The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 803-804

DND.803 – ชวนเข้าเรือน
เสวี่ยฉีตกตะลึงฟังจากน้ำเสียงของผู้อาวุโสท่านนี้แล้วดูเหมือนว่าเขาจะโกรธมาก
เสวี่ยฉีแอบดีใจเมื่อมองเฉาฉิงเฟิงผู้ที่เพิ่งจะประสบโชคร้ายเป็นเหตุอันดีที่นางรู้ล่วงหน้าว่านักปรุงยาผู้นี้มีความสามารถเป็นเลิศ ดังนั้นนางจึงเข้าหาเขาด้วยความสุภาพและไม่เดินตามรอยของเฉาฉิงเฟิง
เฉาฉิงเฟิงชักสีหน้าเมื่อได้ฟังแบบนั้นเขาอัปยศอย่างมาก
“สหายเจ้าไม่หยาบคายเกินไปหรอกรึ? ตระกูลเฉาของข้ามีนักปรุงยาชั้นต้นอีกหลายคนที่ปรุงโอสถระดับสาม…”
เขาพูดไม่ทันจบก็ถูกซือหยูพูดแทรก
“แล้วทำไมเจ้ายังไม่ไสหัวไปเชิญนักปรุงยาของตระกูลเจ้า?จะมาหาข้าเพื่ออะไรกัน?”
เฉาฉิงเฟิงหมดคำพูดตำหนักโลหิตเพาะปลูกสมุนไพรวิญญาณและมีโอสถขายมีปริมาณมาก ตำหนักสามารถซื้อวัตถุดิบได้โดยตรงจากฝ่ายปรุงยาโดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง นั่นจึงทำให้ราคาโอสถไม่แพงนัก
ตัวอย่างเช่นต้นทุนในการผลิตโอสถชีพโกลาหลเม็ดเดียวในตำหนักนั้นอยู่ที่สิบห้าคะแนน แต่ถ้าหากเป็นโลกภายนอก วัตถุดิบนั้นต้องผ่านหลายขั้นตอนก่อนจะมาถึงนักปรุงยา
อย่างแรกคือการเก็บเกี่ยวก่อนจะขายผ่านคนรับซื้อที่จะนำไปขายต่อให้คนกลางต่อมาก็จะเป็นการส่งขายให้ผู้ค้าปลีกที่จะนำมาวางขายอีกครั้งในร้านวัตถุดิบ ขั้นตอนยืดยาวเช่นนี้ทำให้ราคาต้นทุนไปถึงห้าสิบคะแนน…หรืออาจจะสูงกว่านั้น!
ปรากฏการณ์ห่วงโซ่นี้เป็นเรื่องปกติในโลกเก่าของซือหยูราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเมื่อผ่านจากโรงงานไปยังร้านขายปลีก
ถ้าเทียบกันแล้วการที่ราคาต้นทุนเพิ่มจากสิบห้าเป็นห้าสิบนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก นัั่นก็เพราะวัตถุดิบต้องเปลี่ยนผ่านหลายมือ ถ้าหากผ่านผู้ค้ารายใหญ่หลายรายก็ไม่แปลกเลยที่ราคาจะพุ่งสูงไปถึงร้อยห้าสิบคะแนนต่อหนึ่งชุด!
ราคาต้นทุนโอสถในโลกภายนอกนั้นมหาศาลราคาขายจึงสูงเสียดฟ้าโดยไม่รู้ว่าจะมีคนยอมซื้อหรือไม่
ซึ่งคำตอบนั้นชัดเจน…ก็คือไม่มีใครจะซื้อมันต่อให้เขาหาซื้อจากที่นี่ก็มิอาจทำได้เพราะจะถูกตระกูลนำไปขายในราคาต่ำจนไม่ได้เงินทุนกลับคืน นี่เป็นเหตุที่เฉาฉิงเฟิงมาหาซือหยูและไม่นำโอสถไปให้ตระกูล
เฉาฉิงเฟิงไม่พอใจแววตาของเขาเยือกเย็น
“เจ้าไม่กลัวถูกเปิดโปงรึ?ฝ่ายปรุงยาสั่งห้ามการปรุงยาเองทุกประเภท ถ้าพวกเขารู้ พวกเขาก็จะบังคับเจ้าไปฝ่ายปรุงยาด้วยกำลัง เจ้าจะกลายเป็นเครื่องมือของพวกมันและได้ค่าตอบแทนแค่พันคะแนนต่อเดือน เจ้าไม่ได้มีชีวิตดีอย่างตอนนี้แน่!”
