม่ตายหรือถ้าอยู่ที่นี่ท่านเจ้าพันธมิตร?
ฉีเหมินเจี้ยนถามซือหยูได้รับความนับถือจากเขาเต็มหัวใจแล้ว
ซือหยูสุขุมเยือกเย็น
ข้าไม่จำเป็นต้องตาย! ที่นี่คือจุดที่พันธมิตรประจิมเกิดขึ้นมาและมันจะเป็นสถานที่ที่ข้าจะต่อสู้กับอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอสูร เพื่อตัดสินว่าใครจะชนะ!
หนีไปซะข้าสัมผัสได้ว่าพวกมันกำลังมา!
ซือหยูแตะหน้าอกคำสาปเริ่มร้อนผ่าวขึ้นเรื่อย ๆ ผนึกของเทพไม้ไร้ค่าโดยสิ้นเชิง
ฉีเหมินเจี้ยนกับหลินหลางฟานเช่นเดียวกับเทพอีกห้าสิบคนคุกเข่าคำนับซือหยูพร้อมกัน
เปรี้ยง!
สายฟ้าจากสวรรค์ผ่าลงมาราวกับมีตัวตนที่แตะต้องไม่ได้ตื่นขึ้น
มีเพียงวิถีอันยิ่งใหญ่เท่านั้นที่จะมีอำนาจให้เหล่าเทพคุกเข่า
ซือหยูผู้ได้รับการยอมรับได้ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น
ร่างเงาเทพสูงหมื่นศอกด้านหลังซือหยูได้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน
ความมีเกียรติและความโดดเดี่ยวพร้อมกับเส้นผมดำสนิทที่ปลิวไสวทำให้ผู้คนตัวสั่น
ในขณะเดียวกันซือหยูยังพบว่าจิตวิญญาณเทพของตัวเองขยายตัวอย่างมาในทันทีที่เหล่าเทพให้ความเคารพนับถือเขา!
จากจิตวิญญาณเทพของว่าที่เทพขั้นต้นมันได้เพิ่มพลังเป็นว่าที่เทพขั้นกลาง
เกิดอะไรขึ้น?
ซือหยูพูดด้วยความตกใจตามทฤษฎีแล้วมีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่จะเพิ่มพลังของจิตวิญญาณเทพ
วิธีแรกคือการเปลี่ยนแปลงพลังเซียนในร่างให้กลายเป็นพลังเทพอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและเปลี่ยนพลังเทพที่ได้เหล่านั้นมาบำรุงจิตวิญญาณเทพ
วิธีที่สองคือการชิงจิตวิญญาณเทพบริสุทธิ์ของเทพคนอื่นมาแต่จากนั้นผลของพลังที่ได้จะน้อยลงเป็นสิบเท่า และการดูดซับเป็นเวลานานยังไม่ใช่วิธีที่ดี
แต่ถึงอย่างนั้นการได้รับความเลื่อมใสจากเหล่าเทพได้ทำให้จิตวิญญาณเทพของซือหยูเติบโตอย่างก้าวกระโดด มันขัดแย้งกับความเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณเทพของซือหยูโดยสิ้นเชิง
ในตอนนั้นเองมีคำพูดดังขึ้นในหัวซือหยู
ก่อนจะกลายเป็นเทพเจ้าได้เบิกวิถีแห่งศรัทธา
ข้าอิจฉาอาจารย์เจ้าจริงๆ ตาแก่นั่นโชคดีนักที่ได้มาเจอกับศิษย์ล้ำค่าอย่างเจ้า!
เบิกศรัทธารึ?เจ้าพูดอะไรกัน?
ซือหยูถามด้วยความแปลกใจ
เทพปีศาจตอบอย่างละเอียด
มันคือวิถีอันยิ่งใหญ่ข้าไม่กล้าพูดออกมาเต็มที่ เจ้ารู้แค่ว่าเจ้าได้ทะลวงหนทางที่เทพมากมายไม่แม้แต่จินตนาการ ยินดีด้วย
เมื่อพูดจบเสียงของเทพปีศาจหายไป ซือหยูสงสัยถึงขีดสุดเขาได้เข้าสู่เส้นทางของวิถีใดกัน? แต่เทพปีศาจก็ดูเหมือนกำลังหวาดกลัวบางอย่างและไม่กล้าพูดออกมาให้ชัดเจน
ซือหยูข่มความสงสัยสั่งเหล่าเทพให้หนีไปจากพันธมิตรประจิม
ครึ่งวันต่อมาสระสวรรค์ที่เคยเต็มไปด้วยโลกหลายใบได้เหลือแต่ความรกร้างว่างเปล่า เหลือโลกอยู่หกใบของเทพที่ตายไปทิ้งเอาไว้เพราะไม่มีใครมาเคลื่อนไหวมัน
ซือหยูสะเทือนใจโลกหนึ่งใบที่เสียเทพไปไม่ต่างจากจิตวิญญาณเทพอันล้ำค่าของเทพ มันมาจากพลังของเทพที่ใช้ในการสร้างโลกขึ้นมา
ในภาวะปกติมันคือสมบัติหายาก โดยเฉพาะถ้าหากอยู่ในสภาพดี
แต่ตอนนี้ไม่มีใครคิดจะเหลือบมองมันด้วยซ้ำ
ข้าเก็บไว้เองก็แล้วกัน ซือหยูเรียกเทพกิเลนออกมา
โลกทุกใบเป็นของเจ้าแล้ว
ซือหยูชี้ไปยังโลกที่ไม่มีผู้ใดต้องการ
เทพกิเลนตาเป็นประกายเขาตื่นเต้น
หึหึข้ารวยแล้ว! โลกพวกนี้ไม่เสียหายแม้แต่น้อย ถ้าข้าเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณเทพ นอกจากจะฟื้นพลังเทพในอดีตกลับมาได้แล้ว ข้าจะสร้างเทพได้อีกสามคนด้วย!
การบ่มเพาะนี้ไม่ต่างกับวิธีที่ราชาเขตกลางจะกลายเป็นเทพด้วยชาวจิวโจวราชาเขตกลางคิดจะย่อยสลายพลังบนโลกและกลายเป็นเทพช้า ๆ คล้ายกับหนอนในดักแด้
เลือกชาวจิวโจวที่จะทำให้กลายเป็นเทพซะ
ซือหยูกล่าวเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของเทพกิเลน
เทพกิเลนตอบกลับ
สบายใจได้ข้าจะเลือกคนที่เจ้ารู้จักก่อน อย่างเช่นภรรยาเจ้า…ฉินเซี่ยนเอ๋อ