“ท่านอาจารย์” เฉินอู๋ตี๋ว่าแล้วนั่งลงหน้ากองไฟ จากนั้นก็จ้องเปลวไฟอย่างตกในภวังค์ “ข้าปราบราชาปีศาจเสือดาวแล้ว ทำไมหญิงนางนั้นถึงขับไสไล่ส่งข้าล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป เขาอยากบอกเฉินอู๋ตี๋ว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นซับซ้อนนัก และคนบางคนไม่คู่ควรแก่การช่วยเหลือ แต่เขากลัวว่ามันจะเป็นการทำลายความใสซื่อของเฉินอู๋ตี๋ไป
หากโลกนี้มีฉีเทียนต้าเซิ่งโดนเริ่นเสี่ยวซู่เกลี้ยกล่อมให้กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาได้ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลยว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย
ตอนนี้เอง หวังฟู่กุ้ยก็หัวเราะคิกคักอยู่ด้านข้าง “นายนี่มันคนมีงานมีการทำเยอะจริงๆ นะ ถ้านายรู้จักปรับใช้แนวคิดที่ว่า ‘ไม่ใช่เรื่องของนาย’ และ ‘ไม่ใช่เรื่องของฉัน’ มาใช้ละก็ ชีวิตนายจะสบายขึ้นเยอะเลยละ”
“เจ้าหมายความว่าเช่นไร” เฉินอู๋ตี๋เงยหน้าขึ้น นิ่งไป
“ฟังนะ” หวังฟู่กุ้ยพูดอย่างตรงไปตรงมา “ทำไมนายอยู่ดีๆ ต้องไปยุ่งเรื่องของคนอื่นด้วยล่ะ ถ้าไม่ยุ่งละก็…”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” เฉินอู๋ตี๋ขัด
หวังฟู่กุ้ย “…”
“ฮาๆ!” เริ่นเสี่ยวซู่ เหยียนลิ่วหยวน และเสี่ยวอวี้ระเบิดหัวเราะออกมาทันที เฉินอู๋ตี๋เชี่ยวชาญการใช้วลี ‘ไม่ใช่เรื่องของนาย’ แล้ว เยี่ยมเลย
ส่วนที่ว่าจะเรียนรู้ ‘ไม่ใช่เรื่องของฉัน’ ได้หรือไม่นั้น เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่ามันอยู่ที่เขาแล้วละว่าพร้อมจะเรียนรู้หรือเปล่า
เช้าวันต่อมา เริ่นเสี่ยวซู่และพรรคพวกตื่นแต่เช้าแล้วเผามันหวานกินกัน มีคนไม่น้อยต้องการนอนมากกว่าที่จะตื่นขึ้นมากินอาหาร แต่ในความจริง ฤดูเช่นนี้ถ้าไม่ตื่นขึ้นมากินแต่เช้า ร่างกายจะหนาวเย็นไปทั้งวัน
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าคนของสมาคมตระกูลชิ่งตื่นขึ้นมากันแล้วเหมือนกัน อย่างไรทหารก็ไม่เหมือนผู้หลบหนีทั่วไป พวกเขามีกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติตามอยู่
สภาพของผู้หลบหนีวันนี้ดีกว่าวันก่อนมาก มีคนป่วยแล้วเป็นไข้ล้มหมอนนอนเสื่อบ้างตามปกติ แต่ไม่มากนัก
ตอนที่สมาคมตระกูลชิ่งเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เหล่าผู้อพยพก็ตามไป ทุกคนก้มหน้าตามสมาคมตระกูลชิ่งไปอย่างไม่ละสายตา
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองกลุ่มผู้หลบหนี แล้วเห็นว่า ‘ราชาปีศาจเสือดาว’ ที่โดนเฉินอู๋ตี๋ปราบไปเมื่อคืนนั้นกำลังนอนลมหายใจรวยริน ส่วนผู้หญิงที่อยู่กับเขาก่อนหน้านั้นเข้าไปร่วมผสมกับกลุ่มใหญ่ไปแล้ว
นอนบนพื้นไร้คนช่วยเหลือ ย่อมมีแต่ความตายอยู่ปลายทาง
เอาจริงๆ ถ้าที่เขาพูดเป็นไม่ใช่เรื่องเท็จ ตอนอยู่ป้อมปราการก็เป็นเขาคอยดูแลเธอ แล้วที่หนีมาได้ก็เพราะเขาอีก แต่พอเขาเจอปัญหา หญิงนางนั้นกลับทิ้งเขาไปอย่างไม่ไยดี
บนโลกเช่นนี้ ยากบอกใครสมควรตายมากกว่าใคร
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองคนของสมาคม รถอีกสองคันที่เหลือค่อยๆ ขับไปอย่างช้าๆ ผู้ที่ไม่อาจนั่งรถไปได้ก็จะเดินเท้าเอา
แต่ที่เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจคือหลัวหลานเองก็ออกมาเดินเท้าแทนที่จะนั่งรถไป
ทำไมล่ะ เขาอยากฟิตหุ่นอย่างนั้นเหรอ
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตั้งใจสำรวจมองดีๆ ว่าทหารจำพวกไหนถึงได้นั่งรถแทน ไม่น่ามีใครสำคัญไปกว่าหลัวหลานนี่?