เขาพูดอีก
“ฉะนั้น…จะเป็นการดีที่เจ้าคิดให้ถี่ถ้วนแล้วเลือกทำให้ทุกคนพอใจมิเช่นนั้น ถ้าข้าไม่ได้ผลประโยชน์นี้เลยก็อย่าคิดว่าอนาคตเจ้าจะไม่ลำบาก!”
เขาคาดว่าซือหยูกำลังจนมุมแล้วนั่นทำให้เขาขู่ซือหยูอย่างเปิดเผย
เสวี่ยฉีถอนหายใจเบาๆ
“ตลาดมืดก็มีกฎของตัวเองจะดีกว่าถ้าเจ้าไม่สร้างปัญหา”
เฉาฉิงเฟิงไม่เกรงกลัว
“ถึงข้าจะทำแล้วมันจะทำไม?”
เมื่อคำพูดของเขาลั่นออกมาเสียงหัวเราะอันเยือกเย็นของซือหยูก็ดังผ่านห้องศิลา
“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงทั้งนั้นศิษย์นับไม่ถ้วนกำลังรอโอสถชีพโกลาหลอยู่ ถ้าคนเหล่านั้นรู้ว่าตระกูลเฉาขายข้าและทำให้โอสถขาดมือล่ะก็!”
“เจ้าน่าจะรู้ว่ามันจะส่งผลกับตลาดมือของตระกูลเฉายังไงสินะ?อย่าลืมว่าคนที่สามารถซื้อโอสถชีพโกลาหลได้ไม่ได้อ่อนแอ เจ้าเตรียมตัวไว้หรือยังล่ะ?”
เพราะซือหยูรู้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อะไรถ้ารายงานเรื่องซือหยูนั่นกลับจะเป็นผลลบต่อชื่อเสียงตระกูลเฉาและการค้าขายในตลาดมืด
เฉาฉิงเฟิงเองนั้นมิอาจรับผิดชอบเรื่องนี้ได้และถ้าเขาทำจริงๆ ศิษย์ในที่อยู่เบื้องหลังก็จะคิดสังหารเขาแน่! เฉาฉิงเฟิงเองก็ยังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของซซือหยู เขาจึงมิอาจไปรายงานต่อฝ่ายปรุงยาได้!
เฉาฉิงเฟิงสีหน้าหม่นหมองเขาหงุดหงิดถึงขีดสุด เขากำหมัดด้วยจิตสังหารในแววตา ไม่มีใครกล้าจะทำกับเขาอย่างนี้ตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมตำหนักนอก
ซือหยูพูดอย่างใจเย็น
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วก็ไสหัวไปซะแล้วก็…อย่ามากวนข้าตอนปรุงยาอีก!”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าเฉาฉิงเฟิงบิดเบี้ยวเขาไม่พอใจกับคำพูดของซือหยูอย่างมาก แต่เขาก็ไม่กล้าจะทำอะไรซือหยูเพราะมีจ้าวเทวะสองคนยืนอยู่ใกล้เขา
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
เฉาฉิงเฟิงที่ผิดหวังกัดฟันเดินออกจากหอเพลิงคลั่ง
จ้าวหอเพลิงคลั่งเลิกคิ้วนางพูดตามหลังไป
“นายน้อยเฉาอย่าลืมจ่ายสองร้อยคะแนนให้เจ้ากับคนรับใช้เจ้าล่ะ”
เฉาฉิงเฟิงหยิบตราขึ้นมาจ่ายคะแนนอย่างไม่พอใจ
เสวี่ยฉีพูดด้วยรอยยิ้ม
“ท่านผู้อาวุโสจ้าวหอเพลิงคลั่งเป็นอาของข้าเอง การให้พวกเราจัดการโอสถก็ไม่ต่างกับให้ท่านอาหรอก”
นางมาที่นี่เพื่อที่จะขโมยกิจการของอาคิดว่านางอยากจะบังคับให้ท่านอากลับตำหนักใน
จ้าวหอเพลิงคลั่งใบหน้าเคร่งเครียดการค้านี้จะให้ผลประโยชน์กับนางมากกว่าหมื่นคะแนนในแต่ละเดือน เป็นการยากที่จ้าวหอคนใดจะได้โอกาสทำกำไรเช่นนี้
“ท่านผู้อาวุโสตราบใดที่ท่านตกลง เราจะเตรียมวัตถุดิบให้ในราคาที่ถูกกว่า เราจะขายโอสถในราคาเดียวกับท่านอา เขาจะขายอย่างน้อยหกสิบคะแนนต่อเม็ด”
