The Divine Nine Dragon Cauldron – ตอนที่ 845-846

DND.845 – สกัดระหว่างทาง
ซือหยูอ่านดูข้อมูลของทั้งสามร้าน…
“ร้านเหล็กศิลา…ซื้อขายแร่ทุกประเภทมีหนี้แก้วแสนดวง”
“สวนชมชาหอม…ร้านชาที่มีสตรีบริการหนี้แก้วสามหมื่นดวง”
“ร้านขายยาตงหลิน…ซื้อขายโอสถทุกชนิดหนี้แก้วสามแสนดวง”
ซือหยูค่อนข้างสับสนเมื่อมองดูร้านทั้งสอง
“ทำไมทั้งสามร้านมีหนี้หมดเลยล่ะ?”
ชายแก่ตัวผอมพูดโดยไม่สนใจ
“ร้านที่ค้าขายได้ดีมีกำไรถูกคนอื่นเลือกไปแล้วเหลือแค่ร้านพวกนี้ เจ้าคิดเอาว่าจะเลือกหรือไม่”
ซือหยูหรี่ตาเล็กน้อยชายแก่คนนี้อารมณ์ร้าย
“ถ้าเช่นนั้นบอกข้าทีว่าหนี้พวกนี้มีผลกับข้าหรือไม่?”
ซือหยูถาม
ชายแก่ตอบโดยไม่เงยหน้า
“หากเจ้าจะเป็นเจ้าของร้านคนใหม่เจ้าก็ย่อมต้องรับผิดชอบหนี้ของร้าน ถ้าเจ้ายังคงมีหนี้หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน จำนวนหนี้นั้นก็จะนำมาหักกับคะแนนของเจ้า”
ซือหยูถามทันที
“ถ้าข้าจ่ายหนี้คืนแล้วทำกำไรได้มากข้าจะได้รางวัลมากกว่าเดิมหรือไม่?”
ชายแก่พยักหน้า
“ใช่แต่เจ้าไม่ควรจะหวังเช่นนั้น เจ้าโชคดีอยู่แล้วถ้าล้างหนี้ได้ ไม่ต้องพูดเรื่องทำกำไรหรอก! หึหึ”
ซือหยูยังคงใจเย็นแม้จะได้ยินเสียงเยาะเย้ย
“ข้าจะรับภารกิจเป็นเจ้าของร้านยาตงหลิน”
ชายแก่ตัวแข็งทื่อเขาคิดว่าหูฝาด
“เจ้าจะไปร้านนั้นจริงๆรึ?มันมีหนี้สามแสนนะ! เจ้ารับได้งั้นเรอะ?”
ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
“เจ้ามีหน้าที่ดูแลภารกิจไม่ใช่เรื่องของเจ้าที่จะมาคิดว่าข้าจะทำได้หรือไม่”
ชายแก่หน้าแดงเขามองซือหยูอย่างเย็นชาอยู่นานก่อนจะพยักหน้า
“ย่อมได้ข้าจะให้ภารกิจกับเจ้า”
เขาหยิบมัจฉาไม้ครึ่งส่วนมาจากเสื้อมันมีลายซับซ้อนมากมายที่ขอบ มีเสี้ยวแสงกระจ่างอยู่ภายใน
“นี่คือตราตัวแทนไปที่สำนักใหญ่ตำหนักโลหิตในเมืองเทียนหยา ให้มันกับเจ้าของร้านใหญ่ที่รับผิดชอบทุกร้าน เขาจะให้เจ้าไปร้านตงหลิน”
ชายแก่โยนมันให้กับซือหยู
เขาพูดอย่างเย็นชา
“ขอให้เจ้าโชคดี”
ซือหยูรับตราตัวแทนและตอบอย่างใจเย็น
“เจ้าก็ด้วย”
หลังออกจากที่รับภารกิจซือหยูออกจากตำหนักนอกและมุ่งหน้าไปเมืองเทียนหยาที่อยู่ระหว่างเขตกลางกับดินแดนพรสวรรค์ทันที หลังซือหยูไป ชายแก่ตากระตุก ผึ้งตัวหนึ่งบินออกจากชายเสื้อมุ่งหน้าไปที่ป่าขังภูติ ที่นั่นมีชายสองคนยืนคุยกันอยู่
“เจ้าตระกูลเฉาข้าทำอะไรกับเรื่องซือหยูเซี่ยนไม่ได้จริงๆ”
หากซือหยูอยู่ที่นี่เขาจะจำชายหนุ่มที่หน้าซีดราวกับกระดาษผู้นี้ได้ในทันที เพราะเขาคือเล่าอ๋าย!