เริ่นเสี่ยวซู่มองไปแล้วก็นิ่งงันในทันใด เขาเห็นทหารในผ้าพันแผลอยู่ท้ายรถบรรทุกทหารและรถออฟโรด รถบรรทุกบรรจุไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์และกระสุนไปเสียครึ่ง
ปืนกับกระสุนเป็นของที่ไม่อาจทิ้งไปได้ ต่อให้ทหารถูกบังคับให้เดินเท้า ก็ยังต้องแบกอาวุธไปด้วยอยู่ดี อย่างไรนี่ก็เป็นของเพียงอย่างเดียวที่ใช้ปกป้องชีวิตได้!
พวกทหารช่วยสร้างทางหลบหนีจากพวกแมลงหน้าคนให้หลัวหลาน ดังนั้นหลัวหลานย่อมให้พวกเขาอยู่บนรถแทนตน
แต่ก็ยังมีทหารที่แม้บาดเจ็บแต่ก็ยังต้องออกมาเดิน เพราะบนรถเต็มไปด้วยคนจนล้นแล้ว ผู้ที่ยังเดินได้อยู่จึงไม่ได้อยู่บนรถด้วย
แต่ทหารบาดเจ็บที่นอกรถไม่ได้รู้สึกไม่พอใจหรือริษยาอะไร เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าพวกเขาเดินทัพไปยังมีการหัวเราะพูดคุยกันอยู่เลย
เริ่นเสี่ยวซู่นึกว่าหลัวหลานจะทิ้งคนเจ็บและขับตรงไปป้อมปราการ 109 เลยเสียอีก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงทำให้เขาประหลาดใจนัก
สองพี่น้องชิ่งเจิ่นและหลัวหลานคู่นี้…ถึงว่าทำไมถึงผู้มีพลังพิเศษยอมตายเพื่อชิ่งเจิ่นได้
ในความเป็นจริงแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลยว่าผู้มีพลังพิเศษที่ตายไปนั้นไม่ใช่เป็นชิ่งเจิ่นจ้างมา แต่เป็นทหารในกองพลน้อยของชิ่งเจิ่นต่างหาก หลังจากปลุกพลังแล้ว เขาก็ยังคงจงรักภักดีต่อชิ่งเจิ่นและกลายมาเป็นบอดี้การ์ดให้เขา
คืนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกไม่สบายใจชอบกล แม้แต่เสี่ยวอวี้เองยังรู้สึกอยู่ไม่สุข เสียวอวี้ถาม “เสี่ยวซู่ มันมีอะไรกันแน่”
“ไม่มีอะไร” เริ่นเสี่ยวซู่หันไปกองไฟ แล้วส่ายหน้า “แค่สังหรณ์ไม่ดีน่ะ”
เขายังไม่รู้ว่ามีอะไรผิดแผกแปลกไป…แต่มันเหมือนกับตอนที่เขาเผชิญอันตรายอย่างใหญ่หลวงในเขาจิ้งซานเลย
ค่ำคืนรัตติกาลมืดสนิท ปกคลุมพวกเขาราวกรงขัง
“ไปกันเถอะ” เริ่นเสี่ยวซู่ใช้เท้าเขี่ยดับไฟ “คืนนี้พวกเราไม่อยู่ต่อแล้ว”
หลังจากคิดพินิจใคร่ครวญแล้ว เขาก็ยังเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองอยู่ดี เพราะสัญชาตญาณของเขาช่วยตัวเองมาหลายครั้งแล้ว
จางจิ่งหลินเคยบอกว่า นักวิทยาศาสตร์ในยุคสมัยก่อนภัยพิบัตินั้นในพิสูจน์แล้วว่า ‘ลางสังหรณ์’ นั้นมีจริง
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ยืนขึ้นแล้วดับกองไฟนั้น เหล่าผู้หลบหนีรอบๆ ก็มองมาด้วยสีหน้างุนงง เจียงอู๋ตอบโต้ไวสุด ก่อนที่ทุกคนจะทันคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เธอเร่งรัดพวกนักเรียนแล้ว
ถึงเธอไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นก็เถอะ แต่เธอรู้ว่าหนีไปพร้อมกับเริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีอะไรพลาดแน่นอน!
มีคนสงสัย “เจ้าหนุ่มนั่นบ้าไปแล้วเหรอ”
“ไม่รู้สิ”
“พี่ พวกเรากำลังไปไหนกันน่ะ” เหยียนลิ่วหยวนถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “ออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน”
แต่ตอนที่พวกเขาเพิ่งแยกกลุ่มจากผู้หลบหนีคนอื่นแล้วกำลังจะผ่านแคมป์ของสมาคมตระกูลชิ่งไปนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงโซ่ลากพื้นดังมาจากข้างหลัง!
แถมเสียงยังใกล้เข้ามามากแล้วด้วย!
“วิ่ง!” เริ่นเสี่ยวซู่แหวเสียงเบา เขาเป็นคนเดียวในหมู่ผู้หลบหนีจำนวนนับไม่ถ้วนที่รู้ว่ามีอะไรตามหลังมา!
ย้อนไปตอนในเขาจิ้งซาน พอเขาเห็นตัวทดลองทั้งฝูงพุ่งมา สัญชาตญาณของเขาก็กรีดร้องให้หลบหนี เขากลับหลังหันหนีโดยไม่ชะงักแม้เพียงเสี้ยววินาทีถึงจะรู้ว่าต้องไปเผชิญหน้ากับสมาคมตระกูลชิ่งแทนก็ตาม! ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีตัวทดลองมากน้อยเพียงไร รู้แต่ว่าถ้าไม่หนี ก็ตาย!
สองวันมานี้เริ่นเสี่ยวซู่กังวลเรื่องหมาป่ากับพวกตัวทดลองมากที่สุดแล้ว และความกังวลนี้ก็จะไม่หายไปจนกว่าเขาจะถึงป้อมปราการ 109
เขาหวังว่าป้อมปราการพี่พังลงจะดูดพวกตัวทดลองและหมาป่าเข้าไปหมด แต่ตอนนี้ความหวังได้มลายสิ้นเสียแล้ว ตอนนี้ได้แต่ใช้เวลาที่เหลืออยู่หนีสุดตัว!
กระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่บ้าง ตัวทดลองจะเคลื่อนไหวเฉพาะในเขตป่าไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้พวกมันถึงออกมาจากป่ากันแล้วล่ะ!
หวังฟู่กุ้ยและคนอื่นๆ ไม่รู้หรอกว่าทำไมเริ่นเสี่ยวซู่ถึงบอกให้พวกเขาหนี แต่พวกเขาเชื่อในคำพูดของเริ่นเสี่ยวซู่
“แล้วพวกมันหวานล่ะพ่อ!” หวังต้าหลงวิ่งไปตะโกนไป
หวังฟู่กุ้ยหันมาปัดมันหวานในอ้อมแขนหวังต้าหลงออกไปหมด “ตายแล้วจะได้กินมันหวานต่อไหมล่ะ! รีบตามเริ่นเสี่ยวซู่ไปเร็ว!”
เสียงโซ่ลากพื้นจากข้างหลังดังขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พอทุกคนหันไปข้างหลัง ก็เห็นเป็นตัวทดลองคลานยุบยับตามมาราวแมงมุม ไม่ต่างกับปีศาจร้าย!
ตอนนี้แหละที่เหล่าผู้หลบหนีต่างกรีดร้องอย่างเสียขวัญ วิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น!
แต่กลุ่มผู้หลบหนีใหญ่เกินไป กลุ่มที่อยู่ข้างหน้ายังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกัน ส่วนกลุ่มที่อยู่ด้านหลังขบวนก็วิ่งหนีตายกันยกใหญ่ ผลคือคนมากมายต่างกระแทกกันเองจนล้มลง!
เสียงกรีดร้องเสียขวัญดังมาจากคนข้างหลัง ตัวทดลองนับร้อยทะยานเข้าฝูงชน และเริ่มออกล่าฆ่าฟันอย่างบ้าคลั่ง!
พอพวกมันฆ่าไปหนึ่งคน ก็ไม่รีรอกระโจนไปอีกหนึ่ง ราวกับต้องการฆ่าผู้หลบหนีทุกคนให้เหี้ยน!
พอเริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองข้างหลัง ก็เห็นตัวทดลองตัวหนึ่งเดินตัวตรงอยู่หลังตัวทดลองคลั่งตัวอื่นๆ มันมองมาที่เริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสายตาเย็นเยียบ
เริ่นเสี่ยวซู่พลันเดาว่ามีอะไรบางอย่างกำลังควบคุมตัวทดลองพวกนี้อยู่ พวกมันยังไม่สูญสิ้นสติปัญญาไปเสียหมด