เนื่องจากนางเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมนางจะได้วัตถุดิบในราคาที่ต่ำกว่า นี่เป็นสิ่งที่จ้าวหอเพลิงคลั่งทำไม่ได้
“เสวี่ยฉีเจ้าจะบังคับข้าอย่างนี้รึ?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งสีหน้าเยือกเย็น
เสวี่ยฉีตอบด้วยความหนักแน่น
“ใช่แล้วท่านอาทำไมท่านต้องลดตัวมาอยู่ตำหนักนอกด้วย? ถ้าเต็มใจ ท่านอาจะได้งานในตำหนักในและได้อย่างน้อยห้าหมื่นคะแนนต่อเดือน ทำไมจะต้องมาลำบากอยู่กับคะแนนเล็กน้อยพวกนี้ด้วย?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งสายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
“ตราบเท่าที่คนคนนั้นยังอยู่ที่นั่นข้าจะไม่กลับไป ถ้าเจ้าอยากจะชิงการค้าขายนี้ไปจากข้าก็ทำไปเลย ต่อให้ข้าไม่ได้สักคะแนน ข้าก็จะไม่ก้มหัวให้เขา!”
“ท่านอา!”
เสวี่ยฉีร้อนใจเมื่อได้ฟังแต่ก็เห็นได้ว่าอาของนางโกรธแค่ไหน
เสวี่ยฉีกลืนคำพูดและมองประตูศิลาที่ซือหยูอยู่เบื้องหลัง
“ท่านผู้อาวุโสไปกับข้าเถอะ ข้าเตรียมสถานที่ปรุงยาที่สะดวกกว่าได้ด้วย”
ก่อนที่นางจะพูดต่อก็มีเสียงแก่เฒ่าดังออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ
“หึหึข้าเคยตอบรับข้อเสนอแต่แรกหรือ? ที่นี่เหมาะกับข้า ข้าจะไม่ไปไหน อย่าลำบากมาเจรจาอะไรกับข้าเลย”
เสวี่ยฉีตกตะลึงนางคิดว่านางหูฝาด
“ท่านผู้อาวุโสราคาของวัตถุดิบพวกเราต่ำกว่า! แล้วพวกเราก็มีอุปกรณ์ที่สะดวกกว่าที่แบบนี้!”
“ข้าให้คำตอบไปแล้วอย่ามาเสียเวลาอยู่เลย!”
น้ำเสียงของซือหยูแสดงความไม่พอใจอยู่บ้าง
เสวี่ยฉีไม่อยากจะเชื่อเพราะท่านอาของนางหมดใจไปแล้ว นางไม่รู้เลยว่าทำไมนักปรุงยาคนนี้ถึงยังไม่ยอม! ถ้าหากนางไม่นับถือความสามารถของเขา นางก็คงจะเปิดประตูไปดูแล้วว่ามีสัตว์ประหลาดเฒ่าตนไหนอยู่ภายในนั้น!
นางอยากจะยืนกรานต่อไปแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาอีกนางโค้งคำนับและเดินจากไป นางพูดเบาๆเมื่อเดินผ่านจ้าวหอเพลิงคลั่ง
“ท่านอาอย่าทำให้เรื่องมันยากนักเลย ท่านต้องคิดถึงอนาคต”
เมื่อพูดเตือนจบนางก็จากไปจ้าวหอเพลิงคลั่งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นและจ้องมองห้องของซือหยู
นางถอนหายใจเบาๆ
“หนุ่มน้อยทำไมเจ้าทำแบบนี้ล่ะ?”
ซือหยูหัวเราะเบาๆ
“ข้าไม่อยากจะเปลี่ยนคู่ค้าในเวลาสุดท้ายจ้าวหอ ท่านอย่าคิดไปไกล”
หลังจากคิดเรื่องทั้งหมดแล้วเขาตัดสินใจเช่นนี้เพื่อช่วยจ้าวหอและปกป้องตัวเอง เขารู้ว่าจะดีกว่าถ้าหากไม่มีใครรู้เรื่องตัวตนของเขานอกจากจ้าวหอเพลิงคลั่ง
จ้าวหอเพลิงคลั่งขบริมฝีปากนางขยับเอวอันสง่างามและถาม
“หนุ่มน้อยเจ้าอยากจะให้ข้าตอบแทนยังไง?”
