‘เจ้าคนขายยานั่น’ เป็นคำพูดยามต้องการเอ่ยถึงการกระทำอันน่าครหา
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่อาจรับได้ ผู้มีพลังพิเศษที่ยังหนุ่มยังแน่นแถมอนาคตไกลแบบเขาจะถูกเรียกขานด้วยนามอันไม่เข้าหูอย่างนั้นได้อย่างไร
ก็เหมือนที่เขาเคยพูดไป สถานภาพทางสังคมของเขาคงได้ดิ่งลงเหวแน่ถ้าถูกเรียกว่าเป็น ‘คนขายยา’
ตอนนั้นเอง ก็มีชายผู้หนึ่งเดินเข้าร้านมา “หมอ ดูให้หน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ตอนนี้ปวดท้องไม่หยุดเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่ปฏิเสธไปแบบไม่คิดเลย “พวกเราไม่รับคนไข้แล้ว”
ชายผู้นั้นไม่พอใจ “นายเปิดคลินิก แต่ไม่รับคนไข้เนี่ยนะ รู้ไหมว่าฉันคือใคร”
เริ่นเสี่ยวซู่เองก็เริ่มไม่พอใจแล้ว พวกคนในป้อมปราการเป็นอะไรกันมาก เปิดปากมาก็พล่ามว่าตัวเองเป็นใครอยู่นั่นแหละ อย่างกับสถานะตัวเองสำคัญสุดอะไรสุดอย่างนั้นแหละ เริ่นเสี่ยวซู่จ้องหน้ากลับ “แล้วนายเป็นใคร”
“ฉัน เหยียนหลินเฟิง จากเขตตะวันออก ถามใครใครก็รู้จัก!” ชายผู้นั้นพูดเหยียดหยัน
ทันใดนั้นเอง เสียงจากพระราชวังที่เริ่นเสี่ยวซู่รอมานานก็ดังขึ้น [ภารกิจ รักษาคนไข้]
เริ่นเสี่ยวซู่ส่งยิ้มกว้างให้เหยียนหลินเฟิง “ไหนๆ บอกอาการหน่อยสิ”
เหยียนหลินเฟิงชะงักไป ชื่อเขาได้ผลขนาดนั้นเลย? เขาแค่อยากระบายอารมณ์สักหน่อยแต่เพลิงโทสะก็ดับวูบอย่างรวดเร็ว “รู้สึกไม่ค่อยสบายท้อง ปวดนิดหน่อย”
“เหล่าหวัง จ่ายยาปฏิชีวนะให้คนไข้สามเม็ด” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่าสุภาพ “เป็นโรคกระเพาะน่ะ กินยานิดหน่อยก็หายแล้ว”
“จริงอะ?” เหยียนหลินเฟิงดูจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไรนัก
“จริงสิ!” เริ่นเสี่ยวซู่ยืนกราน ฉันสนที่ไหนล่ะ ขอให้ภารกิจสำเร็จก็พอโว้ย
พระราชวังไม่ให้ภารกิจเขามาเป็นสิบๆ วันแล้ว วันนี้เป็นวันดีแท้
พอชายผู้นั้นรับยาจากเขาไป เสียงจากพระราชวังก็ดังขึ้น [ภารกิจสำเร็จ รางวัล คัมภีร์คัดลอกทักษะขั้นพื้นฐาน!]
เริ่นเสี่ยวซู่ตาทอประกาย ภารกิจสำเร็จแล้ว!
ตอนนี้เหยียนหลินเฟิงรับยาแล้วจ่ายเงิน เขาพลันถาม “มีอาหารอะไรต้องหลีกเลี่ยงไหม”
“อย่ากินมะระ” เริ่นเสี่ยวซู่หลุดปากไป ด้วยจิตใจกำลังจดจ่อกับคัมภีร์ในพระราชวัง
“ทำไมถึงห้ามกินมะระล่ะ” เหยียนหลินเฟิงผงะ
เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ “เพราะไม่อร่อย”
เหยียนหลินเฟิง “???”
หวังฟู่กุ้ยส่งเหยียนหลินเฟิง เริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้าขึ้นแล้วถาม “วันนี้พวกเรามีลูกค้าสองคนเองเหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอก แต่พวกเรารักษาคนไม่เป็น เลยได้แต่บอกให้พวกเขากลับไปน่ะ” หวังฟู่กุ้ยยิ้ม จากนั้นเขาก็ยื่นแผ่นกระดาษสีแดงที่อยู่ใต้เคาน์เตอร์มาให้ “อ้อใช่ มีคนส่งใบปลิวนี่มา ลองอ่านดูสิ”
“คืออะไรน่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่รับมาอย่างไม่แน่ใจ แต่พอเห็นก็ต้องตะลึงไป เพราะบนใบปลิวมีโลโก้ของบริษัทหัวจ่งพิมพ์ไว้
โลโก้ของบริษัทหัวจ่งเป็นภาพไฟกองน้อยที่ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์แทนการอยู่รอดของอารยธรรมที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
เริ่นเสี่ยวซู่พลันจริงจังขึ้นมา บริษัทหัวจ่งก็มีกิจการในป้อมปราการ 109 เหมือนกันอย่างนั้นเหรอ ตั้งแต่เขาออกมาจากเขาจิ้งซานมาได้ บริษัทหัวจ่งก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่เขาอยากรู้จักมากที่สุด
จนถึงตอนนี้ เขาก็รู้เพียงข้อมูลจากปากของหยางเสียวจิ่นไม่กี่คำเท่านั้น ไม่รู้ทำไม แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกหวาดๆ กับบริษัทนี้ที่สุดแล้ว
อาจเป็นเพราะอารมณ์ตอนหยางเสียวจิ่นอธิบายเกี่ยวกับบริษัทหัวจ่งนั้นดูไม่เป็นมิตรอย่างมาก เขาเลยได้รับผลกระทบไปด้วย
‘มีผลนับตั้งแต่วันนี้ไป ผู้มีพลังพิเศษสามารถมาบริจาคโลหิตแลกเงินที่บริษัทเราได้ เลือดของท่านจะถูกนำไปใช้ในงานวิจัยในอนาคตของบริษัท ทั้งจะเป็นส่วนหนึ่งในความก้าวหน้าของมนุษยชาติ อีกทั้งท่านจะได้รับเงินหนึ่งล้านหยวนสำหรับเลือดยี่สิบมิลลิลิตร ทางบริษัทจะเก็บข้อมูลส่วนตัวของท่านเป็นความลับ ทั้งยังให้ความปกป้องคุ้มครองท่านด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ…’
ส่วนท้ายของใบปลิวให้เบอร์โทรไว้
จากที่หยางเสียวจิ่นพูด บริษัทหัวจ่งควบคุมพื้นที่คล้ายๆ กับเขาจิ้งซานไว้อยู่ อีกทั้งที่นั่นไม่มีภูเขาไฟ และเป็นพื้นที่ดั้งเดิมแรกเริ่ม
ปัจจุบันนี้ป้อมปราการต่างๆ ไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้มีพลังพิเศษนัก แต่บริษัทหัวจ่งไม่เพียงแต่ซื้อเลือดจากผู้มีพลังพิเศษ พวกเขายังพร้อมให้ความปกป้องคุ้มครองด้วย!
หวังฟู่กุ้ยมองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วยิ้ม “ว่าไง อยากลองเปล่า?”
เหยียนลิ่วหยวนเดินมาข้างเขาแล้วก้มอ่านใบปลิว “ลุงฟู่กุ้ย บริษัทนี้มีอะไรแปลกๆ ห้ามพี่ไปผมเด็ดขาด”
“ก็จริง” หวังฟู่กุ้ยเข้าใจแล้ว พวกเขาเคยเห็นสภาพน่าสังเวชของจางเป่าเกินกับเฉินอู๋ตี๋ด้วยตาตัวเองมาแล้ว จะมั่นใจได้อย่างไรว่าบริษัทหัวจ่งมีเจตนาดี
ต่อให้บริษัทหัวจ่งมีเจตนาดีจริง จะมั่นใจได้อย่างไรอีกว่าข้อมูลนั้นสามารถเก็บเป็นความลับได้ ถ้าให้เริ่นเสี่ยวซู่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อได้เงินมา ก็อย่าดีกว่า
แต่เรื่องนี้ก็ทำให้หวังฟู่กุ้ยรู้แล้วว่าเหยียนลิ่วหยวนนั้นระแวดระวังตัวเพียงไร
เริ่นเสี่ยวซู่ที่ถือใบปลิวพยายามคิดว่าบริษัทนี้กำลังเล่นเล่ห์อะไรอยู่ จริงๆ แล้วหวังฟู่กุ้ยและเหยียนลิ่วหยวนยังไม่เข้าใจโลกนี้มากพอหรอก
เอาแค่ตัวทดลองแสนน่ากลัวพวกนั้นเป็นตัวอย่าง คิดว่าตัวทดลองกลายเป็นตัวทดลองอย่างยินยอมพร้อมใจเหรอ คำตอบคือไม่น่าหรอก
ที่บริษัทหัวจ่งอยากได้ตัวอย่างเลือดของผู้มีพลังพิเศษไป คิดว่าเพราะอยากได้รหัสพันธุกรรมมากกว่า บริษัทช่างทะเยอทะยานจนยอมเสาะหาตัวอย่างเลือดจากผู้มีพลังพิเศษทุกคนบนโลกมาทำงานวิจัย
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดีหรอก เขาเรียกเฉินอู๋ตี๋มาแล้วสั่งไม่ให้เขาใช้พลังพิเศษของตัวจนกว่าเขาจะอนุญาต เริ่นเสี่ยวซู่ต้องขู่ว่าจะร่ายคาถารัดมงคล เฉินอู๋ตี๋ถึงยอมสัญญาว่าจะไม่ใช้พลัง
“ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าคาถารัดมงคลจะใช้งานได้ดีขนาดนี้” เริ่นเสี่ยวซู่ทอดถอนใจ
หวังฟู่กุ้ยพูดอย่างเสียดาย “แต่ปล่อยให้เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้หลุดไปก็น่าเสียดายนะเนี่ย”
การหาเงินเป็นสิ่งที่เขาทำมาชีวิต เจอเงินก้อนใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก มันก็ล่อตาล่อใจเขาสุดๆ แต่แน่ละ เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ทันใดนั้นเอง ดวงตาเหยียนลิ่วหยวนก็ฉายประกาย “ใหนๆ บริษัทหัวจ่งก็รวยมาก พวกเราไม่ปล้นเขาเลยล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เตะก้นเหยียนลิ่วหยวนไปที “ไสหัวไปเลย เก็บของ เตรียมไปโรงเรียนกับฉันพรุ่งนี้!”
“ก็ได้…” เหยียนลิ่วหยวนตอบ
เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเหยียนลิ่วหยวน เจ้าเด็กนี่โตในสถานที่โหดร้ายอย่างเมืองน้อย ต้องมีคนคอยสอนถูกผิดเขาบ้าง
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเบอร์โทรหลายเบอร์ที่ท้ายใบปลิว “เลขพวกนี้หมายถึงอะไรน่ะ เป็นรหัสอะไรบางอย่างเหรอ”
“น่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์นะ” หวังฟู่กุ้ยยิ้ม “ได้ยินมาว่าทุกป้อมปราการจะมีเครือข่ายโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ ผู้คนสามารถคุยกับคนอื่นที่อยู่ห่างกันหลายสิบกิโลเมตรได้ ร้านเราก็มีโทรศัพท์บ้านเหมือนกัน แต่ยังไม่รู้วิธีใช้เลย”
พอพวกเขามาถึง ก็จัดการเสาะสำรวจทุกอย่าง เริ่นเสี่ยวซู่คิดอยู่ว่าสมควรจะไปขอเจียงอู๋มาสอนวิธีใช้ชีวิตในป้อมปราการดีไหม พวกเขาจะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเสียที
“ทำไมพวกเราไม่ลองใช้โทรศัพท์กันหน่อยล่ะ” เหยียนลิ่วหยวนพูดอย่างตื่นเต้น เขาอยู่ในวัยที่สนใจสิ่งใหม่ๆ รอบตัว