เล่าอ๋ายกล่าว
“ข้าส่งจ้าวเทวะศิษย์ในไปสองคนเพื่อสังหารซือหยูเซี่ยนแต่สองคนนั้นกลับตายในเขาวิญญาณจรัส ตอนนี้ซือหยูเซี่ยนก็ได้แสดงพรสวรรค์ในการทดสอบประจำฤดูไปแล้ว เจ้าตำหนักขวารู้เรื่องเขาแล้ว ถ้าข้าจะจู่โจมอีก เจ้าตำหนักขวาจะไม่มีทางอภัยให้ข้าแน่ๆ!”
ชายที่อยู่ข้างเล่าอ๋ายคือเจ้าตระกูลเฉาที่อยู่ในป่าขังภูติมาตลอดทั้งเดือนเขาอยากจะแก้แค้นโดยเร็วและมิอาจกินนอนอย่างสงบสุขได้ก่อนจะฆ่าซือหยู
เขาตาแดงก่ำเมื่อได้ฟังคำพูดของเล่าอ๋าย
“เจ้าพูดอะไรนะ?เจ้าไม่ได้พูดว่าเจ้าฆ่าซือหยูเซี่ยนได้แน่นอนหลังจากที่ข้าให้แก้วเจ้าไปล้านดวงไม่ใช่รึ? แต่ตอนนี้เจ้าจะถอนคำพูดงั้นเรอะ?”
เล่าอ๋ายไม่กลัวเจ้าตระกูลเฉาเขาตอบอย่างเย็นชา
“เจ้าตระกูลเฉาท่านไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ ตระกูลเฉาของท่าน เฉาฉิงเฟิงถูกฆ่าตายจากเจ้าตำหนักเพราะเรื่องฉาวแดงออกไป ข้าไม่อยากจะเดินทางเดียวกับเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเฉาชุนกวง ข้าก็คงไม่คิดจะรับภารกิจของท่าน!”
เฉาชุนกวงเป็นสมาชิกลำดับสิบของสำนักขวาเขามาจากตระกูลเฉา เฉาฉิงเฟิงมิได้มีตำแหน่งสำคัญในตำหนักนอกโดยไร้เหตุผล เพราะทั้งหมดเป็นฝีมือของเฉาชุนกวง
เจ้าตำหนักขวาให้ค่าเขามากเล่าอ๋ายมิอาจเทียบได้ เขาต้องรับภารกิจเพราะเฉาชุนกวงต้องการ แต่เขาไม่คิดว่าซือหยูจะเป็นเสี้ยนหนามเช่นนี้ และเมื่อซือหยูเป็นที่นับถือ เขาก็มิอาจผลีผลามได้อีก
เจ้าตระกูลเฉาโกรธจัดแต่ก็ไม่กล้าจะแสดงออกมาเป็นเวลาเดียวกับที่ผึ้งตัวหนึ่งบินมาหาพวกเขา
เจ้าตระกูลเฉาคว้าผึ้งมาใกล้หูเขาฟังและแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ซือหยูเซี่ยน…มีหนทางสู่สวรรค์เจ้ากลับไปขึ้นไป ไร้หนทางสู่นรก เจ้ากลับบุกทะลวงลง! เจ้ากล้าเดินทางคนเดียวในเวลานี้ รนหาที่ตาย!”
เล่าอ๋ายเลิกคิ้วความเยือกเย็นปรากฏในดวงตา
“เขาออกจากตำหนักนอกไปคนเดียวรึ?”
เจ้าตระกูลเฉาพยักหน้า
“ใช่แล้วข้าติดสินบนผู้จ่ายภารกิจผีให้บอกข้าเมื่อซือหยูเซี่ยนรับภารกิจและออกจากตำหนัก เขาเพิ่งจะบอกข้าว่าซือหยูเซี่ยนจะไปเป็นเจ้าของร้านเมืองเทียนหยา ผึ้งนี้บันทึกรังสีพลังของตรามัจฉามังกรของเขาไว้ เราตามไปได้ทุกเมื่อ!”
เล่าอ๋ายเริ่มวางแผน
“นั่นก็ดีแล้วแต่ข้าจู่โจมซือหยูเซี่ยนสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ถ้าซือหยูหนีจนส่งข่าวถึงตำหนัก ข้าก็จบเห่”
“ใยท่านไม่จัดการมันเองเล่า?น่ายินดีกว่ามิใช่รึที่ได้สังหารศัตรูด้วยตัวเอง?”
