เริ่นเสี่ยวซู่เดินออกไป ก่อนจะต้องประหลาดใจที่เห็นคนวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หลังครูประจำชั้น
ครูประจำชั้นนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ย “บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ปกครองของเพื่อนร่วมห้องเธอ คือทุกคนเห็นว่าเธออาจจะนำเชื้อโรคจากนอกป้อมเข้ามา ทุกคนเลยอยากให้เธอย้ายโรงเรียนน่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่งง “ย้าย? ย้ายไปไหน” ถ้าเรื่องนี้เปิดเผยออกไป คงไม่มีโรงเรียนไหนจะรับเขาแล้วไหม
ผู้ปกครองชายผู้หนึ่งว่า “ถ้าไม่มีโรงเรียนไหนรับ ก็ไม่ต้องไปโรงเรียนให้มันจบๆ อย่าให้คนเดียวแพร่เชื้อไปใส่ทุกคนไปทั่ว”
เริ่นเสี่ยวซู่ลอบถอนหายใจ นี่คงเป็นสิ่งที่หยางเสียวจิ่นคาดไว้ ก็ว่าทำไมพูดว่าการไม่ยอมรับผู้อพยพของคนในป้อมปราการนั้นโหดร้ายกว่าที่เขาคิดไว้
พอเห็นผู้ปกครองพวกนี้ เริ่นเสี่ยวซู่จึงนึกได้ว่าทำไมเพื่อนร่วมห้องถึงได้เงียบนักตอนเจอหน้าเขา คืนก่อนคงจะกลับบ้านไปเล่าให้ผู้ปกครองฟังแล้ว ผลคือพวกผู้ปกครองพร้อมใจกันมาที่โรงเรียน หวังกดดันให้เขาออกจากโรงเรียนไป
สำหรับผู้ปกครองพวกนี้ เริ่นเสี่ยวซู่เป็นแค่ผู้อพยพเท่านั้น พวกเขาออกมาพูดตั้งมาก โรงเรียนมีแต่ต้องยอมรับข้อเรียกร้อง
เดี๋ยวนี้นั้น ถ้ากล้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
เริ่นเสี่ยวซู่มองไปที่พวกผู้ปกครองแล้วพูด “ถ้าฉันไม่อยากย้ายโรงเรียนล่ะ”
พูดตามตรง ถ้าที่นี่คือแดนรกร้างผู้ปกครองพวกนี้คงตายไปแล้ว กฎในแดนรกร้างเรียบง่ายกว่าที่นี่มาก ตรงไปตรงมามากกว่ามาก!
แต่ผู้ปกครองพวกนี้ไม่สนใจเริ่นเสี่ยวซู่หรอก พวกเขาจ้องไปที่ครูประจำชั้นแล้วโห่ร้อง “ถ้าพวกคุณไม่ยอมให้เขาย้ายโรงเรียนไป เวลาเกิดโรคระบาดคุณจะจัดการยังไง ค่ารักษาทุกอย่างต้องเป็นคุณแบกรับไว้ด้วย ถ้าไม่ยอมจ่ายค่าชดเชย พวกเราฟ้องถึงศาลแน่!”