แม้จะแบ่งแยกกันด้วยประตูศิลาซือหยูก็สัมผัสได้ว่าเสียงของนางออดอ้อนเพียงใด เขาตกใจจนผละตัวห่างจากประตู
“ลืมไปซะเถอะ”
หลังจากที่ซือหยูไตร่ตรองดูแล้วเขาพูดขึ้นมา
“จ้าวหอข้าอาจจะปรุงยาที่นี่ไม่ได้นานนัก ถ้าหากคนในตลาดมืดมาหาที่นี่ได้ ฝ่ายปรุงยาก็ไม่น่าจะหาไม่ได้เช่นกัน อีกไม่นานพวกนั้นก็ต้องพบที่นี่จนได้”
ฝ่ายปรุงยานั้นอยากจะผูกขาดกิจการค้าโอสถแต่เพียงผู้เดียวดังนั้นพวกเขาจึงมีบทลงโทษนักปรุงยาในตำหนักที่แอบปรุงยาเอง ถ้าหากมีใครถูกเจอตัวเข้า พวกเขาก็จะถูกบังคับให้เข้าสู่ฝ่ายปรุงยาและเป็นเครื่องมือของคนเหล่านั้น
จ้าวหอเพลิงคลั่งพูดตอบ
“เจ้าพูดถูกฝ่ายปรุงยาจะมาในอีกไม่นานแน่”
จ้าวหอเพลิงคลั่งครุ่นคิดก่อนจะพูดด้วยความลังเล
“เจ้าทำโอสถในเรือนของข้าก็ได้ถ้าต้องการตั้งแต่ที่ข้าบ่มเพาะวิชาไฟ ข้าก็สร้างห้องบ่มเพาะที่มีเพลิงธรณีอันแข็งแกร่งที่เทียบเท่ากับที่นี่ ต่อให้ฝ่ายปรุงยาหาตัวเจ้า พวกเขาก็ไม่กล้าจะค้นเรือนส่วนตัวของจ้าวหอ เจ้าปรุงยาที่นั่นได้อย่างสงบสุข”
เรือนของนางหรือ?ซือหยูฟังข้อเสนอและพยักหน้า
“ถ้าเป็นแบบนั้นข้าก็จะประหยัดไปอีกร้อยคะแนนต่อวัน แต่ข้าไม่อยากจะเอาเปรียบท่าน ข้าจะให้คะแนนครึ่งส่วน นั่นหมายความว่าท่านจะได้ห้าสิบคะแนนต่อวัน รวมเป็นพันห้าร้อยคะแนนต่อเดือน”
จ้าวหอเพลิงคลั่งดีใจมากใครจะไม่อยากได้คะแนนเพิ่มล่ะ?
ยามบ่ายจ้าวหอเพลิงคลั่งได้สั่งงานกับคนคุ้มกันสองคนก่อนที่นางจะออกไปกับซือหยู เมื่อเห็นว่าจ้าวหอออกไปกับซือหยู ศิษย์ทั้งสองคนก็อิจฉาเขาอย่างแรง
“ท่านจ้าวหอคงจะไม่สนใจคนแก่แบบนั้นใช่ไหม?”
คนถัดไปที่ดูฉลาดกว่าส่ายหน้า
“จ้าวหอเพลิงคลั่งมิใช่คนหลาบโลนอย่างที่เจ้าคิดถึงนางจะดูเจ้าชู้ นางก็ไม่เคยมีเรื่องฉาวโฉ่เหมือนกับผู้เฒ่าสตรีอื่น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นศิษย์อีกคนที่เข้าใจทุกอย่างแล้วจึงถาม
“ถ้าเช่นนั้นนางพาเขาไปไหนล่ะ?”