เจ้าตระกูลเฉาตอบกลับ
“เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากเรอะ?แต่ข้าเพิ่งได้ข่าวเมื่อวานและต้องกลับไปดูแลเรื่องเร่งด่วนของตระกูลเฉา ข้าไม่มีเวลาจะไปไล่ตามซือหยูเซี่ยน เจ้าต้องทำให้ข้า”
แต่เล่าอ๋ายนั้นชั่วร้ายและระวังตัวมาก
“ขออภัยแต่ข้าแสดงตัวไม่ได้ แต่ข้าบอกให้คนจ่ายภารกิจจัดการเขาได้ เขาเป็นจ้าวเทวะระดับหนึ่ง เป็นเรื่องง่ายที่จะปิดปากซือหยูเซี่ยน และถ้าข้าส่งภูติระดับเก้าไปช่วยเขา เขาก็น่าจะจัดการได้โดยเร็ว”
เจ้าตระกูลเฉาตอบด้วยความลังเล
“หืม…เจ้าคิดจริงๆรึว่าคนจ่ายภารกิจฉีจะเต็มใจทำ?ไม่เสี่ยงไม่หน่อยรึ ถ้าเขาถูกจับได้ เขาจะอยู่ตำหนักโลหิตไม่ได้อีกเลย”
เล่าอ๋ายยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ถ้ามันรับเงินท่านบอกที่อยู่ซือหยูเสียสองครั้งแล้วมันก็เป็นคนโลภคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าจ่ายมากพอ มันก็จะยอมทำงานให้เรา”
เจ้าตระกูลเฉาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า
“ก็ได้ฝากเจ้าด้วย ข้าจะไม่เอาแก้วล้านดวงคืนจากเจ้า แต่เจ้าต้องติดสินบนให้เขาแล้วจัดการตัวเอง”
“ข้ารู้ว่าต้องทำอะไร”
เล่าอ๋ายหัวเราะเบาๆ
หลังจากกล่าวลาเจ้าตระกูลเฉารีบไปอย่างรวดเร็วราวกับมีเรื่องเร่งด่วน เล่าอ๋ายกลับตำหนักไปยังที่รับภารกิจ หลังจากยืนยันได้ว่าไม่มีคนอยู่รอบๆ เขาก็ขยับปากและอัดเป็นพลังชีวิตส่งเสียงเข้าไป
ชายแก่ตัวผอมก็คือผู้จ่ายภารกิจฉีนั่นเองเอาส่ายหน้าอย่างมั่นใจและหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“เล่าอ๋ายคิดว่าข้าโง่งั้นเรอะ? ถ้ามีคนรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่ ข้าก็จะอยู่ในดินแดนพรสวรรค์ไม่ได้อีกแล้ว เรื่องนี้เสี่ยงไป ข้าไม่ทำให้เจ้าหรอก”
เล่าอ๋ายยิ้มอย่างใจเย็นและคอบ
“เจ้าไม่อยากจะได้แก้วห้าแสนดวงรึ?เจ้าอยู่ตำหนักโลหิตมานานเช่นนี้ เจ้าก็ยังไม่เคยได้แก้วจำนวนขนาดนี้มาก่อน!”
เขาค่อนข้างแก่เฒ่าแต่ก็เป็นเพียงจ้าวเทวะระดับหนึ่งเขาอาจจะเป็นแค่ศิษย์ธรรมดาที่ไม่เคยได้เข้าสู่ตำหนักใน ดังนั้นเงินที่สะสมมาตลอดชีวิตของเขาก็อาจจะไม่ถึงครั้งนี้ครั้งเดียว!
“มากขนาดนั้นเชียวรึ!”
ผู้จ่ายภารกิจฉีเบิกตากว้างเขาใจเต้นแรง ข้อตกลงครั้งนี้ล่อตาล่อใจยิ่งนัก
หลังจากครุ่นคิดเขาถามกลับ
“เจ้าตระกูลเฉาจ่ายห้าแสนดวงเพื่อชีวิตของเด็กคนเดียวจริงๆน่ะรึ?”
ในสายตาของเขานั้นพลังของซือหยูค่อนข้างเยี่ยม แต่เขาก็เป็นแค่ภูติ เขาเป็นดั่งมดปลวกต่อหน้าจ้าวเทวะ…เหตุใดตระกูลเฉาถึงยอมจ่ายมากขนาดนี้เพื่อเขากัน?
เล่าอ๋ายตอบอย่างใจเย็น
“เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกเจ้าก็แค่ยอมรับหรือปฏิเสธภารกิจมาตรงๆ”
เขาเงยหน้าจิตสังหารปรากฏในแววตา
“ข้ารับภารกิจแต่เจ้าต้องให้แก้วข้าอีกสองแสนดวง!”
เล่าอ๋ายชักสีหน้าแต่เขาก็ยินยอม
“ก็ได้แต่เจ้าต้องเอาหัวมันมาให้ข้า!”
