ขณะทุกคนกำลังพักกันอยู่นั้น เริ่นเสี่ยวซู่หาเนินสูงที่สามารถส่องหาหมาป่าได้
แต่พอขึ้นไปเหนือเนินแล้ว เขาก็นิ่งงันไป ไม่คิดเลยว่าใกล้ๆ นี้จะมีหมาป่าจริงๆ
แต่ที่ประหลาดใจมากคือ เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้สึกถึงความคิดจะโจมตีจากราชาหมาป่าเลย มันแค่เหลือบมองเขาวูบหนึ่ง ก่อนจะหันหลังวิ่งกลับเข้าแดนรกร้างไป
ราชาหมาป่าดูแข็งแกร่งและทรงพลังมาก ใช้พุ่มไม้ตรงจุดที่มันยืนอยู่เป็นตัวเปรียบเทียบ เริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าที่ตนคาดการณ์ไว้นั้นไม่ผิดเลยก็ตระหนกไป เจ้าราชาหมาป่านี่ตัวใหญ่กว่าวัวโตเต็มวัยแล้ว
ทำไมกันน่ะ ทำไมเจ้าพวกหมาป่าถึงตามพวกตนมา
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่ามีเรื่องบางประการไม่ค่อยถูกทางเท่าไรนัก ถึงหมาป่าไม่กล้าข้ามหุบเขา แต่ตอนขากลับจากภูเขาหลังหุบเขาแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นว่าพวกมันเฝ้ารออยู่ตลอด
ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าพวกหมาป่าคงแค้นใจที่ตนเคยหนีจากพวกมันมาได้เมื่อปีก่อน แต่ตอนนี้สถานการณ์ดูจะซับซ้อนกว่านั้นมาก
ช่างเหอะ! เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าหมาป่าไม่โจมตีตนก็ประเสริฐเป็นหนักหนาแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมไม่โจมตีนั้น เขาคร้านจะคิดต่อ
อีกวันสองวันเขาก็โบกมือลาแดนรกร้างแล้ว หลังจากนั้นเขาจะเข้าไปอยู่ในป้อมปราการ สถานที่ที่วาดฝันไว้ว่าจะเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในนั้นโดยไม่มีข้อกลัวเกรงหรือกังวลอะไรอีก
จากนั้นชีวิตพวกเขาก็จะเจริญขึ้นในทุกๆ วัน เริ่นเสี่ยวซู่เคยสัญญากับเหยียนลิ่วหยวนว่าจะให้เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสักวันหนึ่ง
พอเขากลับมาที่รถ ทุกคนก็ลงจากรถบรรทุกมายืดเส้นยืดสาย ถึงในท้ายรถบรรทุกจะไม่แออัดมากนัก แต่อยู่บนนั้นนานๆ ก็รู้สึกไม่สบายกายอยู่
หวังฟู่กุ้ยเข้ามาหาเริ่นเสี่ยวซู่ แล้วว่าอย่างสงบนิ่ง “ขอบคุณนะเสี่ยวซู่ ขอบคุณที่พาฉันกับลูกเข้าป้อมปราการไปด้วย”
[ได้รับเหรียญคำขอบคุณจากหวังฟู่กุ้ย +1!]
เริ่นเสี่ยวซู่มองไปที่หวังฟู่กุ้ยแล้วว่า “ไม่ต้องเกรงใจอะไรฉันมากก็ได้ลุง พวกเราไม่ได้แค่เข้าไปในป้อมปราการนะ พวกเราจะเปิดร้านขายของชำให้ลุงใหม่ด้วย”
หวังฟู่กุ้ยส่ายหน้า “ไม่ใช่ร้านขายของของฉัน แต่เป็นของเธอต่างหาก เสี่ยวซู่ฟังฉันนะ ร้านขายของนี้เป็นเธอเสี่ยงชีวิตได้มา ให้ฉันเป็นคนเฝ้าร้านก็พอแล้ว ฉันไม่ขออะไรมากหรอก ขอแค่เงินเดือนสูงๆ ก็พอ”
เริ่นเสี่ยวซู่สะดุ้ง เขาไม่คิดเลยว่าหวังฟู่กุ้ยจะปฏิเสธข้อตกลงอันน่ายั่วยวนเช่นนี้ได้
ขณะที่หวังฟู่กุ้ยกำลังคิดว่าจะโน้มน้าวเริ่นเสี่ยวซู่อย่างไรดี เริ่นเสี่ยวซู่ก็พูดด้วยความตื้นตันใจ “งั้นเอาตามที่ลุงว่าเลย”
หวังฟู่กุ้ย “…”
เริ่นเสี่ยวซู่ยังไร้ยางอายและเป็นเด็กหนุ่มรักเงินที่เขารู้จักเหมือนเดิมเลย
แต่ทันใดนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็พูดต่อ “ลุงมีหุ้นในร้านสามสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วเงินจากการขายยาปฏิชีวนะก็เป็นของลุงหมด”
เขาไม่คิดจะแบ่งหุ้นไปเปล่าๆ หรอก อย่างไรเสียเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่มีพรสวรรค์ในการบริหารกิจการ ส่วนเหล่าหวังนั้นขายของมาทั้งชีวิต ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่จึงรู้สึกว่าให้มืออาชีพจัดการร้านไป ส่วนเขาเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ว่าตามตรง ที่เริ่นเสี่ยวซู่ต้องการตอนนี้ไม่ใช่การหาเงินแต่การได้เข้าโรงเรียนต่างหาก
…
หลัวหลานใช้เวลาที่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อยู่สำรวจเฉินอู๋ตี๋ เขาคุ้นเคยกับเฉินอู๋ตี๋ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นกิจวัตรประจำวันหรืองานอดิเรก ล้วนมีคนมารายงานข้อมูลเขาอยู่ตลอด
หลัวหลานอิจฉาน้องชายตัวเองไม่น้อยที่มีผู้คุ้มกันเป็นผู้พลังพิเศษ แค่คิดก็รู้สึกดีแล้ว
น่าเสียดายที่ผู้มีพลังพิเศษคนนั้นเป็นทหารประจำการในฐานทัพภายใต้คำสั่งของชิ่งเจิ่น แต่หลัวหลานไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
และตอนนี้หลัวหลานกลับมาเกิดความคิดแบบนั้นอีกครั้ง หลังจากเห็นว่าเฉินอู๋ตี๋ตัวคนเดียวก็สามารถปราบตัวทดลองสามตัวได้
เฉินอู๋ตี๋ก็แค่คนปัญญาอ่อน ส่วนเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสมาคมตระกูลชิ่ง เขาจะหลอกคนโง่ไม่ได้เชียวเหรอ
เพราะเริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยแสดงพลังต่อหน้าหลัวหลานมาก่อน ในสายตาของหลัวหลาน เขาเป็นเพียงแค่ผู้อพยพใจกล้ามากความสามารถเท่านั้น เริ่นเสี่ยวซู่ทำอะไรถึงมีผู้มีพลังพิเศษที่ทรงพลังมากอย่างเฉินอู๋ตี๋ติดตามกัน แถมยังเป็นสายสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์อีก!
หลัวหลานเทียบกับเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว รวยก็รวยกว่า หล่อก็หล่อกว่า เขาเป็นคนใหญ่คนโตในสมาคม มีอำนาจเหนือจินตนาการ คนอย่างเขาต่างหากที่ควรมีผู้ติดตามอย่างเฉินอู๋ตี๋
คิดแล้วหลัวหลานก็เดินไปหาเฉินอู๋ตี๋พร้อมหัวเราะฮาฮา “นี่อู๋ตี๋ ในเมื่ออาจารย์นายจนขนาดหนัก ทำไมไม่มาติดตามฉันแทนล่ะ”
เฉินอู๋ตี๋หันไปมองหลัวหลานแล้วว่า “ไม่อยากคุยกับเปินปัวเออร์ป้า”
หลัวหลาน “???”
เปินปัวเออร์ป้าห่าเหวสิ ไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปสักทีฟะ!
ความคิดของคนป่วยจิตเวชนี่มันอะไรกันนักกันหนานะ พูดให้มันปกติหน่อยไม่ได้เหรอไง!
พอเริ่นเสี่ยวซู่กลับมา ก็เห็นหลัวหลานนั่งอยู่ตรงหน้าเฉินอู๋ตี๋ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ยิ้มแล้วว่า “อะไรนะ เจ้าอยากไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิมด้วยอย่างนั้นหรือ ถ้าอยากละก็…พวกเรายังขาดม้ามังกรขาวอยู่นะ…ไม่สิ มองยังไงเจ้าก็ไม่เหมือนม้ามังกรขาว”
พูดจบ เริ่นเสี่ยวซู่ก็หันไปมองรอบๆ พอเห็นหวังต้าหลงตาก็ทอประกาย “พวกเรายังขาดไม้คานกับตะกร้าสองใบ ทำไมเจ้าไม่เป็นตะกร้าไม้ไผ่แทนล่ะ!”
หลัวหลานโกรธจัดจนหันหน้าหนีและปลีกตัวจากไป เขาพลันพบว่าตัวเองไม่บ้าพอจะไปอยู่กับพวกเริ่นเสี่ยวซู่ได้แล้ว
เช้าวันต่อมา รถบรรทุกก็เดินทางอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาจะมุ่งตรงไปยังป้อมปราการ 109 เลย!
ตอนที่รถคันอื่นพัง พวกเขาถ่ายน้ำมันไปรถคันที่ยังใช้งานได้อยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นน้ำมันในถังน้ำมันของรถบรรทุกจึงมีเหลือเฟือให้ใช้เดินทาง
เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มจินตนาการว่าชีวิตในป้อมปราการเป็นอย่างไร เขาโพล่งถามเจียงอู๋กับพวกนักเรียนว่า “ในป้อมปราการมันเป็นยังไงกันแน่เหรอ”
เจียงอู๋คิดแล้วตอบ “นักเรียนสามารถเข้าเรียนในป้อมปราการอย่างไร้ข้อกังวลใด ตอนช่วงพัก พวกเขาก็จะไปเล่นบาสเก็ตบอลจนเหงื่อซ่กที่ลานโรงเรียน พอเด็กผู้หญิงเห็นเด็กผู้ชายที่ตัวเองชอบก็จะส่งเสียงเชียร์ จริงๆ แล้วพวกครูก็รู้กันนะว่าพวกนักเรียนมีความชอบพอกัน แต่บางครั้งพวกเขาก็ทำเป็นไม่เห็น อ้อใช่ ครูส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะโทรหาพ่อแม่ของนักเรียนแทน”
“โทรหาพ่อแม่นักเรียน?” เริ่นเสี่ยวซู่งุนงง “โทรหาพวกเขาทำไม”
“โทรบอกให้พวกเขาลงโทษลูกตัวเองน่ะสิ” เจียงอู๋ยิ้มพูด
“อ้อ” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “โชคดีนะฉันไม่มีพ่อแม่”
เจียงอู๋สำลัก พูดต่อไม่ถูกเลย! แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เธออดรู้สึกเศร้าไปกับเขาอยู่หน่อยๆ ไม่ได้ เด็กหนุ่มอาศัยอยู่ในแดนทุรกันดารอันเปลี่ยวร้างอย่างไร้ที่พึ่งพาเช่นนี้เอง
เริ่นเสี่ยวซู่ตะโกน “ทุกคนขึ้นรถ! พวกเราจะเดินทางต่อ!”
จากนั้นเขาก็เห็นหลัวหลานโค้งคำนับสามทีไปยังทิศที่พวกเขาจากมา ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อทหารในกองพลน้อยที่สละชีวิตเพื่อเขานั่นเอง
ระหว่างเดินทางมานี้หลัวหลานไม่ได้แสดงความเศร้าโศกอะไรเป็นพิเศษ เหมือนกับว่ากำลังมองโลกในแง่ดีอย่างไรอย่างนั้น
แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นภาพนี้ เขาก็รู้สึกว่าที่หลัวหลานไม่ได้แสดงความเศร้าโศกเสียใจ ก็เพียงเพราะไม่อยากให้ตัวเองดูอ่อนแอเท่านั้น