ขณะที่รถบรรทุกเคลื่อนหน้าไป ทุกสิ่งแปลกใหม่ล้วนทำให้พวกเริ่นเสี่ยวซู่สนใจมาก ถึงแม้บางอย่างจะให้ความรู้สึกแปลกๆ ก็ตาม
จริงๆ แล้วบางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ก็คิดว่าเดี๋ยวนี้แดนรกร้างอันตรายมากขึ้นมาก ถึงป้อมปราการ 109 จะไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวรุนแรงเหมือนที่ป้อมปราการ 113 ก็เถอะ แต่ว่าถ้าสักวันหนึ่งมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจะทำอย่างไรล่ะ
แต่คนในป้อมปราการดูจะไม่สนใจเลยว่าวันหนึ่งอาจจะเกิดภัยพิบัติขึ้นกับพวกตน และยามนั้นพวกเขาได้แต่ต้องพึ่งตัวเองแล้ว มันเหมือนกับว่าปัญหาเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาของพวกเขาเสียอย่างนั้น หากแต่เป็นปัญหาที่สมาคมต้องคอยเป็นกังวล
ถ้าเกิดอะไรเช่นนั้นขึ้นจริงๆ พวกคนในป้อมปราการคงอยู่รอดในแดนรกร้างไม่ได้แน่
ขณะที่รถบรรทุกคืบหน้าไป เหยียนลิ่วหยวนก็ชะโงกหน้าออกไปอยู่ตลอด แต่พอคนเดินถนนในป้อมปราการบางคนเห็นเขาดูหน้าตาเปื้อนฝุ่นแบบนั้น ในดวงตาเกิดความสงสัยแกมสงสาร
ไม่รังเกียจก็สังเวช พวกเขาลอบอนุมานไปแล้วว่าเด็กคนนี้น่าสงสาร
พอเหยียนลิ่วหยวนสบตาเข้ากับสายตาพวกนั้น ความตื่นเต้นในนัยน์ตาเขาก็ค่อยๆ เลือนหาย จากนั้นเขาก็ถอยกลับเข้ารถไป
เขากับเริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยต้องการความสงสารจากใครทั้งสิ้น เพราะพวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตพวกตนน่าสังเวช
“พี่ ทำไมพวกเราไม่กลับไปที่เมืองล่ะ” เหยียนลิ่วหยวนเริ่มไม่สบายใจกับที่นี่แล้ว
“ปัดโธ่” เริ่นเสี่ยวซู่พูด หลังจากนิ่งไปก็พูดเสริม “ถ้าพวกเราอาศัยอยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวฉันจะหาวิธีพานายออกไปใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกป้อมปราการเอง”
“อื้อ” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้าดีใจ
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองเจียงอู๋กับพวกนักเรียน “ต่อไปพวกเธอจะทำอะไรต่อล่ะ”
ตอนนี้กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ต้องห่วงเรื่องการกินการอยู่ อย่างไรเขาก็มีทองในครอบครองอีกไม่น้อย เหล่าหวังเองก็พกยากับสกุลเงินแข็งมา ช่วงแรกเขาไม่มีทางหิวตายแน่ แถมพวกเขายังเพิ่งยึดร้านมาจากสมาคมอีกหนึ่งด้วย แค่นั้นชีวิตการเป็นอยู่ก็ไม่มีปัญหา
คำถามนี้ทำให้เจียงอู๋กระวนกระวาย เพราะพวกเธอไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอะไรต่อ
ถังโจวยิ้มแล้วว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ หลังจากได้ใบแสดงตนของป้อมปราการมาแล้ว พวกเราจะจัดการให้พวกนายเข้าโรงเรียนเอง อาจารย์เจียงอู๋ยังเป็นครูต่อได้ พวกนักเรียนก็ยังได้เรียนต่อ ถ้าอาศัยอยู่ในหอพักโรงเรียน ก็มีสิทธิ์ได้เงินอุดหนุนอีก ไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นอยู่หรอก”
“พวกนายใจดีขนาดนั้นเลย?” เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจ
“ไม่ใช่เรื่องใจดีไม่ใจดีหรอก” ถังโจวว่า “ในเมื่อพวกเราเจอเรื่องเฉียดตายมาด้วยกัน พวกเราก็เป็นสหายกันแล้ว เรื่องน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ สมาคมตระกูลชิ่งไม่ขี้เหนียวหรอก”
“แต่ป้อมนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของสมาคมตระกูลหลี่ไม่ใช่เหรอ คำพูดของคุณมีน้ำหนักอะไรด้วยเหรอ” หวังฟู่กุ้ยถาม
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้สมาคมตระกูลหลี่ไม่ตัดสายสัมพันธ์กับพวกเราหรอก” ถังโจวยิ้ม “เรื่องขององค์กรต่างๆ นั้นบางครั้งก็ซับซ้อนมาก บางครั้งก็เรียบง่ายมาก ถ้าผลประโยชน์ไม่ทับซ้อนกัน ทุกคนก็ยังเป็นมิตรกันอยู่”
เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจแล้วว่าส่งคนเข้าโรงเรียนนั้นเป็นเรื่องขี้หมูขี้หมามากสำรับสมาคม พวกเขาไม่ต้องกังวลอะไร
“อืม…อะแฮ่ม คือว่าโรงเรียนให้เงินอุดหนุนนักเรียนเท่าไรเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“เก้าร้อยหยวนต่อเดือนมั้ง” ถังโจวเองก็ไม่แน่ใจ “แต่ละป้อมไม่เหมือนกัน ขอแค่เงินทุนครอบคลุมค่าใช้จ่ายรายเดือนของนักเรียนก็พอแล้ว”
“ฉันกับเหยียนลิ่วหยวนจะเข้าเรียนด้วยเหมือนกัน!” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างเปี่ยมด้วยเหตุผล “ไม่ใช่เรื่องเงินตรา แต่เพราะพวกเราโหยหาในความรู้!”
ถังโจวมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างโง่งม…
“อะ ไม่สิ” เริ่นเสี่ยวซู่โพล่ง “ไม่ใช่แค่เราสองคน ยังมีหวังฟู่กุ้ย หวังต้าหลง พี่เสี่ยวอวี้ และก็เฉินอู๋ตี๋ด้วย พวกเราหกคนจะเข้าโรงเรียนกันหมดเลย!”
ถังโจวมองไปที่หวังฟู่กุ้ยอย่างตกตะลึง เขาอายุจะเกือบห้าสิบแล้วไหม ยังจะให้เขาไปโรงเรียนอีกเนี่ยนะ มียางอายบ้างเถอะ!
หวังฟู่กุ้ยตะลึงกับคำพูดของเริ่นเสี่ยวซู่มากกว่าอีก ถังโจวจะไปเหลือเหรอ
“คนอื่นไม่ได้” ถังโจวพูดอย่างโมโห “แต่นายกับเหยียนลิ่วหยวนสามารถจัดให้เข้าโรงเรียนได้”
เหยียนลิ่วหยวนแทบร้องไห้แล้ว “แต่ฉันไม่อยากไปโรงเรียนเหมือนกันนะ!”
“คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์พูดเรื่องนี้เหรอไง” เริ่นเสี่ยวซู่จ้องเขาเขม็ง แต่ตอนนั้นเอง หางตาก็เห็นร่างคุ้นตาผู้หนึ่งอยู่นอกรถบรรทุก พอเขาหันขวับมอง ก็เห็นว่าร่างนั้นหายไปแล้ว
ตาฟาดไปหรือเห็นจริงๆ กันแน่ เริ่นเสี่ยวซู่สับสน
ความคุ้นตานั้นฟาดใส่เขาราวสายฟ้า เข้ามาและจากไปอย่างรวดเร็ว
“อย่าเพิ่งดีใจไป” ถังโจวกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ “ในเมื่อสมาคมตระกูลชิ่งกับนายไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว ดังนั้นถ้าจะอยากให้พวกเราช่วยพาเข้าโรงเรียนละก็ นายต้องมีของให้พวกเราเป็นการแลกเปลี่ยน”
เกิดเสียงดังเพี๊ยะ เริ่นเสี่ยวซู่ยัดขวดยาจิ๋วให้ถังโจวสองขวดเหมือนรู้อยู่แล้ว “รู้น่าว่าเจ้าอ้วนหลัวอยากได้ เอาไปให้เขาได้เลย”
ถังโจวพูดอะไรไม่ออก เจ้าอ้วนหลัวนี่ใช่นายพูดได้เหรอ!
โลกนี้มีแค่สองคนเท่านั้นที่สามารถเรียกหลัวหลานเป็น ‘เจ้าอ้วนหลัว’ และรอดไป หนึ่งคือชิ่งเจิ่น และสองคือจางจิ่งหลิน
แต่ถังโจวรู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่อาจจะกลายเป็นคนที่สามแล้ว
รถบรรทุกค่อยๆ ขับช้าลง หลัวหลานดังออกมาจากข้างนอก “ลงรถ”
เริ่นเสี่ยวซู่กระโดดลงมาจากรถ หลัวหลานก็เอ่ย “ร้านซ้ายมือคือที่ฉันสัญญานายไว้ ที่ตั้งดีมาก ถ้าเปิดกิจการที่นี่ไม่มีเสียหายแน่นอน”
เริ่นเสี่ยวซู่มองรอบๆ แล้วก็ต้องประหลาดใจที่มีคนเดินถนนมากมาย
ระหว่างที่เริ่นเสี่ยวซู่สำรวจรอบๆ อยู่นั้น คนเดินถนนก็หันมามองเขาอย่างสนออกสนใจด้วย แต่พอทุกคนเห็นสัญลักษณ์ใบแปะก๊วยบนรถบรรทุก รู้ว่าทันทีว่าเขาเป็นคนของสมาคมตระกูลชิ่ง
“ลุงคิดว่าไง” เริ่นเสี่ยวซู่หันไปถามความเห็นหวังฟู่กุ้ย เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้หรอกว่าที่ตั้งดีไม่ดี
“ไม่เลวเลย” หวังฟู่กุ้ยพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้เริ่นเสี่ยวซู่รับข้อเสนอนี้ เขารู้ดีว่าหลัวหลานไม่โกหกพวกตนหรอก ที่นี่มีคนขวักไขว่ ข้างทางมีห้างร้านมากมาย ในเรื่องการทำธุรกิจแล้ว มีคนหน้าประตูได้ก็เท่ากับทำเงินแล้ว!
“ข้างหลังมีลานบ้านกับห้องพักหลายห้องให้พวกนายอยู่ได้ เดิมทีที่ก็ขายของคล้ายกับที่นายทำอยู่อยู่แล้ว ดังนั้นนายโชคดีแล้วละ” หลัวหลานว่าอย่างไม่ยี่หระ “จากแต่นี้ไป ฉันหลัวหลานไม่ติดค้างอะไรนายอีก” พูดจบเขาก็เชิดหน้าขึ้นรถแล้วจากไป ปล่อยพวกเขาหกคนให้อยู่กันเอง
จากนั้นถังโจวก็หันมากล่าวกับพวกเริ่นเสี่ยวซู่ “ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะให้คนส่งใบแสดงตนของป้อมปราการกับใบสมัครเข้าเรียนให้เย็นนี้”
เหยียนลิ่วหยวนพุ่งเข้าไปสำรวจในร้านอย่างตื่นเต้น ร้านนี้น่าจะเคยเป็นร้านแพทย์แผนจีนมาก่อน ก่อนที่กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่มาถึง พวกเขาก็ดำเนินกิจการไปตามปกติ หลังจากที่สมาคมตระกูลชิ่งถอนตัวจากการบริหารร้าน พวกเขาก็ไม่เอาอะไรไปด้วย ร้านนี้มีเครื่องเรือนครบครัน ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ม้านั่ง และสมุนไพรจีนต่างๆ
ที่หลัวหลานเอาร้านให้พวกเริ่นเสี่ยวซู่ เพราะเขาคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่เคยเป็นหมอเพียงคนเดียวในเมือง ดังนั้นเริ่นเสี่ยวซู่น่าจะอยากกลับมาเปิดคลินิกใหม่
แต่เริ่นเสี่ยวซู่เศร้ามาก เขารู้เรื่องยากะผีสิ