ซือหยูเดินตามหลังจ้าวหอเพลิงคลั่งและจงใจทิ้งระยะระหว่างนางเพราะนางเป็นที่จับจ้องมากเกินไปศิษย์ทุกคนล้วนมองนางไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี
สตรีหลายคนมองนางด้วยความริษยาส่วนบุรุษก็มองด้วยความหลงใหล เหล่าชายหนุ่มมองซือหยูที่เดินตามนางด้วยความอิจฉาและคับแค้น
จ้าวหอเพลิงคลั่งที่เดินอยู่ข้างหน้ายิ้มอย่างซุกซนและหยุดเดินรอให้ซือหยูตามทัน
“นายน้อยซือเจ้าเหนื่อยรึ? ใยไม่ยื่นมือมาล่ะ?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งยิ้มเจ้าเล่ห์และยื่นมือให้เขา
การกระทำของนางทำให้เหล่าคนดูแตกตื่นพวกเขาเริ่มพูดคุยกัน…
DND.804 – ต่อสู้ชิงบุรุษ
“สองคนนั้นเป็นอะไรกัน?”
“เจ้าไม่รู้รึว่าคนหน้าแก่คนนี้เป็นใคร?เขาเป็นอสูรคนใหม่ อสูรเรือนกลาง! ตั้งแต่วันแรกที่เขามายังเขาอสูร เขาก็ขืนใจปิงหวูชิง ศิษย์ตำหนักนอกลำดับหนึ่ง เทพีน้ำแข็งของพวกเรา ข้าไม่คิดเลยว่าจ้าวหอเพลิงคลั่งจะตกอยู่ในมือชั่วร้ายของเขาด้วย”
“ราชาเรือนกลางเรอะข้าจะเสี่ยงชีวิตสู้กับมัน!”
แววตาของศิษย์หลายๆคนที่เห็นคนที่ตนเองตกหลุมรักถูกขโมยไปต่อหน้าต่อตาเต็มไปด้วยความแค้นพวกเขาอยากจะเผาซือหยูทั้งเป็นด้วยแววตาเหล่านั้น
ซือหยูขมวดคิ้ว
“ท่านยังก่อเรื่องไม่พออีกหรือ?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งยิ้มและเอนกายเข้าใกล้เขาคนรอบๆมองเห็นว่านี่คือคู่รักที่กำลังกระซิบคุยกันอย่างใกล้ชิด
“หึหึข้าก็แค่ช่วยให้เจ้าดูสมชื่อราชา เจ้าจะได้มีที่ยืนในเขาอสูรยังไงล่ะ”
ซือหยูฝืนใจเย็นนอกจากเขาจะแสดงความโกรธออกมาไม่ได้แล้วเขายังต้องทนสายตาแผดเผาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารเหล่านั้นอีก ครู่หนึ่งกว่าที่พวกเขาจะเดินผ่านหอยอดสวรรค์
ที่ชั้นสองชายหนึ่งกับหญิงสองนั่งอยู่ตรงข้ามกันถัดจากหน้าต่าง พวกเขาคือกงซุนหวูซื่อ ปิงหวูชิง และชายหนุ่มหน้าใสที่ดูดุดันเล็กน้อย
ชายหนุ่มนี้อายุราวยี่สิบปีและยิ้มเล็กน้อยเมื่อรินสุราให้นารีดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกัน
“หวูชิงตอนที่ข้ากลับมาเมื่อเดือนก่อน ข้าได้เจอพ่อเจ้าแล้วก็รู้ว่าพ่อเจ้าไม่ได้ต่อต้านงานแต่งงานของเรา…”
เขาพูดขณะที่มองปิงหวูชิง
ปิงหวูชิงสีหน้าไร้อารมณ์เมื่อได้ฟังคำพูดของเขาดูท่านางไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย นางก้มหน้าอ่านตำราโดยไม่ใส่ใจอะไร
นางพูดอย่างไม่แยแสโดยไม่เงยหน้ามอง
“ข้าเพียงแค่สนใจกับการได้อยู่จุดสูงสุดในวิถีแห่งพลังข้าไม่ได้มองหาคู่ครอง ไม่เกี่ยวว่าท่านพ่อจะพูดอย่างไร”
ปิงหวูชิงนั้นเป็นดั่งที่นามนางกล่าวนางทั้งไร้หัวใจและเย็นชา นางเป็นที่รู้กันว่ามีความมุ่งมั่นใจด้านพลัง แม้จะมีอัจฉริยะมากมายแสดงความรักกับนางเท่าใด ก็ไม่มีใครเลยที่ได้ความสนใจนางตอบแทน
ไม่มีใครทำให้หัวใจนางหวั่นไหวหรือเกิดความรู้สึกสักคนเดียวราวกับว่าหัวใจของนางมีแต่ความรักในวิถีแห่งพลัง
กงซุนหวูซื่อกลอกตา
“หึหึศิษย์พี่เหลามาช้าไปแล้วล่ะ พี่หวูชิงน่ะมีหวานใจแล้ว”
เพล้ง!