เริ่นเสี่ยวซู่ครุ่นคิด เขาเคยได้ยินคำว่า ‘ศาล’ มาก่อนตอนที่เรียนอยู่ในเมือง และก็ทราบมาว่าเป็นสถานที่แห่งความเป็นธรรมและยุติธรรม แต่ว่าที่เมืองไม่มีของแบบนั้น
ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเกี่ยวข้องกับ ‘ศาล’ ในช่วงชุลมุนแบบนี้
พวกนักเรียนก็เดินออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ พวกเขาออกมาฟังเพราะอยากรู้เช่นกันว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร
ครูประจำชั้นของมัธยมศึกษาปีที่หกหน้าซีดแล้ว ครูจากฝ่ายวิชาการบอกเขาก่อนหน้าแล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่มีความสัมพันธ์กับลู่หย่วน ใครจะไปรู้เล่าว่านักเรียนที่ลู่หย่วนพาเข้ามาจะกลายเป็นผู้อพยพไปได้
ครูประจำชั้นคิดจะปัดสวะให้พ้นตัว จึงกล่าวกับพวกผู้ปกครองเสียงค่อยว่า “การสมัครเรียนของนักเรียนคนนี้เป็นลู่หย่วนจัดการ ทำไมพวกคุณไม่ไปคุยกับเขาแทนล่ะ”
พวกผู้ปกครองมองหน้ากันเอง พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ถ้ารู้ว่าลู่หย่วนเป็นคนพาเขาเข้าโรงเรียนมา พวกเขาคงไม่กล้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่แบบนั้นหรอก
แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันคิดได้ว่าควรรับมืออย่างไรดีนั้น ก็มีคนผู้หนึ่งเบียดตัวเองเข้ามา เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นเจียงอู๋
เจียงอู๋บอกไปที่พวกผู้ปกครองแล้วว่า “พวกคุณคิดจะทำอะไรคะ”
“ไม่ได้ทำอะไรนี่” ผู้ปกครองผู้หนึ่งว่า “แต่พวกเราเอาลูกตัวเองเรียนร่วมกับผู้อพยพไม่ได้หรอกนะ”
“ทำไมจะไม่ได้” เจียงอู๋โกรธหน้าดำหน้าแดง “พวกเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ใครบอกว่าผู้อพยพแพร่เชื้อโรค เมื่อคืนเด็กคนไหนกลับบ้านไปแล้วป่วยหรือเปล่าล่ะ”
พวกผู้ปกครองผงะไปหลังจากได้ยิน “ไม่มีใครป่วย แต่ฉันได้ยินว่าในป้อมปราการมีคนป่วยแล้ว”
“ได้ยินมา?” เจียงอู๋ขึ้นเสียง “แค่ได้ยินมาก็มีสิทธิ์ไปทำลายอนาคตของนักเรียนคนหนึ่งแล้วงั้นเหรอ”
“พวกผู้อพยพจะมีอนาคตอะไร” พวกผู้ปกครองเริ่มหัวร้อนแล้ว “แล้วเธอคิดว่าตัวเองเป็นใครมิทราบ”
“ฉันเป็นครูของโรงเรียนนี้!” เจียงอู๋พูด
ครูประจำชั้นของเริ่นเสี่ยวซู่หยุดพูดไป เขายินดียิ่งที่มีคนออกหน้าแทน
ผู้ปกครองผู้หนึ่งว่า “เธอเป็นครูนะ ทำไมถึงมาทะเลาะกับเราเรื่องผู้อพยพกัน”
“ฉันไม่รู้หรอกว่าจะเป็นผู้อพยพหรือประชากรในป้อม” เจียงอู๋ยืนหยัดพูด “ฉันรู้แต่ว่าเขาเป็นนักเรียนคนหนึ่ง!”
เริ่นเสี่ยวซู่มองไป แล้วก็พลันรู้สึกว่าเจียงอู๋น่ารักแบบซื่อๆ ทั้งดูทึมทื่ออยู่หน่อยๆ
แต่ถ้าไม่ใช่เพราะความดื้อดึงและแน่วแน่นี้ เริ่นเสี่ยวซู่คงไม่ช่วยเธอตอนอยู่ในแดนรกร้างหรอก หากไม่ได้เริ่นเสี่ยวซู่ช่วยเหลือ เจียงอู๋กับนักเรียนของเธอคงได้ตายอยู่ข้างนอกนั้นแล้ว
เริ่นเสี่ยวซู่เกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจประการหนึ่ง บนโลกอันขุ่นมัว ในที่สุดเขาก็เห็นแสงเรืองรองจากคนผู้หนึ่ง
ก่อนหน้ายังมีหวังฟู่กุ้ยและเสี่ยวอวี้
เฉินอู๋ตี๋คงนับได้ครึ่งตัว ส่วนเหยียนลิ่วหยวนไม่ต้องไปพูดถึง เขากับเหยียนลิ่วหยวนคือครอบครัวเดียวกัน
ผู้ปกครองคนหนึ่งโพล่ง “ในเมื่อเธอปกป้องเขามาก ทำไมไม่ให้เขาไปเรียนชั้นของเธอเลยล่ะ”
เจียงอู๋พูดทันที “ฉันเองก็ตั้งใจแบบนั้นแหละ ฉันจะไปทำเรื่องให้เริ่นเสี่ยวซู่ย้ายมาห้องเรียนฉันเดี๋ยวนี้เลย”
เสียงหนึ่งดังขึ้นกลางฝูงชน “ฉันก็จะไปกับเรียนชั้นเดียวกับครูด้วย”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง แล้วก็ประหลาดใจที่เห็นว่าผู้พูดคือหยางเสียวจิ่น
ผู้ปกครองคนหนึ่งได้ยินเจียงอู๋พูดแบบนั้นก็แค่นเสียง “เป็นครูบาอาจารย์ แต่พูดอะไรไร้ความผิดชอบเสียจริง เธออาจจะพร้อมรับเขาเข้าห้องเธอ แต่นักเรียนของเธอจะยอมรับเหรอไง”
เจียงอู๋นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบเสียงค่อย “นักเรียนของฉันไม่มีผู้ปกครอง คงต้องไปถามความยินยอมพวกเขาก่อน”
นี่เป็นจุดสะเทือนอารมณ์ของเจียงอู๋ ความสุขที่รอดชีวิตมาได้ของนักเรียนเธอ ค่อยๆ แปรเปลี่ยนความหวนคิดถึงครอบครัว เป็นความเจ็บปวดที่แม้ผ่านพ้นภัยพิบัติไปเท่าไรก็ไม่จางหาย ทำได้เพียงเก็บซ่อนฝังลึกไว้ในใจจนค่อยๆ คลายหายไปเอง
ทันใดนั้นก็มีเสียงอึงอลดังมาจากหลังฝูงชน นักเรียนยี่สิบกว่าคนเดินมายืนอยู่ข้างเจียงอู๋ “ครูไม่ต้องขอความยินยอมจากพวกเราเรื่องให้เริ่นเสี่ยวซู่ย้ายมาห้องพวกเราหรอก พวกเราจะสนับสนุนครูและก็สนับสนุนเริ่นเสี่ยวซู่ด้วย”
นักเรียนจากห้องอื่นกระซิบกระซาบกัน “ทำไมพวกเขาเข้าข้างผู้อพยพขนาดนั้นกัน”
นักเรียนของเจียงอู๋คนหนึ่งผู้เสียงเข้ม “เข้าข้างเขา? พวกเราไม่ได้เข้าข้างและก็ไม่ได้กำลังช่วยเขาด้วย เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือหรอก พวกนายไม่รู้หรอกว่าโลกข้างนอกนั้นเป็นยังไง แต่สำหรับฉันแล้วข้างนอกนั่นมันน่าเศร้ามาก”
สำหรับพวกนักเรียนของเจียงอู๋ ที่ยืนอยู่ข้างเริ่นเสี่ยวซู่ก็เพราะสำนึกในบุญคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พวกตนคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้มานั่งเรียนที่โรงเรียนแล้ว
คนหนีออกจากป้อมปราการได้นับพัน แต่มีคนเท่าไรกันเชียวที่รอดมาหนึ่งป้อมปราการ 109 ได้
ที่พวกเขาจำได้ส่วนใหญ่ตอนหนีคือคำพูดของเจียงอู๋ที่ว่า “ตราบใดที่พวกเราตามเด็กหนุ่มคนนั้นไป พวกเราก็จะไปถึงป้อมปราการ 109 แน่ๆ”
และสุดท้ายพวกเขาก็รอดมาได้จริง
ผู้ปกครองนักเรียนที่ยืนอยู่ตรงทางเดินต่างนิ่งงันไป เรื่องนี้ผิดแผกไปจากที่พวกคาดไว้ไปไกล