เขาไม่กลัวว่าเล่าอ๋ายจะถอนคำพูดเพราะเขาสามารถแฉเล่าอ๋ายได้เขาจึงยอมรับอย่างรวดเร็ว
“ตกลง!ข้าจะเดินทางเที่ยงคืนนี้ ตอนนี้มีคนมากนัก ข้าจะออกจากศูนย์ไปไดยไม่มีเหตุไม่ได้”
ทั้งสองคุยรายละเอียดกันอย่างลับๆก่อนที่เล่าอ๋ายจะยืนขึ้นและเดินออกไปผู้จ่ายภารกิจฉีรอให้เวลากลางคืนมาถึงอย่างใจจดใจจ่อ

สิบล้านลี้ห่างออกไปใต้ท้องนภายามวิกาลที่มีดวงดารางดงามประดับฟ้า ซือหยูเดินทางมาถึงครึ่งทางสู่เมืองเทียนหยา เมื่อเห็นฟ้ามืด เขามองหาที่ลับที่จะพักบ่มเพาะได้เงียบๆ
เขาเรียกคุกเทวะห้าธาตุที่มีอักษรเก้าร้อยตัวเปล่งประกายออกมาส่องแสงในความมืด
“เจ้าเด็กมนุษย์ถ้าเจ้าเข้าใจอักษรร้อยตัวสำเร็จ เจ้าจะเริ่มใช้พลังของคุกเทวะห้าธาตุได้ และเวลานั้น คนที่พลังต่ำกว่าอสูรเนรมิตรจะทำอะไรเจ้าไม่ได้อีกต่อไป…”
จิตวิญญาณสมบัติกล่าว
มันพูดต่อ
“การเข้าใจธาตุทั้งห้าจะช่วยให้เจ้าเพิ่มพลังของตัวเจ้าเองอย่างมากและถ้าเจ้าใช้ธาตุทั้งห้าได้ถึงขีดสุด เจ้าจะแสดงพลังอันน่าตกตะลึงออกมาได้ทั้งจู่โจมและป้องกัน”
ซือหยูพยักหน้าเบาๆ
“ถ้าข้าควบคุมได้เมื่อใดมันก็ฌป็นประโยชน์กับเจ้าด้วยสินะ?”
จิตวิญญาณสมบัติตอบอย่างจริงใจ
“เราทั้งคู่ต่างได้ผลประโยชน์เจ้าควรจะบ่มเพาะให้ดี ข้าจะไม่กวนเจ้า”
ซือหยูไม่เชื่อใจจิตวิญญาณสมบัตินักเขายังคงสงสัยเป้าหมายของมัน แต่จิตวิญญาณสมบัติค่อนข้างจะไม่ยุ่งกับเขานัก เขาจึงสบายใจได้ในเวลานี้
ซือหยูเริ่มบ่มเพาะพลังความเร็วของห้วงเวลารอบกายเขาเพิ่มขึ้น เมื่อหนึ่งชั่วยามผ่านไปก็เท่ากับว่าซือหยูเรียนรู้อักษรของอสูรไปสี่ร้อยชั่วยาม มันเทียบเท่าเวลาครึ่งเดือน!
ซือหยูลืมตาช้าๆพลังพิเศษยังงคงเหลืออยู่ในดวงตา หนึ่งในอักษรเก้าร้อยตัวหายไปอีกครั้ง ตอนนี้เขาเข้าใจอักษรสองตัวแล้ว!
ถ้าหากมีใครสังเกตเขาให้ดีจะพบว่าธาตุทั้งห้าที่อยู่รอบกายซือหยูหนาแน่นยิ่งกว่าเดิมในขณะนี้ ซือหยูหยุดบ่มเพาะพลังแล้ว
เขายืนขึ้นช้าๆและมองส่วนลึกของป่า
“พวกเจ้ามาถึงที่นี่แล้วใยยังต้องหลบซ่อนอีกเล่า?”
DND.846 – ผนึกเทพแมงป่องยักษ์
ถ้าซือหยูบ่มเพาะต่อไปเขาจะเข้าใจอักษรได้สองตัวในวันนี้ แต่เขาถูกบังคับให้หยุดเพราะสัมผัสได้ถึงยอดฝีมือที่เข้ามาในระยะของเขา
พื้นที่มืดเงียบกริบไร้ซุ่มเสียงไม่มีแม้แต่เสียงวิหคหรือแมลง คำกล่าวเดียวที่บอกได้ก็คือมีสิ่งที่แข็งแกร่งอยู่ที่นี่ เหล่าสิ่งมีชีวิตจึงเงียบ
ฟึ่บ!
แสงสีทองพุ่งออกจากชายเสื้อของซือหยูมันพุ่งไปยังป่าลึก
แกร๊ง!
เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นเมื่อกระบี่ทองสะท้อนกลับมาคนสวมชุดดำสามคนออกมาจากความมืดพร้อมกัน พวกเขาสวมหน้ากากและมีทั้งหญิงและชาย
“สมกับเป็นซือหยูเซี่ยนยอดฝีมือผู้เอาชนะเฉาฉิงเฟิงได้ เจ้าเจอพวกเราได้ง่ายๆ”
ชายที่อยู่ตรงกลางเดินออกมาจากความมืดและพูดอย่างใจเย็น
คนที่อยู่ทางซ้ายเองก็เป็นผู้ชายขณะที่หญิงสาวคนหนึ่งอยู่ทางด้านขวา ทั้งสามปลอมตัวได้ดี ไม่มีใครระบุตัวตนของทั้งสามได้จากภายนอก
ซือหยูยกนิ้วเรียกกระบี่ทองกลับ
“เป็นพวกเจ้าเองสินะศิษย์พี่ไป่จาง ตำหนักนอกลำดับเก้า ศิษย์พี่เฉี่ยวหลิง ลำดับแปด ศิษย์พี่ต้วนเฉียน ลำดับหก ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าสามคนจะแอบรับงานประเภทนี้ น่าตกใจจริงๆ!”
กลับกลายเป็นว่าไม่ว่าพวกเขาจะปกปิดตัวอย่างไรก็มิอาจรอดพ้นเนตรวิญญาณของซือหยูได้ต้วนเฉียนหยุดนิ่ง พลังของพวกเขาแต่ละคนเปลี่ยนไป
เฉี่ยวหลิงตะโกน
“เจ้ารู้ว่าเป็นพวกเราได้ยังไง?ใครบอกเจ้าว่าเป็นเรา?”
พวกเขาสงสัยว่ากำลังโดนคนอื่นขายมิเช่นนั้นซือหยูก็คงไม่รู้
ต้วนเฉียนตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
“อย่าโดนมันหลอก!”
เขาจ้องมองซือหยู
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดอะไร!พวกข้าเป็นมือสังหาร เราไม่รู้จักศิษย์พี่ที่เจ้าพูดถึง”
เขาพูดออกไปเพราะคิดว่าจะต้องไม่เผยตัวก่อนสังหารซือหยู
เฉี่ยวหลิงกลับมาได้สตินางขึ้นเสียง
“ฮื่ม!ยังไงเดี๋ยวมันก็ต้องตาย! เราจะสนใจไปทำไม?”
ซือหยูยืนมือไพล่หลังและแสยะยิ้ม
“ในสายตาข้าพวกเจ้าต่างหากที่จะตายในอีกไม่นาน แต่ก่อนพวกเจ้าตาย บอกข้าก่อนได้หรือไม่ว่าใครส่งพวกเจ้ามา?”
“เจ้าจะพูดมากไปแล้ว!เอากระบี่ข้าไปกิน!”
เฉี่ยวหลิงจับกระบี่ดำที่มีขอบสีม่วงฟันเข้ามากระบี่เล่มนี้อาบยาพิษ!
“เดี๋ยวก่อน!อย่าเพิ่งทำอะไรมัน!”
ต้วนเฉียนอยากจะหยุดนางแต่ก็สายไปแล้ว
เฉี่ยวหลิงตอบโดยไม่หันกลับไปมอง
“ข้าเคยเห็นพลังของมันมาแล้วข้ารู้ว่ามันเอาชนะเฉาฉิงเฟิงได้เท่านั้น มันมีแค่วิชาระดับตำนานชั้นกลาง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้”
ขณะที่นางพูดนางพุ่งอย่างรวดเร็วราวกับผีเข้าใส่ซือหยู กระบี่คมกริบของนางจ่อลำตัวซือหยู และเมื่อกำลังจะถึงตัวนั้นเอง เสียงสัตว์ป่าคำรามก็ดังขึ้น!
เฉี่ยวหลิงตกใจจนสั่นไปทั้งตัวแม้แต่กระบี่ของนางก็หยุดอยู่กับที่
นางตระหนักว่านางอยู่ในขั้นที่มิอาจถอยกลับได้อีกแล้วนางจึงชักกระบี่กลับมาป้องกันตัว พร้อมกันนั้นยังใช้ปลายเท้าแตะพื้นหลายครั้งเพื่อที่จะหนี แต่อย่างไรก็ตาม นางอยู่ใกล้กับซือหยูเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเร็วพอ
ในตอนนั้นเองหมอกทมิฬแผ่ออกมาจากออกของซือหยู มันกลายร่างเป็นมังกรยักษ์ยาวร้อยศอกพุ่งทะลวงร่างเฉี่ยวหลิง!
กระบี่ของนางป้องกันมังกรได้เพียงชั่ววินาทีเดียวเท่านั้นนางไม่ต่างกับมนุษย์ไร้พลังที่เผชิญหน้ากับภูเขาถล่ม นางรู้สึกอ่อนแอต่อหน้าพลังที่ถาโถมเข้ามา นางตกตะลึงอย่างมาก
ฝ่ามือของนางเจ็บปวดเมื่อเผชิญหน้ากับพลังมหาศาลกระบี่กระเด็นลอยออกไป มังกรอสูรยังคงบินทะลวงร่างของนางทะลุแผ่นหลัง
เฉี่ยวหลิงยืนนิ่งไร้การเคลื่อนไหวต้วนเฉียนกับไป่จางตกใจมาก ทั้งสองรีบบินมาพยุงร่างของนาง
ต้วนเฉียนจ้องมองซือหยูขณะถามคนของเขา
“เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
เขารอให้เฉี่ยวหลิงตอบแต่ก็ไม่ได้ยินสิ่งใดกลับมาเขาจึงก้มลงมองนางพร้อมกับความสยดสยองที่ปรากฏบนใบหน้าตัวเอง
แม้เฉี่ยวหลิงจะยังยืนอยู่ทั้งร่างของนางก็เริ่มสลายไปราวกับกระดาษที่ถูกเผาเมื่อสายลมพัดผ่าน มังกรอสูรที่ทะลวงร่างนางไปนั้นเปลี่ยนนางให้กลายเป็นขี้เถ้า! เฉี่ยวหลิงตายไปตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะถึงตัวนางแล้ว!
ต้วนเฉียนตกใจมากเขาชาไปทั้งตัว เขารีบบินกลับหลัง
ไป่จางหน้าซีดราวคนตายเขาก็ถอยไปที่ข้างต้วนเฉียน ทั้งคู่จ้องมองเฉี่ยวหลิงที่กลายเป็นกองเถ้าไปแล้ว โลหิตในกายเย็นยะเยือก
“นี่มันวิชาอสูรอะไรกัน?เหตุใดถึงโหดร้ายเช่นนั้น?”
ต้วนเฉียนหนักใจหัวใจของเขาเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม
เขาคิดว่าการจัดการซือหยูเป็นเรื่องง่ายเขาไม่เคยคิดเลยว่าซือหยูจะยังมีวิชาอสูรที่แข็งแกร่งและน่ากลัวเช่นนี้!
“จะอย่างไรพวกเจ้าก็ต้องตายแล้วสนใจวิชาข้าไปทำไมกัน?”
ซือหยูถามขณะก้าวไปข้างหน้า
ต้วนเฉียนกับไป่จางหัวใจหยุดเต้นทั้งคู่เหลือบมองกันก่อนจะเริ่มหนีขณะที่ตะโกน
“ท่านฉีมาช่วยพวกข้าเร็ว!”
มังกรอสูรน่ากลัวเกินไป!เฉี่ยวหลิงเป็นภูติระดับเก้าและนับว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักนอก แต่นางถูกซือหยูสังหารในพริบตาเดียว! ทั้งคู่ไม่คิดจะต่อสู้อีกแล้วเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
ซือหยูยิ้มจางๆ
“ศิษย์พี่ใยมาเร็วไปเร็วนัก”
ซือหยูขยับมือทั้งสองมังกรอสูรตัวหนึ่งบินทะยานไล่ล่าต้วนเฉียนและไป่จาง
มันตามทั้งสองทันโดยพลันและกำลังจะทะลวงร่างสังหารแต่ชายแก่ตัวผอมก็ปรากฏตัวที่ด้านหลังราวกับผี เขายืนมือไพล่หลัง ใบหน้าไม่แยแสอะไร
เมื่อเห็นมังกรอสูรบินเข้ามาเขาเพียงแค่ยื่นมือเดียวไปที่หัวมังกร มังกรอสูรที่มีพลังมหาศาลถูกหยุดด้วยมือของเขา!
ปั้ง!
แต่จากนั้นเองความตกใจปรากฏบนใบหน้าชายแก่ นั่นก็เพราะมังกรอสูรแข็งแกร่งกงว่าที่เขาคิดเอาไว้!
เมื่อตระหนักได้เขารีบถอยกลับขณะที่ยื่นมืออีกข้างมาช่วยรับพลังมังกรไว้ได้
“ตายซะ!”
ผนึกวิเศษปรากฏจากหน้าผากของชายแก่
ภาพแมงป่องถูกสลักเอาไว้ในผนึกหลังจากที่ผนึกวิเศษแสดงให้เห็นก็เหมือนกับว่าแมงป่องในภาพมีชีวิตขึ้นมา! มันกลายเป็นร่างเงายาวเกือบลี้ มันทอดยาวและยื่นส่วนของร่างพุ่งเข้าใส่คอมังกร!
ฉั่วะ!
ก้ามยักษ์ของแมงป่องมีพลังมหาศาลมันฉีกกระชากมังกรอสูรเป็นสองส่วน มังกรอสูรทำได้แค่บินอย่างอ่อนแอก่อนจะสลายไป
ซือหยูรู้จักพลังนี้…มันคือผนึกเทพ!
ยอดฝีมือในขอบเขตจ้าวเทวะนั้นจะมีพลังอีกเป็นจำนวนมากหากรวบรวมผนึกเทพมาได้พลังนี้คือเหตุผลหลักที่จ้าวเทวะสามารถบดขยี้ภูติได้ทุกคน
ซือหยูจจ้องมองชายแก่เขายังคงตกใจเล็กน้อยแต่ก็คิดว่ามันมีเหตุผล
“คิดอยู่แล้วเชียวว่าใครมาเป็นคนจ่ายภารกิจของตำหนักโลหิตเองสินะ! ทำไมถึงตามข้ามาเป็นหมื่นลี้? อยากจะมาเสวนากับข้ารึ?”
ซือหยูรู้อยู่แล้วว่าชายแก่ผู้นี้มุ่งร้ายต่อเขาแต่เขาไม่คิดว่าชายแก่จะนำภูติระดับเก้าสามคนมาตามล่าตัวเขา! ซือหยูเพียงพบชายแก่แค่สองครั้งและไม่ได้ทำเรื่องร้ายต่อกัน ชายแก่จึงไม่น่าจะมีเหตุผลต้องเสี่ยงชีวิตตามล่าซือหยู
เช่นนั้นก็แสดงว่าเขาถูกจ้างวานมาจากคนอื่นส่วนคนที่อยู่เบื้องหลังก็ย่อมชัดเจนอยู่แล้ว…เพราะไม่เป็นเล่าอ๋ายก็ต้องเป็นเจ้าตระกูลเฉา!
ผู้จ่ายภารกิจฉีดึงมือกลับและมองซือหยูด้วยความตกใจเขาคิดในใจ…เจ้าเด็กนี่บ่มเพาะวิชาอสูรอะไรกัน? เหตุใดมันดุร้ายเช่นนี้? แม้แต่ภูติระดับเก้าก็ป้องกันไม่ได้!
ไม่ว่าเขาจะคิดเท่าใดก็ไม่รู้ที่มาของมังกรอสูรนั้นก็เพราะไม่มีใครเคยบ่มเพาะวิชาเก้ามังกรอสูรมาก่อนยกเว้นผู้สร้างวิชา
เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยของซือหยูผู้จ่ายภารกิจฉีพูดอย่างเกรี้ยวกราด
“เจ้าก็แค่คนกำลังจะตายแต่เจ้ายังกล้าหยาบคายเช่นนี้! วันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า! ต้วนเฉียน ไป่จาง เจ้าไปขวางทางแล้วทิ้งไอ้เด็กนี่ให้ข้า!”
เมื่อได้ยินคำสั่งทั้งสองกัดฟันไปขวางทางหนีของซือหยู ซือหยูไม่ขยับแม้แต่นิดเดียวเพราะไม่คิดจะหนีอยู่แล้ว
เขาเพียงแค่มองผู้จ่ายภารกิจฉีอย่างใจเย็น
“เจ้าอายุปูนนี้แล้วใยไม่ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ?จะเสี่ยงทำไมกัน? เล่าอ๋ายกับเจ้าตระกูลเฉาคงเสนอสิ่งล่อตาเจ้าสินะ?”
ผู้จ่ายภารกิจฉีเถียงกลับ
“มันล่อตาจนข้ามิอาจปฏิเสธข้าไม่คิดเลยว่าหัวเจ้าจะมีค่าเช่นนี้! ข้าได้ยินว่าเจ้ามีสหายในตำหนัก พอเอาหัวเจ้าไปแล้ว ข้าจะไปถามเจ้าตระกูลเฉาว่าหัวของสหายเจ้ามีค่าหรือไม่!”
ซือหยูหรี่ตายิ้มมุมปากเขาหัวเราะเบาๆ
“หึหึ!ไม่ว่าข้อเสนอจะล่อใจเจ้าแค่ไหน เจ้าก็ควรจะรักษาชีวิตเอาไว้! แต่ก็น่าเสียดายที่เจ้าขุดหลุมฝังตัวเองเสียแล้ว!”