แก้วสุราในมือชายหนุ่มหน้าโหดร่วงลงกับพื้นและแตกสลายเขาตกใจมากแต่ก็ยังฝืนยิ้มอยู่
“อืม…พอดีเลยข้าก็มาที่นี่เพราะเรื่องนี้เช่นกัน ข้าได้ยินข่าวว่ามีเด็กใหม่ทำเรื่องไม่น่าอภัยกับหวูชิง เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
เขามองปิงหวูชิงและพยายามจะสังเกตการตอบสนองเขาไม่เชื่อข่าวลือนั้น แต่เขาก็เป็นกังวลเมื่อเห็นว่านางมีบาดแผลบนตัว เขาสงสัย…คนหน้าใหม่นั่นทำร้ายนางอย่างป่าเถื่อนและขืนใจนางงั้นหรือ?
เขาเดินทางนับพันลี้จากตำหนักในมาถึงที่นี่ก็เพื่อจะสอบถามเรื่องนี้
ปิงหวูชิงสีหน้าคงเดิมน้ำเสียงใจเย็นไม่เปลี่ยน
“มันไม่ใช่เรื่องจริงทุกอย่างที่ข้าทำเป็นความเต็มใจของข้าเอง หวูซื่อไม่ได้บอกไปแล้วรึว่าพวกเราเป็นคนรักกัน?”
รอยยิ้มของชายหนุ่มแข็งเป็นหินไปในทันทีแต่เขาก็ยังฝืนให้ยิ้มอยู่ได้
“หวูชิงเจ้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้เราหมั้นกันใช่ไหม?”
ปิงหวูชิงเงยหน้า
“พวกเรารักกันจริงๆจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า เจ้าจะคิดยังไงมันก็ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี”
ปั้ง!
ชายหนุ่มสีหน้าหม่นหมอง
“หวูชิงเจ้านอนกับเขาแล้วจริงๆน่ะเรอะ? ด้วยฐานะสูงส่งของเจ้า…ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะทำ!”
ในตอนนั้นเองกงซุนหวูซื่อได้มองไปยังด้านนอก ดวงตาสีม่วงของนางเบิกกว้างในทันที นางถอนหายใจยาวเมื่อเห็นจ้าวหอเพลิงคลั่งเดินแนบชิดแขนซือหยู
นางพูดด้วยความตกใจ
“พี่หวูชิงนั่นพี่หยูเซี่ยนไม่ใช่รึ?”
ปิงหวูชิงมองตามไปและเห็นซือหยูเดินอย่างสนิทสนมกับสตรีงามทั้งคู่เอนศีรษะใกล้ชิดกันกระซิบข้างหู
ปิงหวูชิงโมโหขึ้นมา
“ไร้ยางอายนัก!”
นางละสายตาจากทั้งคู่และกลับมาอ่านตำราตามเดิมโดยไม่สนใจ
ชายหน้าดุหรี่ตาเมื่อเห็นว่าปิงหวูชิงมิได้สนใจเขาสงสัยว่าทำไมปิงหวูชิงถึงเฉยเมยนัก
เพราะคนรักของนางกำลังแนบชิดอยู่กับสตรีอื่นต่อหน้าทุกคนแต่นางกลับดูไม่แยแสเลย มันน่าสงสัยอย่างมาก!
กงซุนหวูซื่อผู้อยากให้โลกตกอยู่ในความวุ่นวายนั้นแอบแหย่ปิงหวูชิงขณะส่งโทรจิตไปหานาง
“พี่หวูชิงพวกท่านสองคนเป็นคู่รักกันแล้วนะ ถ้าหากทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ คนจะไม่สงสัยรึว่ามันเป็นการเสแสร้ง?”
ปิงหวูชิงเบิกตาโพลงนางรู้แล้วว่ากงซุนหวูซื่อจะบอกอะไร
พรึ่บ!
นางปิดตำราพร้อมกับยืนขึ้นสีหน้านั้นเยือกเย็นราวน้ำแข็ง นางจับกระบี่ขาวราวหิมะที่เอว ชุดยาวที่มีลายมังกรปักเอาไว้ของนางเริ่มโบกสะบัด พลังมหาศาลเอ่อล้นมาจากตัวนาง
ปั้ง!
เมื่อนางก้าวไปข้างหน้าพื้นได้แตกแยกออก นางกระโดดออกไปราวกับเทพที่เตรียมจะล้างบางมนุษย์ นางด่าทออย่างโมโหร้าย
“เจ้าผู้ชายหน้าด้าน!เจ้ากล้าอยู่กับผู้หญิงอื่นได้ยังไง? ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ฟึ่บ!
เงากระบี่ที่เกิดจากพลังกระบี่ปรากฏเหนือนภาล้อมรอบซือหยูซือหยูที่หงุดหงิดกับเรื่องทั้งหมดระเบิดจิตสังหารออกมา ทีแรกเขากลัวเพราะคิดว่าเป็นฝีมือของเฉาเอวี่ยหมิง
เมื่อเงยหน้ามองไปด้านหน้าเขาก็เห็นร่างเงานับไม่ถ้วนที่มีพลังทำลายล้างสูงเขาตกใจมาก…วิชากระบี่ไม่ธรรมดาเลย!
ขณะที่ซือหยูกำลังตกใจเขามิอาจรับรู้ได้ว่าเงากระบี่นั้นเป็นของจริงหรือภาพลวง แต่เมื่อมองคนที่จู่โจมสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป เพราะมันคือปิงหวูชิง!
เขาไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนนี้จะหึงจริงๆเขาเชื่อว่านางถูกบังคับให้ต้องแกล้งหึงหวงเมื่อเห็นเขาอยู่กับหญิงอื่น แต่นางก็จู่โจมเขาอย่างป่าเถื่อนและดูเหมือนไม่ใช่การแสดงเลย!
พลังกระบี่คมกริบแฝงพลังมหาศาลที่ไม่อ่อนแอไปกว่าจ้าวเทวะซือหยูที่สัมผัสพลังค่อนข้างตกใจ
ในเวลาแบบนี้เขาเริ่มคิดแล้วว่าจะต้องใช้เนตรสวรรค์หรือไม่ แต่กลิ่นหอมหวานก็ได้พัดปลิวถัดจากเขาเข้ามา
จ้าวหอเพลิงคลั่งหรี่ตาแม้นางจะไม่ได้ทำอะไร เงาร่างสีขาวขนาดใหญ่ก็ปรากฏด้านหลังนาง มันเข้าลบพลังกระบี่จนสั่นสะเทือนและเปลี่ยนเส้นทาง!
“หึหึโฉมงามน้ำแข็ง เจ้าอารมณ์ร้ายจริงๆนะ! เจ้าไม่รักหวานใจของเจ้าหรอกรึ?”
จ้าวหอเพลิงคลั่งหัวเราะคิกคักเมื่อมองโฉมงามผู้ห้าวหาญตรงหน้า
ปิงหวูชิงชี้กระบี่เข้าหาซือหยู
“คนทรยศ!วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ซือหยูค่อนข้างงุนงงบาดแผลของนางไม่ทันหายดี แต่นางก็จู่โจมได้โหดร้ายถึงเพียงนี้ พลังของนางเกือบจะถึงระดับของจ้าวเทวะอยู่แล้ว!
ถ้าหากบาดแผลนางหายดีนางคงจะน่ากลัวยิ่งกว่านี้! ไม่แปลกเลยที่นางคือหมายเลขหนึ่งแห่งตำหนักนอก นางนั้นไร้เทียมทาน แม้ซือหยูจะใช้ทั้งหมมดที่มีปะทะกับนาง เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะได้ ไม่ต้องพูดถึงการสังหารเลย!
“ถ้าเจ้าอยากทำร้ายน้องชายของข้าเจ้าก็ต้องมาขออนุญาตข้าก่อน”
จ้าวหอเพลิงคลั่งพูดด้วยความโมโห
นางเพียงอยากจะแหย่ซือหยูนางไม่คิดเลยว่าปิงหวูชิงจะกล้าหันกระบี่ใส่นางด้วย! และที่น่างุนงงยิ่งกว่าก็คือปิงหวูชิงนั้นดูจะรักซือหยูและหึงอยู่จริงๆ
จ้าวหอเพลิงคลั่งเจอกันเรื่องนี้โดยบังเอิญมันทำให้นางเหมือนเป็นชู้รักที่เข้ามาแทรกกลางระหว่างทั้งคู่ ตอนนี้นางแก้ตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ!
นางไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปิงหวูชิงกับซือหยูเพราะทุกคนพูดว่าซือหยูขืนใจนาง ดังนั้นนางจึงสงสัย…ทำไมปิงหวูชิงถึงไม่เกลียดเขาแต่กลับเข้าข้างเขาล่ะ?
ในตอนนั้นปิงหวูชิงมองจ้าวหอเพลิงคลั่งและคิด…ตราบเท่าที่ข้ายังต่อสู้กับนาง ทุกคนก็จะคิดว่าข้าเป็นคู่รักกับซือหยูเซี่ยน
“เจ้าผู้หญิงไร้ยางอาย!กล้าดียังไงมายั่วซือหยูเซี่ยนของข้า! ข้าได้ยินว่าเจ้าบ่มเพาะวิชาจิ้งจอกอสูรจนถึงขั้นสูง ข้าอยากจะได้เห็นจริงๆ!”
หลังจากที่ปิงหวูชิงตัดสินใจนางก็ลงมือในทันที นางจับกระบี่เจ้าฟาดฟันจ้าวหอเพลิงคลั่ง
เมื่อเห็นกระบี่พุ่งเข้าใส่ตัวจ้าวหอเพลิงคลั่งนั้นเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆ ถ้าเรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ นางก็แน่ใจแล้วว่าปิงหวูชิงมีสัมพันธ์แนบชิดกับซือหยู
นางสงสัยเมื่อสรุปความคิดได้แบบนั้น…โลกนี้เป็นอะไรไปแล้ว?แม้แต่ปิงหวูชิงที่ไร้หัวใจที่สนใจแค่วิถีแห่งพลังยังเกิดความรู้สึกกับคนที่ขืนใจนางได้!
แต่นางมิอาจยอมแพ้ได้ในตอนนี้นางใช้พลังต้านออกไป
“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าเจ้าบ่มเพาะเก้ากระบี่ไร้ใจมาจนถึงระดับสูง…ข้าอยากจะได้เห็นจริงๆ!ข้าจะไม่รังแกเจ้าและจะกดฐานพลังให้เทียบเท่าเจ้า”
“ไปสู้กันข้างบน!”
รังสีฆ่าฟันของปิงหวูชิงถูกปลุกเร้าขึ้นมานางทะยานขึ้นฟ้าทันที
จ้าวหอเพลิงคลั่งบินตามนางขึ้นไปทั้งสองเริ่มต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทุกคนที่ได้เห็นงุนงง การต่อสู้นี้ไม่ต่างกับเพลิงที่ปะทุในแววตาของพวกเขา พวกเขาก้มลงมองสีหน้าของซือหยู
“เทพีน้ำแข็งกับโฉมงามเพลิงเป็นความภาคภูมิใจของตำหนักนอกแต่พวกนางกลับกลายเป็นคู่แข่งความรักต่อสู้แย่งชิงบุรุษคนเดียวกัน!”
จู่ๆก็มีเสียงที่สื่อถึงความคิดของทุกคนดังออกมา
จากนั้นอีกเสียงก็ดังขึ้น
“เป็นไปไม่ได้!ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ! มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? ทำไมหญิงงามถึงต้องต่อสู้เพื่อความรักจากชายแค่คนเดียวด้วยเล่า?”
วันนี้ไม่ต่างกับวันสิ้นโลกของเหล่าชายชาตรีแห่งตำหนักนอกหลายคนหัวใจสลาย
ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยวเขาแน่ใจว่าผู้หญิงสองคนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา แต่พวกนางกลับต่อสู้กันเพื่อให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา! เขาไม่รู้แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป!
ฟึ่บ!
จู่ๆก็มีสายลมรุนแรงพัดมาที่ด้านหลังซือหยูแม้ซือหยูจะสนใจการต่อสู้ของหญิงสาวทั้งสอง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาลืมสิ่งรอบข้าง
เมื่อสายลมด้านหลังเปลี่ยนไปเขาก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที เขารีบหลบไปด้านข้างเพื่อหนีภัยที่ไม่รู้ที่มา
แต่พลังด้านหลังเขานั้นแข็งแกร่งกว่าที่คาดหลายเท่าตัวเขาหลบไม่พ้น พลังนั้นเล็งที่เขาคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะหลบไปไหนมันก็ตามติดเขาไปตลอด

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset