ที่เริ่นเสี่ยวซู่ช่วยชีวิตหลัวหลาน ก็เพราะต้องการใช้เขาเป็นตัวนำพวกตนเข้าป้อมปราการไป ตอนนี้จุดประสงค์บรรลุแล้ว ความปรารถนาของเขาในที่สุดก็เป็นจริง
ส่วนที่ว่าหลัวหลานกับชิ่งเจิ่นจะโน้มน้าวสมาคมตระกูลหลี่และผู้ปกครองป้อมได้หรือไม่นั้น ก็อยู่ที่พวกเขาแล้ว อย่างไรเสียองค์กรต่างๆ ก็มีข้อตกลงกันอยู่ตลอด อย่างไรก็คงต้องไว้หน้ากันบ้าง
จากน้ำเสียงของชิ่งเจิ่น เรื่องนี้ดูจะไม่ยากอะไรนัก
หวังฟู่กุ้ยที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจออกมา แล้วว่าเสียงเบา “เรื่องบางเรื่องสำหรับพวกเรายากนัก แต่ในโลกของพวกเขาก็แค่คำไม่กี่คำเท่านั้น”
หลัวหลานพูด “ถ้าพวกเราสัญญาอะไรไปแล้ว สมาคมตระกูลชิ่งของเราก็ทำให้มันสมบูรณ์ให้ได้ องค์กรใหญ่โตอย่างพวกเราจะโกหกผู้อพยพไม่กี่คนไปทำไม”
ทันใดนั้นหวังฟู่กุ้ยก็ถามหลัวหลาน “เสี่ยวซู่ช่วยชีวิตนายไว้ใช่ไหม”
“ก็ใช่” หลัวหลานเลิกคิ้วว่า
“เถ้าแก่หลัวเป็นคนใหญ่คนโต” หวังฟู่กุ้ยเอ่ย ดวงตาฉายประกายปัญญา “ในเมื่อชีวิตท่านมีค่ามาก ไฉนแค่พาพวกเราเข้าป้อมปราการไปจะเพียงพอได้ ถ้าเรื่องนี้หลุดไปเข้าหูผู้อื่น ผู้อื่นคงว่าสมาคมตระกูลชิ่งขี้เหนียวนัก”
ตอนที่หวังฟู่กุ้ยหนีออกมาจากเมืองพร้อมเริ่นเสี่ยวซู่ เขาพูดอย่างชัดเจนกับเริ่นเสี่ยวซู่เรื่องคุณค่าที่ตนจะนำมาสู่คณะได้ ตอนนี้ถึงเวลาให้แสดงของแล้ว
ที่จริงหวังฟู่กุ้ยก็รู้อยู่ว่าตัวเองมีจุดด้อยตรงไหน เขาเห็นโลกนี้มาไม่มากนัก จะต่อรองกับคนใหญ่คนโตอย่างหลัวหลานต้องออกมาไม่ราบรื่นแน่ เอาจริงๆ แล้วหลัวหลานอาจจะลอบดูหมิ่นตนด้วยซ้ำ ที่กล้ามาขอความช่วยเหลือทั้งๆ ที่ไม่มีคุณสมบัติอะไรเลย แต่เรื่องนั้นเขาไม่สนแล้ว หวังฟู่กุ้ยต้องใช้ความสามารถสุดตัว ช่วงชิงเงื่อนไขที่ดีที่สุดมาให้เริ่นเสี่ยวซู่ให้ได้ เพราะอย่างนั้นเขาถึงพร้อมจะเป็นคนหน้าไม่อายแล้ว
จากที่ชิ่งเจิ่นและหลัวหลานคุยกัน หวังฟู่กุ้ยเห็นว่าสถานะพลเมืองของป้อมปราการอย่างถูกกฎหมายนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำครับพวกคนใหญ่คนโตเหล่านี้เลย เขาเลยคิดหวังอยากจะได้รับอะไรมากกว่านี้จากพวกเขา
“อยากได้อะไรกันอีกล่ะ” หลัวหลานพิงท้ายรถบรรทุกอย่างสบายอารมณ์แล้วมองไปที่หวังฟู่กุ้ย “แต่อย่าคิดเรียกร้องอะไรเกิดเหตุ!”
หวังฟู่กุ้ยได้ยินเช่นนั้นก็เต็มไปด้วยความหวัง เขาพูด “พวกเราอยากได้ร้านค้าร้านหนึ่ง สมาคมตระกูลชิ่งน่าจะมี ทรัพย์สินในป้อมปราการ 109 ไม่น้อย แค่ร้านค้าร้านเดียวไม่ได้น่ามีปัญหาหรอก!”