ผู้จ่ายภารกิจฉีหาได้โกรธเขากลับหัวเราะ
“เจ้าหมายถึง…แค่เพราะเจ้าน่ะเรอะ?ย่อมได้…เจ้าไปขโมยวิชาอสูรมาจากผู้เฒ่าคนไหน? ถ้าเจ้าส่งให้ข้าแต่โดยดี ข้าจะให้เจ้าได้ตายดี แต่ถ้าไม่ ข้ามีหลายวิธีที่จะจัดการกับเจ้า เจ้าคิดไม่ถึงแน่!”
ซือหยูยักไหล่
“หากเจ้าอยากได้วิชานี้นักใยไม่ลองดูสักหลายๆครั้งเล่า?”
แววตาซือหยูเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งเขาขยับมือทั้งสอง มังกรอสูรยาวร้อยศอกบินออกมาอีกครั้ง มันร้องคำรามพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย
ผู้จ่ายภารกิจฉีแสยะยิ้ม
“เจ้าใช้ความสามารถออกมาหมดแล้วจงดูข้าทำลายวิชาของเจ้าซะ…”
ซือหยูหัวเราะราวกับปีศาจ
“อย่างนั้นหรือ?ถ้าเจ้ามั่นใจนัก ข้าขอเพิ่มความยากให้เจ้าจะดีหรือไม่?”
เสียงมังกรคำรามดังอีกครั้งมังกรยาวร้อยศอกตัวที่สองพุ่งออกมาจากอกของซือหยู มังกรอสูรทั้งสองพุ่งเข้าใส่ผู้จ่ายภารกิจฉีพร้อมกัน!
อีกฝ่ายชักสีหน้าความตกตะลึงปรากฏ
“เจ้ายังมีมังกรอยู่อีกเรอะ?”
เขาคิดว่าซือหยูใช้พลังทั้งหมดในการต่อสู้กับเฉาฉิงเฟิงไปแล้วแต่ซือหยูยังมีวิชาอสูรโหดร้ายที่สามารถอัญเชิญมังกรอสูรได้หลายตัว!
จากนั้นตอนที่เขาคิดว่าเขาสามารถเอาชนะซือหยูได้ ซือหยูก็เรียกมังกรมาอีกตัว! เขาโกรธแค้นเมื่อคิดว่าซือหยูยังคงซ่อนพลังเอาไว้อยู่อีก…ภูติระดับสามมีวิชาที่คาดเดาไม่ได้อยู่มากมายเช่นนี้ได้ยังไง? แล้วทำไมเขาถึงเจ้าอุบายเช่นนี้?
แม้ว่าเขาจะยังตกใจเขาก็รีบใช้ผนึกเทพและเผชิญหน้ากับมังกรอสูรสองตัวอย่างห้าวหาญ เงาแมงป่องยักษ์ปรากฏอีกครั้ง มันใช้ก้ามทั้งสองที่แข็งแกร่งบั่นคอมังกรแต่ละตัว
มันปล่อยพลังทั้งหมดลงบนก้ามหวังจะบั่นคอมังกรอีกครั้งแต่ครั้งนี้ มังกรอีกตัวพุ่งเข้าใส่มันอย่างแรง แมงป่องยักษ์ตีลังกากระเด็นไปนับลี้
ผู้จ่ายภารกิจฉีที่ขยับมือไปมาเพื่อควบคุมแมงป่องยักษ์โงนเงนผนึกเทพที่ลอยเหรือศีรษะสั่นเบาๆ ไม่แปลกเลย เพราะถ้าหากผนึกเทพถูกโจมตี เจ้าของก็ต้องได้รับพลังเข้ามาด้วย
ผู้จ่ายภารกิจฉีโกรธจัดเพราะเขาเป็นจ้าวเทวะ แต่กลับพ่ายแพ้หมดท่าให้ภูติระดับสาม!

The Divine Nine Dragon Cauldron

The Divine Nine Dragon Cauldron

หนึ่งประสงค์ทำลายสุริยันจันทราและหมู่ดารา ดัชนีเดียวเข่นฆ่าราชันย์สวรรค์ เพียงปริปากทั้งสวรรค์แลสิบภพพลันวินาศ เด็กยากจนเดินทางออกจากหุบเขาห่างไกลพร้อมกับมังกรนพเก้าและหม้อวิเศษที่ควบคุมกาลเวลาและพื้นที่กว้างใหญ่ เขาใฝ่หาเส้นทางแห่งพระเจ้าเพื่อท้าทายจักรวาลอันไม่มีสิ้นสุดและต่อสู้กับยุคสมัยในตำนาน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset