เริ่นเสี่ยวซู่ถกกับเหยียนลิ่วหยวนเรื่องที่ว่าจะเก็บรวบรวมคำขอบคุณอย่างไรอย่างจริงจัง ด้วยเพราะเขาเป็นคนที่ ‘เรียบง่าย’ มาก พอได้รู้ว่าคำขอบคุณจากใจจริงนั้นมีค่าเพียงใด เขาพลันเข้าใจแล้วว่าเขาต้องการคำขอบคุณพวกนั้น…
เหยียนลิ่วหยวนอดรู้สึกไม่ได้ว่า เริ่นเสี่ยวซู่ใช้คำว่า ‘เรียบง่าย’ ผิดประเด็นไปชอบกล
“พี่ ผมว่าพี่ออกไปทำดีข้างนอกสักหน่อยเถอะ” เหยียนลิ่วหยวนว่า “ถ้าอยากได้คำขอบคุณด้วยใจจริงจากผู้อื่นแบบนี้ไม่ใช่ว่ามีวิธีที่ตรงไปตรงมาอยู่แล้วเหรอ เช่น ให้อาหารกับผู้หิวโหย ให้น้ำกับผู้กระหาย”
เริ่นเสี่ยวซู่มองเขาตาขวาง “เห็นฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ ถ้าฉันให้อาหารกับน้ำไปแล้ว ฉันจะเหลืออะไรให้กินให้ดื่มล่ะ แล้วก็นายด้วย จะเอาที่ไหนมากินมาดื่มหา!”
เหยียนลิ่วหยวนพูดอย่างขุ่นเคือง “งั้นพี่อย่าไปหาคำขอบคุณด้วยใจจริงจากใครเลยเถอะ!”
“ไม่ได้เฟ้ย” เริ่นเสี่ยวซู่ปฏิเสธทันควัน “มันต้องมีทางสิ!”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้มาตั้งนานแล้วว่า ยุคสมัยนี้ไร้เมตตากับมนุษย์ หรือจะให้พูดว่ามันเป็นเรื่องยากทีเดียวที่มนุษย์จะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเมตตาอย่างใจจริง
ครั้งหนึ่งมีขอทานอาศัยอยู่ในเมือง เด็กสาวใจดีผู้หนึ่งนำอาหารมาให้เขาทุกวัน
แต่หลังจากเด็กสาวแต่งงาน เธอไม่ได้เอาอาหารไปให้เขาอีก
ขอทานไปหาเด็กสาวที่บ้าน และถามเธอว่าทำไมถึงไม่ให้อาหารเขาแล้ว สุดท้ายก็ถูกครอบครัวเธอโยนออกมา ชัดเจนว่าสามีเธอไม่ได้ใจดีแบบเธอ
ทุกคนคิดว่าเรื่องคงจบลงแค่นี้ ถึงกับมีคนในเมืองไปล้อเลียนขอทาน อยากเห็นเขาหิวโซจนตายๆ ไปซะ แต่ตกดึกคืนนั้นเอง ขอทานได้หาทางกลับไปยังบ้านที่เด็กสาวอยู่ และลงมือฆาตกรรมทั้งคู่
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกมาตลอดว่าเบื้องหลังเรื่องราวนี้ แฝงไว้ด้วยปรัชญาอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง ทว่าตอนนั้นเขายังเด็กมาก พอเข้าใจได้เพียงว่าตอนค่ำคืนยามหลับใหลต้องระมัดระวังตัวไว้ให้มาก
……
เช้าวันต่อมา มีเสียงอึกทึกดังมาจากถนน เริ่นเสี่ยวซู่ลุกไปเปิดม่านประตูดูข้างนอก ก่อนจะประหลาดใจที่เห็นพวกนักดนตรีกำลังออกจากเมืองพร้อมกับคนคุ้นหน้าเขาผู้หนึ่ง
ชายผู้นี้เป็นนักล่ามากประสบการณ์ที่เก่งกาจมากคนหนึ่งของเมือง เขาเดินไปพร้อมกับพวกนักดนตรีด้วยใบหน้าชื่นมื่น ราวกับว่าในที่สุดตนเองก็ได้มีโอกาสเป็นที่รู้จักของคนในป้อมปราการเสียที
จริงๆ แล้ว ผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมายในเมืองก็เริ่มแบบนี้กันทั้งนั้น ดูเหมือนว่าใครก็ตามที่ได้รับจ้างวานจากป้อมปราการ จะได้มุ่งไปสู่ชีวิตอันมั่งคั่ง
และความ ‘มั่งคั่ง’ ที่ว่าหมายถึงได้เปิดร้านขายของชำอย่างหวังฟู่กุ้ย
เริ่นเสี่ยวซู่เคยถามหวังฟู่กุ้ยว่าทำไมเขาถึงชอบไปประจบสอพลอคนจากป้อมปราการนัก คงไม่ใช่ทุกคนในป้อมหรอกมั้งที่เป็นคนสำคัญน่ะ?
ตอนนั้นหวังฟู่กุ้ยเผยรอยยิ้มลึกลับแล้วตอบ “ในป้อมปราการมีทั้งคนรวยคนจน ทว่ามีแต่คนสูงศักดิ์เท่านั้นถึงเข้าออกป้อมได้ตามใจ”
จากที่หวังฟู่กุ้ยพูดไว้ แสดงว่าคงยากมากกว่าจะได้ออกมาจากป้อมปราการ
กำแพงป้อมสูงตระหง่านไม่ได้เป็นเพียงเครื่องกั้นไม่ให้คนนอกเข้าไป แต่ยังกั้นไม่ให้คนในออกไปข้างนอกด้วย
หวังฟู่กุ้ยเดินตามพวกนักดนตรีไปเช่นกัน ขณะเขาเดินผ่านเริ่นเสี่ยวซู่ ก็หันมาจ้องเริ่นเสี่ยวซู่ตาขวาง สุดท้ายก็กระซิบ “เสียดายแล้วละสิ ฉันอุตส่าห์เสนองานงามๆ ให้ แต่ดันปฏิเสธซะได้ รู้อะไรไหม ฉันได้ยินพวกนักดนตรีพูดกันว่าจะหานักนำทางฝีมือเยี่ยมเข้าไปในป้อมปราการ แบบนั้นเวลาพวกเขาต้องการนักนำทางตอนไหนก็มีให้ใช้สอย!”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป ไม่คิดเลยว่าจะเป็นโอกาสดีแบบนี้
หากเขารู้ล่วงหน้า เขายังจะตอบปฏิเสธโอกาสนี้ไปหรือเปล่านะ
ปฏิเสธสิ เพราะต่อให้เขาสามารถเข้าไปในป้อมปราการได้ เหยียนลิ่วหยวนก็คงไปกับเขาไม่ได้อยู่ดี เขาจะปล่อยให้เหยียนลิ่วหยวนอยู่ข้างนอกคนเดียวได้อย่างไรกัน
เหยียนลิ่วหยวนกระซิบ “พี่ ทำไมไม่ไปคุยกับพวกวงดนตรีอีกครั้งล่ะ พี่เก่งกว่าเหล่าหลิวตั้งมาก อย่างพอไปล่า เขาก็กลับมามือเปล่าตลอด แถมเขายังไม่กล้าลุยออกไปไกลจากเมืองด้วย”
“เลิกพล่ามน่า” เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้สึกเสียดายหรือรู้สึกโหยหากับโอกาสนี้ แต่เขาตัดสินใจลงไปแล้ว “ไปกัน ฉันจะพานายไปส่งโรงเรียน”
พอเริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนมาถึงโรงเรียน จางจิ่งหลินก็กำลังเช็ดกระดานดำในห้องอยู่ ตอนที่เขาหันมาเจอเริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนยืนอยู่นั้นก็แทบจะสะดุ้งกระโดดหนีอยู่รอมร่อ ดวงตาของทั้งคู่เป็นรอยลึกดำคล้ำ ราวกับผีสางสองตนอย่างไรอย่างนั้น!
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ” จางจิ่งหลินถามอย่างไม่แน่ใจนัก
เหยียนลิ่วหยวนอธิบาย “ก็พี่ผมเอาแต่…”
ทว่าก่อนที่เหยียนลิ่วหยวนจะพูดจบ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตบหัวเขาไปผัวะหนึ่งจนต้องเงียบไป จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็พูด “ไม่มีอะไรครับ พวกเราแค่นอนไม่ค่อยหลับเฉยๆ”
“อ้อ?” จางจิ่งหลินไม่อยากไปยุ่งกับความลับของผู้อื่น เขาจึงถาม “คิดหรือยังว่าวันนี้จะสอนอะไร วันนี้จะเป็นการทำหน้าที่อาจารย์สอนแทนวันแรกของเธอนะ”
“ครับ คิดมาแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า
ตลอดทั้งวัน เขานั่งในห้องเหมือนกับนักเรียนคนหนึ่ง แต่พอเป็นคาบสุดท้ายของช่วงบ่าย เขาจะทำหน้าที่สอนวิชาเอาตัวรอด
พอมาถึงช่วงคาบสุดท้าย จางจิ่งหลินก็กังวลใจนักว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะมีประสบการณ์สอนไม่พอ เลยนั่งอยู่หลังชั้นเรียน เตรียมช่วยสนับสนุน
พอเริ่นเสี่ยวซู่ไปถึงแท่นสอน หัวหน้าชั้นก็ตะโกน “ทั้งหมดลุกทำความเคารพ!”
จากนั้นทุกคนก็เอ่ยเสียงดังลั่น “สวัสดีครับ/ค่ะ อาจารย์!”
สำหรับเหล่านักเรียนแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่เป็นตัวตนที่พิเศษมากของชั้นเรียน เขาเป็นทั้ง ‘เพื่อนร่วมชั้น’ ที่แก่สุด และยังเป็นคนมีชื่อเสียงที่สุดในเมืองด้วย ดังนั้นการได้เริ่นเสี่ยวซู่มาสอน พวกเขาย่อมรู้สึกแปลกหูแปลกตาเป็นธรรมดา
ตอนนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็พูดขึ้น “พวกนายคิดว่าสำหรับคุณจางแล้วมันลำบากหรือเปล่าในการสอนพวกเราน่ะ พวกเราได้นั่งตลอดทั้งการเรียน ขณะที่ท่านต้องยืนสอนตลอดเลย”
ในสถานการณ์แบบนี้ จะมีนักเรียนคนไหนบอกว่าไม่ยากลำบากล่ะ ในเมื่อจางจิ่งหลินอยู่ตรงนี้…พวกเขาก็ได้แต่ยอมรับไปน่ะสิ!
จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็พูด “งั้นพวกเราไม่ควรจะแสดงความขอบคุณให้กับคุณจางหน่อยเหรอ”
“ควร!” นักเรียนตอบกลับอย่างพร้อมเพรียงกัน
ใบหน้าเหยียนลิ่วหยวนกลับกลาย ในใจโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง มาแล้วไง!
เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้าอย่างพอใจ “งั้นหลังจากนี้เป็นต้นไป พวกเราจะไม่พูด ‘สวัสดีอาจารย์’ แต่พวกเราจะพูดว่า ‘ขอบคุณอาจารย์’ แทน!”
จางจิ่งหลินเจอแบบนี้ก็นิ่งอึ้งไปเลย ไม่เข้าใจเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังพยายามทำอะไรอยู่
“เอาล่ะทุกคน นั่งลงแล้วลองอีกรอบ!” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม
“ทั้งหมดลุกทำความเคารพ!”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ อาจารย์!” นักเรียนพูดกันเป็นเสียงเดียว
ทว่าพอเริ่นเสี่ยวซู่หันไปสำรวจเครื่องพิมพ์ดีดในพระราชวัง เขาก็ต้องผิดหวัง ไม่มีเด็กเวรคนไหนตั้งใจขอบคุณอาจารย์จากใจจริงเลย!
เดี๋ยวนี้การสำนึกบุญคุณผู้ประสิทธิ์วิชาให้อย่างจริงใจมันยากขนาดไหนกันเนี่ย!
ไม่ได้การแล้ว! ในเมื่อลงมือครั้งแรกล้มเหลว งั้นต้องหาทางใหม่!
อย่างไรเสียเริ่นเสี่ยวซู่ก็ชินกับความผิดพลาดล้มเหลวแล้ว ดังนั้นการรับความผิดพลาดได้อย่างไม่สะทกสะท้าน คือพลังอันแข็งแกร่งที่สุดของเขา
เริ่นเสี่ยวซู่เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘สิ่งที่เรียกว่าชีวิตบางครั้งก็ไม่เป็นไปตามต้องการ’
หรือหมายความได้ว่า ในชีวิตของคนเรานั้น ในสิบส่วนไม่เป็นไปตามต้องการเสียแปดเก้าส่วน
แต่ถึงกระนั้น เรายังต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปหรือเปล่า ก็ใช่น่ะสิ!
Related