หลัวหลานต่อรอง “ชีวิตฉันไม่มีค่าขนาดร้านค้าร้านหนึ่งหรอกนะ”
เหล่าหวังผงะไปเล็กน้อย ทำแบบนี้นี่ เจ้าหลัวหลานหน้าไม่อายจริง หวังฟู่กุ้ยเป็นผู้อพยพ จะหน้าไม่อายไม่เห็นเป็นอะไร แต่คนใหญ่คนโตคนหนึ่งของสมาคมตระกูลชิ่งทำไมถึงทำตัวหน้าหนาได้ถึงแบบนี้กัน
หวังฟู่กุ้ยไม่รู้หรอกว่าคนที่หน้าไม่อายที่สุดในโลก ก็คือพวกที่อยู่ในองค์กรต่างๆ นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงก่อตั้งองค์กรขึ้นมาไม่ได้แต่แรกแล้ว
หวังฟู่กุ้ยถามหลัวหลาน “น้องชายของนายบอกว่าเขาเป็นหนึ่งหนี้บุญคุณกับอีกหนึ่งหนี้ชีวิตเริ่นเสี่ยวซู่นี่”
“ต้องการจะสื่ออะไร” หลัวหลานพูดไม่ออกแล้ว
“หนึ่งหนี้บุญคุณกับหนึ่งหนี้ชีวิตมีค่าไม่เท่ากับร้านค้าร้านเดียวเลยงั้นสิ” หวังฟู่กุ้ยถาม
หลัวหลานเงียบไปพักใหญ่ แล้วตอบ “มี”
ถึงตัวเองจะทำหน้าหนาได้ แต่เมื่อเอ่ยถึงชื่อของชิ่งเจิ่นแล้ว ย่อมไม่อาจทำตัวหน้าหนาต่อ
“ฉันจะเตรียมร้านธรรมดาๆ ร้านหนึ่งให้” หลัวหลานเอ่ย “แต่หลังจากนี้สมาคมตระกูลชิ่งของพวกเราไม่ติดค้างอะไรกันอีก”
“ได้” เริ่นเสี่ยวซู่ยอมรับข้อตกลงนี้ทันที แบบนี้พวกเขาก็จะมีช่องทางหารายได้ประจำในป้อมปราการแล้ว ต่อให้พวกเขาไม่ใช้ร้านค้าทำธุรกิจอะไร แค่ปล่อยเช่าก็น่ะมีเงินพอใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ แถมเขาเคยให้สัญญากับเหล่าหวังด้วยว่าจะเปิดร้านขายของชำให้เขาใหม่
แต่เหมือนหวังฟู่กุ้ยดูจะยังไม่พอใจ เขากล่าวกับหลัวหลาน “คิดว่าชีวิตลูกน้องห้าคนของท่านมีค่าเท่าไร”
หลัวหลานรำคาญ “ไม่พูดทีเดียวให้มันหมดๆ ล่ะ ก็ได้ ฉันจะให้ร้านค้าใหญ่ในสถานที่ดีๆ เลย อย่าขออะไรอีกนะ ไม่งั้นฉันจะขอตายตรงหน้าพวกนายตอนนี้เลยเนี่ยแหละ!”
หวังฟู่กุ้ยคิดจะพูดเสริมเติมต่อ แต่เริ่นเสี่ยวซู่รั้งเขาไว้ หยุดไว้แค่นี้พอดีกว่า ไหนๆ ก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว
ถ้าพวกเขาทำให้หลัวหลานโมโหขึ้นมาจริงๆ พอไปถึงป้อมปราการแล้วเขาอาจจะกลับคำตัวเองเอาได้ พอถึงเวลานั้น พวกเริ่นเสี่ยวซู่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่เลือกช่วยชีวิตถังโจวกับทหารของเขาก็เพราะอยากให้หลัวหลานเกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาบ้าง
เริ่นเสี่ยวซู่พลันสังเกตเห็นเฉินอู๋ตี๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามนั้น กำลังจ้องไปหลัวหลานด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เหมือนกับเขาอยากเขาปราบมารเสียตอนนี้เลยอย่างไรอย่างนั้น
เขาพลันเห็นว่าหน้าตาของเฉินอู๋ตี๋มีอะไรแปลกไป แต่นึกไม่ออกว่าคืออะไร อะ เดี๋ยวนะ! เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “เอ่อ อู๋ตี๋ บนหัวนายนั้นมงคลทองเหรอ ไปเอามาจากไหนล่ะนั่น”
ช่วงก่อนฟ้ามืด เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเฉินอู๋ตี๋ยังไม่มีมงคลทองบนหัวเลย
เริ่นเสี่ยวคิดว่าของชิ้นนี้น่าจะก่อรูปมาจากจินตนาการของเฉินอู๋ตี๋เอง แต่ไม่เหมือนกระบองทองสารพัดนึก มงคลทองนี้คงรูปอยู่ตลอด
“เป็นมงคลทองที่พระโพธิสัตว์ประทานมา อาจารย์ท่านไม่รู้เหรอ” เฉินอู๋ตี๋พูดอย่างกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
“…รู้” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ แต่ที่ฉันสื่อไม่ใช่แบบนั้นโว้ย!
เริ่นเสี่ยวซู่กะจะหาข้ออ้างปล่อยผ่านคำถามนี้ไป อย่างไรเสียบทบาทเขาตอนนี้คือพระถังซัมจั๋ง เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าลูกศิษย์ไปได้มงคลทองมาจากไหน
จากนั้นเฉินอู๋ตี๋ก็มองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างจริงจัง แล้วถาม “อาจารย์ ท่านยังจำคาถาบีบมงคลได้หรือเปล่า”
เริ่นเสี่ยวซู่แทบสติแตก ฉันจะไปจำได้ยังไงเล่า!
ในไซอิ๋วฉบับเดิม ไม่ได้มีบทเฉพาะตอนที่เจ้าแม่กวนอิมสอนคาถาให้พระถังซัมจั๋ง เริ่นเสี่ยวซู่เห็นสายตาวิบวับอย่างตื่นเต้นคาดหวังของเฉินอู๋ตี๋แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ลองสวดว่า “ทหารถือปืนแบกปูนไปโบกตึก?”
“อา!” เฉินอู๋ตี๋กุมหัวกรีดร้องออกมา “อาจารย์ ท่านหยุดเถอะ! อาจารย์ ได้โปรด!”
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งอ้าปากค้าง ในใจคิด เฉินอู๋ตี๋ เอ็งเล่นตามน้ำได้เก่งไม่ใช่น้อย!
เริ่นเสี่ยวเห็นทุกคนมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาดพิกล นักเรียนบางคนถึงกับตกอยู่ในภวังค์เพราะเรื่องนี้
พระโพธิสัตว์น่าเป็นนักแสดงตลกสินะ?!
หลัวหลานรู้สึกเหมือนโดนดูหมิ่นสติปัญญาอย่างร้ายแรง เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนบ้าอย่างเฉินอู๋ตี๋ถึงเห็นเริ่นเสี่ยวซู่เป็นอาจารย์ไปได้!
ถ้าให้เขาเชื่อว่าเริ่นเสี่ยวซู่ เฉินอู๋ตี๋ หวังฟู่กุ้ย และหวังต้าหลงเป็นพระถังซัมจั๋งกับเหล่าศิษย์กลับชาติมาเกิดใหม่จริง เขายอมเอาหัวโขกรถบรรทุกตายตอนนี้เลยเสียดีกว่า!
รถบรรทุกขับไปอีกหลายสิบกิโลเมตร ก่อนจะค่อย ๆ หยุดลง หลัวหลานถาม “พวกเราพักกันหน่อยได้ไหม ฝูงหมาป่าจะตามมาทันหรือเปล่า”
เริ่นเสี่ยวซู่กำลังนึกไปถึงพฤติกรรมแปลกๆ ของหมาป่า เขาคิดแล้วตอบว่า “พักกันสักแป๊บแล้วกัน พวกเรามีพลขับรถแค่คนเดียว ให้เขาเหนื่อยเกินไปคงไม่ดี แถมถ้าหมาป่าคิดไล่ล่าเรา ต่อให้รถล้อหมุนอยู่ก็หนีไม่ทันหรอก”
จริงๆ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่มีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าที่พวกหมาป่าไม่โจมตีผู้หลบหนีแล้วนั้น เป็นเพราะพวกมันกลับไปที่ซากป้อมปราการ 113 แล้ว
แต่ดูแล้วพวกหมาป่ายังอยู่ใกล้ที่นี่ ถึงกับมีช่วงที่มันแซงกลุ่มผู้หลบหนีไปแล้วด้วยซ้ำ
แต่ทำไมหมาป่าถึงไม่โจมตีผู้หลบหนีล่ะ
อย่างไรก็ไม่สามารถอธิบายได้เลย
ยกเว้นแต่ว่ามีหมาป่าบางตัวในฝูงไม่ยินยอมพร้อมใจโจมตี!