พอยาดำทาลงบนบาดแผลของถังโจว เขารู้สึกเหมือนถูกฉุดขึ้นมาจากนรกอเวจี
ฤทธิ์ระงับความเจ็บปวดของยาดำนั้นได้ผลชะงัดอย่างน่าเหลือเชื่อ ทาแล้วให้ความรู้สึกเย็นสบายบนบาดแผล
ถังโจวเงยหน้ามองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างตกตะลึง “นี่เป็นยาเดียวกันกับที่เจ้านายใช้จริงเหรอเนี่ย!”
“…” หลัวหลานไม่พอใจในทันควัน “ไม่พูดแล้วจะตายไหม เงียบไปเลยนะ!”
“คนบาดเจ็บคนไหนขับรถเป็น” เริ่นเสี่ยวซู่ขัดพวกเขา “ถ้าไม่อยากตายก็ขึ้นรถไปเร็ว แล้วรีบออกไปจากที่นี่กัน”
ทุกคนเงียบไป ทหารที่บาดเจ็บนายหนี่งกัดฟันยันตัวขึ้น แล้วปีนขึ้นไปบนฝั่งที่นั่งคนขับรถ เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ววูบ หันไปกล่าวกับหลัวหลาน “นายขับแทนได้ไหม สภาพแบบนั้นอาจจะตายคาที่ตอนขับรถก็ได้”
หลัวหลานพูดอย่างสิ้นหวัง “ฉันขับรถไม่เป็น…”
“นายขับรถไม่เป็น?” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นายเป็นถึงคนใหญ่คนโตในป้อมนะ แค่ขับรถยังขับไม่เป็นเนี่ยนะ”
“ขับรถเป็นกับการเป็นคนใหญ่คนโตมันไม่เกี่ยวกันสักหน่อย” หลัวหลานว่าอย่างพูดไม่ออก “อะ เดี๋ยวนะ มันเกี่ยวกันนี่หน่า เป็นเพราะว่าตอนออกข้างนอก ฉันมีคนขับรถให้ตลอด ฉันเลยไม่ต้องเรียนขับรถไง”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีเวลาจะโต้เถียงด้วยแล้ว “รีบขึ้นรถบรรทุกเลยไป”
จากบันทึกของสมาคมตระกูลชิ่ง เริ่นเสี่ยวซู่เพียงแค่แข็งแกร่งกว่าผู้อพยพคนอื่นอยู่บ้างเท่านั้น สูเสี่ยนฉู่ต่างหากที่เป็นตัวอันตรายที่สุด
ตอนที่รถบรรทุกขับผ่านจุดที่เริ่นเสี่ยวซู่กับเฉินอู๋ตี๋ฆ่าพวกตัวทดลอง หลัวหลานถึงกับนับว่ามีกี่ตัว รวมแล้วมีตัวทดลองทั้งสิ้นสามตัวที่ถูกฆ่าไป รวมหนึ่งตัวที่กระโดดใส่รถออฟโรดนั่นด้วย
ว่าตามตรงเริ่นเสี่ยวซู่ไม่น่าจะมีความสามารถจะทำเช่นนี้ได้ หลัวหลานพลันรู้สึกว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเริ่นเสี่ยวซู่หน้าคุ้นๆ อยู่บ้าง แต่เขาจำไม่ได้ว่าเป็นใครเพราะกำลังตกอยู่ในอาการเสียขวัญ
ไม่นานนัก รถบรรทุกก็ขับผ่านพวกเสี่ยวอวี้ เริ่นเสี่ยวซู่ยื่นหัวออกมาจากหลังรถบรรทุกทหารแล้วว่า “ขึ้นมาโลด!”
เจียงอู๋ยืนอยู่ตรงนั้น คอยมองพวกเหยียนลิ่วหยวนปีนขึ้นรถบรรทุกไป เธออึกอักพูด “พวกเราไปด้วยได้ไหมคะ อย่างน้อยขอแค่ให้นักเรียนขึ้นไปก็ได้ ไม่ต้องห่วงฉัน”
เจียงอู๋รู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีสายสัมพันธ์อะไรกับกลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่หรอก พวกเธอจะได้ขึ้นหรือไม่ได้ขึ้นนั้นอยู่ที่คำพูดของเขาคนเดียว และเธอก็รู้ดีว่าเธอต้องเอ่ยคำขอนี้ไป
เริ่นเสี่ยวซู่มองเจียงอู๋เล็กน้อย “ก็กะจะให้ขึ้นมาอยู่แล้วละ”
“ขอบคุณค่ะ! ขอบคุณมากเลยนะคะ!” เจียงอู๋ตื่นเต้นขึ้นมา รีบเร่งพวกนักเรียน “ทุกคนขึ้นไปบนรถบรรทุกเร็ว แล้วอย่าลืมขอบคุณเขาที่ช่วยชีวิตพวกเราล่ะ!”
กลุ่มนักเรียนขึ้นท้ายรถบรรทุก และเห็นว่ามันมีพื้นที่เหลือเฟือให้ทุกคนนั่งลง มีแต่หลัวหลานที่นั่งอยู่มุมหนึ่งที่บ่นงึมงำ “นี่มันรถของฉันไม่ใช่เหรอฟะ”
ทำไมถึงกลายเป็นเริ่นเสี่ยวซู่ที่มีอำนาจสั่งการล่ะ
แต่หลัวหลานได้แต่รับไปตามนั้น ตอนนี้เขาพบว่าเริ่นเสี่ยวซู่มีอำนาจมากที่สุดในกลุ่มแล้ว
ตอนเริ่นเสี่ยวซู่รักษาบาดแผลให้พวกถังโจวนั้น เขาตั้งใจยึดอาวุธไปหมดด้วย
นักเรียนทุกคนขึ้นมาก็กล่าวคำขอบคุณแก่เริ่นเสี่ยวซู่ เขาพบว่าตัวเองได้เหรียญคำขอบคุณมากกว่ายี่สิบเหรียญในชั่วพริบตา นักเรียนพวกนี้ขอบคุณเขาออกมาจากใจจริง
บางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ก็คิดว่าอาจจะเป็นเจียงอู๋นั่นแหละที่มีอิทธิพลให้นักเรียนเป็นแบบนี้ เป็นเพียงคนธรรมดาท่ามกลางหายนะ แต่ครูสาวผู้นี้กลับแสดงความเลอค่าในธรรมชาติของมนุษย์
เริ่นเสี่ยวซู่ที่อาศัยอยู่ในเมืองน้อยอันไร้กฎระเบียบ พลันรู้สึกอิจฉาขึ้นมาอยู่จางๆ
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ได้เหรียญคำขอบคุณจากทุกคนมาห้าสิบแปดเหรียญ ซึ่งรวมไปถึงเหรียญที่ได้จากถังโจว หลัวหลาน และทหารคนอื่นๆ ด้วย เหรียญที่เขาหามาได้ในภารกิจรองนี้ ไวกว่าที่หามาได้ตอนภารกิจก่อนหน้าอีก
พอทุกคนขึ้นมาบนรถแล้ว ทุกคนก็นั่งอย่างเงียบงัน หลังจากเกือบตายมาทุกคนก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์อันแปลกไป มีแต่คนที่ใกล้ตายเท่านั้นถึงอยากมีชีวิตต่อสุดใจ
เสี่ยวอวี้และเหยียนลิ่วหยวนหยิบอาหารออกมาจากกระเป๋าและส่งให้เริ่นเสี่ยวซู่กับเฉินอู๋ตี๋ พวกเขารู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่และเฉินอู๋ตี๋นั้นต้องการสารอาหารมาทดแทนพลังงานที่ใช้ไปในการต่อสู้
ทันใดนั้นสายตาของหลัวหลานที่มองเฉินอู๋ตี๋อยู่ก็ฉายประกายวูบ เขาจำได้แล้วว่าคนผู้นี้คือใคร!
“นายคือเจ้าคนบ้าโรงพยาบาลจิตเวชนี่” หลัวหลานนั่งหลังตรง “ชื่อของนาย…ใช่แล้ว ชื่อของนายคือเฉินอู๋ตี๋!”
ในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมที่แท้จริงแห่งป้อมปราการ หลัวหลานจะไม่รู้จักโรงพยาบาลจิตเวชที่สามได้อย่างไร แถมข้อมูลของผู้มีพลังพิเศษทุกคนที่นำมาคุมขังนั้น ล้วนถูกรายงานกลับมาที่เขา เนื้อหาข้อมูลนั้นลงข้อมูลไว้อย่างละเอียดยิบ ถึงกับมีข้อมูลกิจวัตรประจำวัน คำที่พูดประจำ และพฤติกรรมที่แสดงออกด้วยซ้ำไป!
แม้แต่สำหรับสมาคมตระกูลชิ่งเอง ผู้มีพลังพิเศษก็เป็นทรัพยากรที่สำคัญมาก สามารถใช้เป็นแหล่งศึกษาวิจัยหรือเพื่อใช้งานเองก็ได้ สมาคมไม่อาจมองข้ามการดำรงอยู่ของคนพวกนี้ไป
หลัวหลานรู้แจ้งในพลันว่าใครฆ่าตัวทดลองไป
แต่เขาเห็นเพียงสิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่อยากให้เห็นเท่านั้น
เฉินอู๋ตี๋มองหลัวหลาน ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันมองหลัวหลานดีๆ แถมตอนนั้นใบหน้าของหลัวหลานก็มีแต่คราบโลหิตเหลือง หลังจากเช็ดหน้าให้สะอาดแล้ว เฉินอู๋ตี๋ก็จำหน้าหลัวหลานได้ “เป็นเจ้านี่เอง เปินปัวเออร์ป้า[1]”
“เปินป้าเอ็งสิ” หลัวหลานหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาก็เคยอ่านไซอิ๋วมาเหมือนกันนะ “เจ้าบ้า อย่าพูดมั่วซั่วนะ ใครเป็นเปินปัวเออร์ป้า”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองหลัวหลานวูบหนึ่ง เขาจำได้ว่าถ้าเฉินอู๋ตี๋คิดจะตีคน เขาต้องเรียกขานคนผู้นั้นด้วยชื่อปีศาจเสียก่อน
เฉินอู๋ตี๋มองหลัวหลานอย่างไม่พอใจ “ต่อไปเรียกข้าว่าฉีเทียนต้าเซิ่ง แล้วก็นะ ข้าหาใช่คนบ้าไม่”
หลัวหลานเหวี่ยง “คนบ้าไม่ยอมรับว่าตัวเองบ้าหรอก นายบอกนายเป็นฉีเทียนต้าเซิ่งที่ต้องคอยปกปักษ์อาจารย์ระหว่างไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิมไม่ใช่เหรอไง อันดับแรกนายต้องหาอาจารย์ก่อนนะ ไหนอาจารย์นายล่ะ”
ทั้งคันรถเงียบไป…
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็หันไปหาหลัวหลาน แล้วพูด “ฉันเป็นอาจารย์ของเขา”
หวังฟู่กุ้ยพูด “ฉันเป็นตือโป๊ยก่าย”
หวังต้าหลงมองหวังฟู่กุ้ยที เริ่นเสี่ยวซู่ที หลังจากจดๆ จ้องๆ ไม่กี่วินาที ก็พูด “ฉันคือซัวเจ๋ง…”
หลัวหลาน “???”
บนรถบรรทุกมีคนป่วยทางจิตเวชกี่คนเนี่ย หลัวหลานนิ่งอิ้งไปเลย “ถามจริง?”
ทันใดนั้นทหารนายที่ขับรถอยู่ก็ตะโกน “ข้างหน้ามีเรื่อง!”
หลังจากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงเหยียบเบรกเสียดหู เหมือนกับว่าพลขับเพิ่งเห็นภาพอันน่าตกตะลึง
“เกิดอะไรขึ้น” เริ่นเสี่ยวซู่ถามเสียงจริงจัง
“ข้างหน้ามีรถอยู่สองสามคัน” พลขับตอบ “ไม่สิ ข้างหน้ามีรถพังอยู่สองสามคัน ดูเหมือนว่าจะขับมาจากทางป้อมปราการ 109”
[1] เปินปัวเออร์ป้า (奔波兒灞) และ ป้าปัวเออร์เปิน (灞波兒奔) เป็นสองสมุนปีศาจของจิ่วโถวฝู่หม่า (九頭駙馬) ราชบุตรเขยเก้าหัว